ฉันมีพี่ชาย 7 คน - บทที่ 201 เฉลิมฉลอง
บทที่ 201 เฉลิมฉลอง
หลังจากไปสมัครเรียนที่โรงเรียนเสร็จแล้ว หนวนหน่วนก็กลับบ้าน เธอสอบถามสถานการณ์ของฟาร์มจากซ่งอีเพราะวันนี้ไม่ได้เข้าไป
เธอเก็บข้าวของทั้งหมดที่แม่และพี่รองซื้อมาจากร้านเครื่องเขียนแล้วขนขึ้นไปบนห้องที่อยู่ชั้นบน พี่ใหญ่และพ่อก็เลิกงานกลับถึงบ้านแล้วเช่นกัน
พูดให้ถูกต้องก็คือ วันนี้พวกเขาทั้งสองต่างเลิกงานก่อนเวลา
ทันทีที่กู้หลินโม่กลับถึงบ้านก็อุ้มลูกสาวของตนขึ้นมาคลอเคลีย ก่อนจะถามด้วยความเป็นห่วง
“ลูกสาวสุดที่รักเป็นไงบ้าง วันนี้ไปสมัครเรียนชั้นอะไรห้องอะไรเหรอ?”
แม้ว่ากู้หนานจะไม่ได้ถาม แต่ก็เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ
หนวนหน่วนชูสองนิ้วเรียวอันขาวผุดผ่องขึ้นมาพลางกล่าวเสียงใส “หนวนหน่วนอยู่ชั้นประถมสองห้องหนึ่ง ครูประจำชั้นชื่อครูหยางค่ะ”
ไป๋อันหรานหยิบกระดาษข้อสอบของหนวนหน่วนออกมาจากกระเป๋าเพื่อคุยโว
“หนวนหน่วนของเราทำข้อสอบที่โรงเรียน ได้คะแนนภาษาจีน คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษเต็มหมดเลย!”
น่าภาคภูมิใจเหลือเกิน
กู้หลินโม่ดวงตาเป็นประกายเมื่อเห็นกระดาษข้อสอบในมือภรรยา ขณะที่กำลังจะเอื้อมมือไปหยิบมัน ก็มีฝ่ามือที่เห็นข้อต่อชัดเจนยื่นเข้ามาตัดหน้าคว้ากระดาษข้อสอบไปเสียก่อน
กู้หนานไม่เหลือไว้ให้เขาเลยสักแผ่นเดียว
กู้หลินโม่ “…”
แค่กระดาษข้อสอบง่าย ๆ ที่มองปราดเดียวก็รู้แล้ว แต่กู้หนานกลับอ่านทุกคำถามอย่างจริงจังมากกว่าอ่านเอกสารโครงการมูลค่าหลายร้อยล้านของตัวเองเสียอีก เมื่อเห็นลายมือสวย ๆ ของน้องสาวตน บนใบหน้าที่เย็นชาและแข็งกระด้างของเขาก็เผยรอยยิ้มมุมปาก
“สุดยอดเลย”
กู้หนานยกมือขึ้นลูบศีรษะน้องสาวเป็นการชื่นชม เด็กหญิงตัวน้อยเอียงศีรษะถูไถกับฝ่ามือของพี่ชายอย่างคล่องแคล่ว รอยยิ้มอ่อนหวานบนใบหน้าขาวใสบอบบางช่างนุ่มนวลเหมือนเคลือบน้ำผึ้ง ทำให้ผู้คนเห็นแล้วรู้สึกหวานชื่นในใจ
“รีบเอามาให้พ่อดูหน่อย”
กู้หลินโม่คว้ากระดาษข้อสอบมา จากนั้นจึงเผยยิ้มแบบคุณพ่อซื่อ ๆ แตกต่างจากรูปลักษณ์ที่สุขุมเฉียบแหลมในโลกธุรกิจอย่างสิ้นเชิง
เมื่อคนในครอบครัวเห็นผลการทดสอบของหนวนหน่วน ก็พากันตื่นเต้นเหมือนกำลังดูผลสอบของจอหงวน*[1] หนวนหน่วนเริ่มรู้สึกอึดอัด ทำไมดูเวอร์เกินจริงแบบนี้
เธอกุมใบหน้าน้อยรีบวิ่งหนีไป ใบหน้าที่เดิมทีขาวนวล ในเวลานี้แดงชมพูระเรื่อราวกับดอกท้อ
“วันนี้เป็นวันดี ให้สะใภ้เล็กทำอาหารที่หนวนหน่วนชอบหน่อย มาฉลองกัน”
กู้อัน “ผมด้วย อาหารที่ผมชอบที่สุดก็ทำให้มากหน่อย”
ภายในคฤหาสน์ครึกครื้น เด็กน้อยหนวนหน่วนวิ่งขึ้นไปชั้นบนเพื่อรับโทรศัพท์จากญาติผู้พี่คนรอง
ไป๋โม่ฮัวต้องการเข้าร่วมการแข่งขันรายการหนึ่งจึงออกจากเมืองหลินเฉิงไป อีกสักพักถึงจะกลับมา
แต่เขาก็คอยติดตามดูความเป็นไปของหนวนหน่วนอยู่ เมื่อรู้ว่าวันนี้เธอไปสมัครเข้าเรียนมา จึงโทรมาถามไถ่โดยเฉพาะ
เด็กน้อยหนวนหน่วนกอดโทรศัพท์มือถือ กล่าวเสียงใสอ่อนหวาน “คุณแม่กับพี่รองพาหนูไปสมัครเรียนค่ะ คุณลุงอาจารย์ใหญ่ให้หนวนหน่วนสอบ หนูสอบได้คะแนนเต็มด้วย พรุ่งนี้ต้องไปเข้าเรียนชั้นประถมสองห้องหนึ่งแล้วค่ะ”
เธอเป็นเด็กวัยเพียงไม่กี่ขวบ เมื่อผลสอบได้เกรดดี ก็ย่อมต้องการแบ่งปันกับครอบครัวและได้รับคำชื่นชมจากพวกเขา แม้ว่าจะรู้สึกเขินอายเล็กน้อยเมื่อได้รับคำชม แต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้นจริง ๆ
แต่เมื่อเทียบกับความเขินอาย หนวนหน่วนอยากได้รับคำชมจากพ่อและพวกพี่ชายมากกว่า เธออยากเป็นความภาคภูมิใจของพวกเขา
ไป๋โม่ฮัวกล่าวว่า “หนวนหน่วนสุดยอดจริง ๆ ตอนที่พี่เรียนก็ยังไม่เก่งเท่าเธอเลย รอพี่กลับไปพี่จะเอาของขวัญไปให้ อ้อ ที่นี่มีขนมที่เธอไม่เคยกินเยอะแยะเลยเอาไหม?”
“เอาค่ะ!”
คำตอบนั้นดังชัดเจน
สองพี่น้องแอบหัวเราะกันผ่านโทรศัพท์ จากนั้นก็เริ่มคุยกันเรื่องขนม ไป๋โม่ฮัวว่าจะนำกลับมาเยอะหน่อย คนกินเก่งทั้งสองจึงเปลี่ยนหัวข้อเป็นเรื่องกินไปเลย
หลังคุยกับญาติผู้พี่คนรองเสร็จแล้ว พี่สามและพี่สี่ก็เข้ามา เด็กหญิงตัวน้อยวิ่งตึกตักไปหาพวกเขาอีกครั้งด้วยขาสั้น ๆ
“ไม่เลวนี่ ได้คะแนนเต็มสามวิชาเลย”
กู้หมิงหลี่เอามือข้างหนึ่งอุ้มเจ้าตัวเล็กขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน จากนั้นก็เขย่าตัวแล้วเอานิ้วบีบแก้มยุ้ย ๆ ของเด็กหญิงตัวน้อย
กู้หมิงอวี๋ “ยินดีด้วยที่หนวนหน่วนได้เข้าเรียน เป็นไงบ้าง อยากได้ของขวัญอะไรไหม พี่จะซื้อให้เธอเป็นของขวัญเข้าโรงเรียน”
หนวนหน่วน “ม่ายมีค่ะ”
หนวนหน่วนถูกพี่สี่บีบแก้มจึงออกเสียงไม่ค่อยชัด ปากสีชมพูแดงถูกบีบจนบู้บี้เหมือนเจลลี่
หนวนหน่วนจับมือพี่สี่ เธอถูกแกล้งจนต้องขมวดคิ้ว สายตาจดจ้องไปที่เขา ดวงตาเป็นประกายวิบวับอย่างน่าสงสาร
“พี่ชายเส่…”
กู้หมิงหลี่หัวเราะลั่นแล้วปล่อยเธอลง กู้หมิงอวี๋กลอกตาใส่แล้วแย่งตัวเด็กหญิงตัวน้อยไป
“ไม่ต้องไปเล่นกับพี่สี่แล้ว เขาดุมากเลย” กู้หมิงอวี๋ให้ร้ายน้องชายแท้ ๆ ของตัวเองซึ่ง ๆ หน้า
วันนี้ทั้งสองครอบครัวมารับประทานอาหารด้วยกัน ทุกคนชื่นชมหนวนหน่วนจนหน้าเธอแดงเปล่งปลั่ง พวกเขาชมเด็กน้อยจนแทบจะมุดหน้าลงในถ้วยชามแล้ว
ดวงตาทั้งสองเปล่งประกายวิบวับ มุมปากแย้มยิ้มเห็นฟันขาวเกลี้ยงเกลา เด็กหญิงที่ดูภาคภูมิใจเล็ก ๆ ช่างน่าเอ็นดู
ไป๋อันหรานอุ้มลูกสาวขึ้นมาอย่างขบขัน “พอแล้ว พอแล้ว เลิกชมได้แล้ว หนวนหน่วนของเราขี้อาย ชมจนไปไม่เป็นแล้ว”
ทุกคนหัวเราะอย่างเอ็นดู ไม่ชมอีกแล้ว แต่พากันคีบอาหารใส่จานของหนวนหน่วน
หนวนหน่วนชอบกินกุ้งมาก กู้หนานจึงใส่ถุงมือแกะเปลือกกุ้งอย่างชำนาญ กุ้งเนื้อเด้งอวบอ้วนทั้งตัวจึงถูกวางลงบนจานเล็กตรงหน้าหนวนหน่วน
“พี่ใหญ่ใจดีจังเลยค่ะ…”
เด็กหญิงตัวน้อยกินเนื้อกุ้งพลางยิ้มตาหยีอย่างมีความสุข ขาสั้นห้อยต่องแต่งของเธอแกว่งไกวอย่างมีความสุข บอกอร่อยเสียงใส แม้ว่ากู้หนานจะไม่ได้พูดอะไร แต่ความเร็วในการแกะเปลือกกุ้งนั้นเพิ่มขึ้นมาก
กู้อันกล่าวว่า “กินลูกชิ้นนี่สิ”
“ได้ค่ะ!”
กู้เป่ยเลือกป้อนหนวนหน่วนด้วยอาหารจานโปรดของเธอ ขนมนุ่มนิ่มละมุนละไมราวกับหยกขาว เธอกินจนแก้มป่อง เขาเห็นแล้วอารมณ์ดีจนไม่อยากกินอะไรต่อ
มื้อนี้หนวนหน่วนกินจนพุงป่อง
หนวนหน่วนเอามือน้อย ๆ ลูบพุงป่องแล้วเรอออกมา จับมือกู้อันที่กินจนพุงกางนอนแผ่อยู่บนโซฟาเหมือนกันสะบัดไปมา
“พี่กู้อัน เราไปเดินเล่นกันไหม?”
กู้อันนอนแผ่หลา “ไม่อยากขยับเลย”
“แต่หนวนหน่วนกินจนพุงกางแล้ว”
กู้อันทำหน้าประหนึ่งว่า ‘ในเมื่อเธอต้องการพี่มากขนาดนี้ พี่ก็จะฝืนใจตกลง’
เขาสูดอากาศเข้าลึกแล้วยืนขึ้น “ไปสิ ก็เธอต้องการพี่มากขนาดนี้นี่นา”
กู้หมิงหลี่กลอกตาใส่อย่างไม่เกรงใจ ลุกยืนขึ้นเช่นกัน
“ไป พี่สี่จะไปกับเธอเอง”
การปรากฏตัวของเหลียงฉือในวันส่งท้ายปีเก่าทำให้พวกเขาไม่กล้าปล่อยให้เด็กทั้งสองออกไปข้างนอกตามลำพัง แม้ว่าจะแค่เดินอยู่รอบ ๆ คฤหาสน์ของตัวเอง และจะมีจำนวนบอดีการ์ดในคฤหาสน์มากขึ้นก็ตาม
ไม่รู้ว่าครั้งที่แล้วเหลียงฉือที่ท่าทางป่วยแบบนั้นเข้ามาได้อย่างไร เขาไม่กลัวถูกจับได้แล้วจะโดนซ้อมเลยสักนิด
หลังจากพาพวกต้าหวงออกไปเดินเล่นรอบหนึ่งกลับมา ฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว กู้หมิงหลี่และกู้หมิงอวี๋สองพี่น้องกลับบ้านไปกับพ่อแม่ ในขณะที่หนวนหน่วนท่าทางงัวเงียถูกกู้หนานที่นิ่งเงียบไม่พูดจาอุ้มขึ้นมา
“ไปนวดเท้ากัน”
หลังจากที่เขานวดเท้ากับน้องสาวคราวก่อน เขาก็ชอบการนวดเท้ามากขึ้นเรื่อย ๆ
กู้อันเดินตามต้อย ๆ
“พี่ใหญ่ ผมจะไปด้วย”
กู้เป่ยทำท่าจะเอ่ยปาก ช่างมันเถอะ อ่างแช่เท้าที่บ้านพวกเขาก็ไม่ได้ใหญ่ขนาดนี้
อีกอย่างพี่ชายทั้งสองก็โตจนป่านนี้แล้ว ไปแช่เท้าด้วยกันมันจะดูแปลก ๆ เอานะ
[1] จอหงวน ใช้เรียกผู้ได้คะแนนอันดับที่หนึ่งหรือพวกหัวกะทิ มีที่มาจากคำเรียกอันดับหนึ่งในการสอบเคอจวี่หรือสอบเข้ารับราชการในสมัยก่อน