ฉันมีพี่ชาย 7 คน - บทที่ 207 เปียโน
บทที่ 207 เปียโน
หลี่หลิงจ้องมองอย่างขุ่นเคือง หนวนหน่วนกำลังถูกหนึ่งในพี่ชายอุ้มขึ้นมา ส่วนครอบครัวของเธอยังไม่มารับเลย
เธออดคิดถึงพี่ชายทั้งสองของตัวเองไม่ได้ คนหนึ่งเอาแต่เล่นเกม ส่วนอีกคนก็ใช้เงินเก่ง แล้วแบบนี้เธอจะไปเทียบอะไรกับกู้หนวนหน่วนได้! ไม่ได้เลย กลับบ้านไปคงต้องบอกให้พี่ชายไปหางานทำแล้ว!
อีกด้านหนึ่ง เมื่อเจ้าก้อนน้อยหนวนหน่วนโดนพี่ใหญ่อุ้มขึ้นไป เธอก็คว้ากอดคอเขาทันที ก่อนจะตอบคำถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
กู้หนานกดเสียงเข้มถาม “อยู่โรงเรียนเป็นไงบ้าง? คุ้นหรือยัง?”
หนวนหน่วนเด็กดีพยักหน้า “อื้มอื้ม เพื่อน ๆ ดีมากเลยค่ะ”
กู้อันทำหน้ามุ่ย “พูดอะไรน่ะ ไม่ใช่ว่ามีคนหนึ่งมาแกล้งหรอกเหรอ?”
เมื่อได้ยินว่ามีคนมารังแกหนวนหน่วน ชายหนุ่มทั้งหลายก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที ดวงตาฉายแววความโกรธออกมาเล็กน้อย
“เกิดอะไรขึ้น?”
หนวนหน่วนกะพริบตาพริ้ม “ไม่ได้มีอะไรมากหรอก เธอโดนหนูพูดใส่จนร้องไห้ไปแล้ว”
เด็กหญิงคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร และเธอเองก็ได้แก้แค้นด้วยตัวเองไปแล้ว
แต่พวกพี่ก็ยังคงถามด้วยความกังวล ส่วนเธอเองก็ตอบกลับเขาอย่างจริงจังเช่นกัน และหลังจากพูดจบใบหน้าเล็กของเธอก็ดูภูมิใจอยู่ไม่น้อย
“หนวนหน่วนไม่ได้เดือดร้อนอะไร อีกอย่างเขาก็คงไม่มีทางมาสู้กับหนู คุณพ่อ และพวกพี่ได้หรอก”
กู้หมิงอวี๋บีบแก้มหนวนหน่วนแล้วมองเธอด้วยความประหลาดใจ
“พี่คิดว่าเราจะบอบบางแกล้งง่ายซะอีก แต่ก็ทำได้ดีแล้ว ถ้ามีใครมาแกล้งอีกทีหลังก็ทำมันกลับได้เลย”
ไป๋โม่ซู “นั่นคือกรณีที่คู่ต่อสู้ตัวเท่ากัน ถ้าเขาแรงเยอะกว่าหนวนหน่วนแค่อยู่เฉย ๆ แล้วมาบอกพวกพี่ก็พอ”
กู้หนานปรายตามอง “โรงเรียนของหนูไม่อนุญาตให้ใช้โทรศัพท์ ต้องรอพี่รองกลับมาก่อน เขาจะอัปเกรดสร้อยข้อมือให้”
หนวนหน่วนเด็กดีพยักหน้ารับ “โอเคค่ะ”
กู้อันทุบหน้าอกตัวเองอย่างภาคภูมิ “วางใจเถอะ ผมก็อยู่ที่โรงเรียนทั้งคน วันนี้ก็ไปทักทายทำความรู้จักกับเพื่อนในห้องของหนวนหน่วนเรียบร้อยแล้วด้วย รับรองว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแน่นอน”
ดูเหมือนใครบางคนจะมั่นอกมั่นใจมากเหลือเกิน
หลังจากจบเรื่องของหลี่หลิง หัวข้อการสนทนาก็เปลี่ยนไป แต่โดยส่วนใหญ่ก็ยังเกี่ยวกับเรื่องโรงเรียน
หนวนหน่วนพูดด้วยน้ำเสียงน่าเอ็นดูว่าตอนนี้เธอมีเพื่อนสนิทเรียบร้อยแล้ว เป็นเพื่อนที่นั่งโต๊ะติดกัน
กู้หมิงอวี๋ “ใช่เพื่อนตัวน้อยที่ยืนอยู่กับเธอเมื่อกี้หรือเปล่า?”
คนตัวเล็กพยักหน้า “อื้มอื้ม เธอชื่อหลินจิ่ว”
“ไว้วันหลังชวนมากินข้าวที่บ้านสิ”
นี่เป็นเพื่อนคนแรกที่โรงเรียน แล้วแบบนี้พวกเขาจะไม่ใส่ใจได้อย่างไร?
เมื่อกลับถึงบ้าน ไป๋อันหรานและคนอื่น ๆ ต่างเฝ้ารอด้วยความกระวนกระวาย
เมื่อเห็นหนวนหน่วนกลับมาความเงียบก็ทลายลงทันที ทุกคนต่างเข้ามารุมถาม บ้างก็ว่าหิวไหม หนาวรึเปล่า ที่โรงเรียนเป็นยังไงบ้าง เดี๋ยวก่อนสิ…
ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นคำถามเดียวกับพวกพี่ ถึงแม้จะต้องตอบสองครั้ง สาวน้อยก็ไม่ได้แสดงอาการหงุดหงิดแต่อย่างใด เธอยังคงตอบคำถามผู้ใหญ่อย่างนอบน้อม
ทุกคนในครอบครัวต่างมีความสุข และในระหว่างนี้กู้หนานก็ได้ให้หนานเฟิงลองตรวจสอบประวัติของหลี่หลิงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
กู้หมิงอวี๋ถอดหน้ากากอนามัยบนใบหน้าออกพลางทิ้งกายลงบนโซฟาอย่างผ่อนคลาย
“โชคดีที่วันนี้พกร่มไปด้วยตอนฝนตก ไม่งั้นคงไม่กล้าไปรับหนวนหน่วนแน่”
กู้อันกลอกตาอย่างนึกรำคาญ “เข้าใจแล้ว รู้แล้วว่าพี่มีเสน่ห์มาก”
คิ้วและดวงตาของกู้หมิงอวี๋กระตุกขึ้นลง “ขอบคุณที่ชม”
กู้อัน ‘แหวะ!’
“คุณพ่อ คุณแม่ พี่ชาย หนูขึ้นไปข้างบนนะคะ”
หลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จก็วิ่งกลับไปที่ห้องของตัวเองพร้อมกับเจ้าก้อนขนสีเหลืองที่ตามไปติด ๆ หนวนหน่วนเก็บกระเป๋านักเรียนเข้าที่ จากนั้นเท้าขาวเปลือยเปล่าก็ก้าวไปบนพรม มุ่งตรงไปทางหน้าต่างที่ตั้งสูงจากพื้นจรดเพดาน
ข้างนอกยังฝนตกอยู่ เมื่อเงยหน้ามองขึ้นไปท้องฟ้าก็ยังคงครึ้มอยู่แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ใช้บัวรดน้ำอันเล็กเติมน้ำให้พวกต้นกล้าน้อย ๆ ที่วางอยู่ตรงระเบียง
เมล็ดพันธุ์ที่ปลูกเอาไว้ก่อนหน้านี้เริ่มโตขึ้นแล้ว ตอนนี้มันกลายเป็นต้นกล้าขนาดประมาณหนึ่งข้อนิ้วได้
ฝนยังคงตกลงมาเรื่อย ๆ หนวนหน่วนรดน้ำต้นกล้าเสร็จก็เดินกลับเข้าไปข้างในพร้อมกับคว้าหนังสือภาษาขึ้นมาถือไว้ในอ้อมแขน เธอทิ้งตัวนั่งลงบนเปลแขวนก่อนจะหยิบโทรศัพท์แล้วกดวิดีโอคอลไปที่ฟาร์ม
ในฟาร์ม เมื่อผู้ดูแลซ่งอีเห็นวิดีโอคอลจากเจ้านายตัวน้อยก็เดินด้วยความเคยชินไปยังห้องพักคนงาน เขาเชื่อมต่อโทรศัพท์ของตัวเองเข้ากับจอฉายภาพบนผนังก่อนจะกดปุ่มสีเขียว
และแล้วหนวนหน่วนที่อยู่ในกล้องตอนนี้ก็ถูกนำไปฉายอยู่บนจอขนาดใหญ่
“จิ๊บจิ๊บ!”
เมื่อเห็นเจ้านายน้อย พวกเหล่าก้อนขนก็ดี๊ด๊ากันยกใหญ่ พวกมันใข้ขาสั้น ๆ ของมันวิ่งไปมารอบจอมอนิเตอร์ที่ฉาย
“เสี่ยวอีเสี่ยวเอ้อร์…..”
แววตาของหนวนหน่วนโค้งหยีทันที เธอเอ่ยเรียกเจ้าก้อนขนทั้งสามตัวด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล คนตัวเล็กเงียบหายไปทั้งวัน พวกมันก็ได้แต่จ้องมองดวงตาคู่นั้นอย่างรู้สึกน้อยใจราวกับโดนทอดทิ้ง
หนวนหน่วนปลอบว่า “เด็กดี วันนี้ฝนตกก็เลยไม่ได้เข้าไปหาพวกเธอ หนวนหน่วนเริ่มเข้าเรียนที่โรงเรียน กลายเป็นนักเรียนเต็มตัวแล้วเลยต้องใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนหนังสือ มันจำเป็นมากเพราะจะต้องเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ ตอนนี้ก็ไม่ได้อ่านหนังสือนิทานแล้วด้วย แต่กลายเป็นหนังสือภาษาอังกฤษแทน ไว้เดี๋ยวจะสอนให้นะ พวกเธอจะได้เป็นลูกเจี๊ยบที่เก่งภาษาอังกฤษ”
“จิ๊บ~”
พวกก้อนขนต่างนั่งฟังอย่างว่าง่าย ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงแบบลูกนก
ซ่งอีที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากตรงนั้น “…”
เด็กน้อยจินตนาการเก่งมากเลย
แต่น่าแปลกนักที่เจ้าเด็กพวกนี้ต่างเชื่อฟังเจ้านายน้อยเป็นอย่างดีราวกับรู้ความ หรือว่า…. จริง ๆ แล้วพวกสัตว์มันแสนรู้จริงเหรอ?
ในขณะที่ความคิดของเขากำลังล่องลอยไปต่าง ๆ นานา หนวนหน่วนก็เริ่มหยิบหนังสือภาษาอังกฤษขึ้นมาอ่าน
เสียงของเธอนุ่มละมุนราวกับกำลังลิ้มรสน้ำนมอยู่ไม่มีผิด เปล่งเสียงอ่านช้า ๆ ชัดถ้อยชัดคำตามมาตรฐาน มันแสดงความใสซื่อซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเด็กออกมา ยิ่งฟังก็ยิ่งเพลิดเพลิน
ซ่งอีเผลอตั้งใจฟังโดยไม่รู้ตัว แม้ว่าเนื้อหาในหนังสือเรียนนั้นจะดูไร้สาระไปหน่อยก็ตาม
หนวนหน่วนอ่านประโยคนั้นอยู่สองรอบก่อนจะวางหนังสือลง เธอหยิบโทรศัพท์แล้วเดินไปที่ห้องเปียโน แต่หลังจากเดินเข้ามาเธอก็ต้องตกตะลึง
เนื่องจากเคยเรียนกู่ฉินและเปียโนกับพี่ซูหรานในห้องนี้ และถึงแม้ว่าห้องมันจะใหญ่โตมากแต่มันก็มีเครื่องดนตรีเพียงสองชิ้นเท่านั้น แต่ว่าตอนนี้ ถัดจากเปียโนที่วางอยู่ตรงริมหน้าต่างกลับมีเปียโนสีขาวหลังใหญ่ตั้งวางเอาไว้อยู่
ท้องฟ้ายามหลังฝนโปรยสาดส่องแสงสีส้มลงมากระทบเข้ากับเปียโนสีขาวหลังนั้นจนทำให้มันสะท้อนสีของแสงแดดออกมา ช่างน่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก มันเป็นเพียงสิ่งของเท่านั้นแต่กลับแฝงไปด้วยความสง่างาม นี่คงเป็นสเน่ห์ความงดงามของเปียโน
“ว้าว…”
หนวนหน่วนจ้องมองเปียโนด้วยดวงตากลมโต
“เห็นแล้วเหรอ”
เสียงของกู้หมิงอวี๋ลอยมาจากด้านหลัง เขาสะบัดผมหางม้าสีดำ ก่อนจะเดินมาลูบศีรษะเล็กของหนวนหน่วน
“พี่สามซื้อไว้เอง วันนี้มีคนมาส่งตอนหนูอยู่โรงเรียน เป็นไงบ้าง ชอบไหม?”
หนวนหน่วนกะพริบตากลมโต นัยน์ตาสีเข้มคู่สวยสะท้อนภาพเปียโนหลังนั้นออกมา ก่อนจะพยักหน้าลงอย่างหนักแน่น
“อื้มอื้ม ชอบแบบสุด ๆ เลยค่ะ!”
“อยากลองเรียนเปียโนไหม? เรียกพี่สามก่อนแล้วจะสอนให้”
“พี่สาม ~”
เพียงแค่ได้ยินเสียงของสาวน้อยเรียกว่าพี่สาม กู้หมิงอวี๋ก็อารมณ์ดีขึ้นมาทันที เขาพาเด็กหญิงเข้าไปตรงเปียโนแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยท่าทางสง่างามปนเกียจคร้านเล็กน้อย นิ้วขาวเรียวยาวบรรเลงลงบนคีย์บอร์ด ก่อนจะได้ยินเสียงเพลงแคนนอนดังออกมา
กู้หมิงอวี๋เล่นอย่างจริงจัง โดยมีหนวนหน่วนนั่งมองเขาอย่างจริงจังอยู่ข้าง ๆ นัยน์ตาสองคู่ของทั้งสองคนประสานกัน ตามมาด้วยดวงตาที่โค้งหยีราวกับจันทร์ครึ่งเสี้ยว ขนตางอนได้รูปสวยงามขยับกะพริบไปมา
การเล่นเปียโนของกู้หมิงอวี๋นั้นทำให้ผู้ฟังเพลิดเพลินขึ้นมาได้ ไม่ว่าจะเป็นแค่เพียงการได้ยินหรือการได้เฝ้ามอง
หลังจากเล่นจบ ปลายจมูกเล็กของหนวนหน่วนก็ถูกสัมผัสเข้า
“เพราะไหม?”
หนวนหน่วนรีบพยักหน้าทันที
“พี่สามเก่งมากเลยค่ะ เพราะมากเลย”
กู้หมิงอวี๋รู้สึกพอใจอย่างมากที่ได้รับคำชมจากน้องสาว เขาจับคนตรงหน้าให้ขึ้นมานั่งบนตักแล้วสอนเธอกดคีย์บอร์ดพร้อมกับจำโน้ตเพลงไปด้วย…
ไม่ว่าจะเรียนอะไร หนวนหน่วนจะตั้งใจมาก นอกจากนี้ความจำของเธอก็ดีมากด้วย กู้หมิงอวี๋จึงไม่ต้องพูดซ้ำซากหลายครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นการเล่นก็ยังคงผิดพลาดอยู่บ้าง
เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เพราะเธอต้องใช้เวลากับมัน ถึงอย่างไรตอนนี้ก็ยังเด็กอยู่และยังสามารถเรียนรู้ได้อีกเยอะ
เมื่อตกเย็นหนวนหน่วนก็เริ่มเปิดโคมไฟตั้งโต๊ะรูปดอกเห็ดเล็ก ๆ แล้วทำการบ้านอย่างตั้งใจ ไม่นานเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
“เข้ามาได้ค่ะ”
กู้หนานเดินเข้ามาพร้อมนมอุ่น ๆ และผลไม้ในจาน พลางมองดูเจ้าตัวเล็กที่ตั้งใจอ่านหนังสือก่อนจะยกมือขึ้นลูบศีรษะเธอ
“ยังไม่เสร็จเหรอ?”
หนวนหน่วนส่ายศีรษะแล้วพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ใกล้เสร็จแล้วค่ะ พี่เอานี่มาให้หนวนหน่วนเหรอคะ?”
กู้หนานตอบรับแล้วยืนมองดูเธอถือแก้วนมขึ้นดื่มทีละน้อยด้วยใบหน้าพึงพอใจ สายตาของเขาอ่อนโยนขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“ต้องเข้านอนก่อนสามทุ่ม ห้ามนอนดึกเด็ดขาด”
หนวนหน่วนเด็กดีจับมือพี่ใหญ่ไว้แล้วเคลื่อนใบหน้าตุ้ยนุ้ยเข้าไปใกล้เขา ก่อนจะถูไถมันไปมาเหมือนลูกแมว
“ราตรีสวัสดิ์ค่ะ พี่ใหญ่เข้านอนเร็ว ๆ นะคะ”
“อืม”