ฉันมีพี่ชาย 7 คน - บทที่ 175 พบเหลียงฉืออีกครั้ง
บทที่ 175 พบเหลียงฉืออีกครั้ง
“ต้าหวง! ต้าหวง ถ้าแกยังวิ่งอยู่ฉันจะฆ่าแกเอาเนื้อมาตุ๋นแล้วนะ!!!”
การพาสุนัขใหญ่ที่มีนิสัยรักอิสระมาเดินเล่น คุณไม่มีทางรู้หรอกว่าคุณกำลังพาสุนัขเดินเล่นหรือสุนัขกำลังพาคุณเดินเล่นกันแน่
อย่างเช่นกู้อันในตอนนี้
ตั้งแต่ต้าหวงมากินดีอยู่ดีที่บ้านของตระกูลกู้ ร่างกายก็เติบโตเกินขนาด ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นสุนัขสายพันธุ์อะไร มันไม่เหมือนมาตรฐานสุนัขในฟาร์มของประเทศจีนเลย ตัวใหญ่กว่าสุนัขฟาร์มทั่วไปมาก เพราะในบ้านมีสนามหญ้าขนาดใหญ่ให้มันได้วิ่งเล่น แขนขาของมันจึงแข็งแรง ถึงสะโพกจะผอมบางเหมือนสุนัขฟาร์ม แต่กล้ามเนื้อทั้งตัวแข็งแรงมาก
ประเด็นคือมันชอบเหวี่ยงตัวไปมาเหมือนสุนัขฮัสกี ในเวลานี้ได้พากู้อันวิ่งไปทั่วอย่างตื่นเต้นเหมือนคนบ้า หนวนหน่วนอุ้มแมววิ่งตามไม่ทันแล้ว
“ต้าหวง!”
“โฮ่ง ๆ ๆ!!!”
ต้าหวงที่กำลังตื่นเต้นดีใจก็เห่าช้าลงเมื่อได้ยินเสียงหนวนหน่วน แต่ก็ยังพากู้อันวิ่งไปข้างหน้าเหมือนเดิม
หนวนหน่วนวิ่งไม่ไหวแล้ว QAQ
“หนวนหน่วนไม่ต้องวิ่งแล้ว นั่งพักตรงนี้แหละ พี่จะพามันกลับมาเอง!”
กู้อันเห็นหนวนหน่วนวิ่งจนหอบ แม้ว่าจะวิ่งจ็อกกิงตอนเช้ากับพี่ชายคนโตมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ถึงอย่างไรเธอก็ยังเด็ก เส้นประสาทสำหรับการเคลื่อนไหวยังไม่พัฒนามากนัก ตอนนี้ยังใส่เสื้อผ้าเทอะทะอีก
กู้อันสงสารน้องสาว ไม่อยากให้เธอวิ่งตามแล้ว
เด็กหญิงวางแมวลง สองมือจับหัวเข่าหอบหายใจ ด้านในเสื้อผ้าทั้งเปียกทั้งร้อน
หลังถอดผ้าพันคอออกแล้ว เด็กหญิงก็พึมพำว่ากลับไปจะจับต้าหวงลงโทษหันเข้าหากำแพงสำนึกความผิด จะพาพี่ใหญ่ที่มันกลัวที่สุดมาคอยควบคุมดูแลมันด้วย!
“เมี้ยว!”
ขณะที่กำลังพักผ่อน จู่ ๆ เหม่ยฉิวก็แผดเสียงไปที่ต้นไม้ที่อยู่ไม่ไกลอย่างระแวดระวัง ขนข้างหลังมันลุกชูชันไปหมด
หนวนหน่วนเหลือบมองไปทางนั้น ไม่เห็นจะมีอะไรเลย?
พอมองอีกที จู่ ๆ ก็มีคนคนหนึ่งกระโดดลงมาจากต้นไม้
หนวนหน่วน “!!!”
เธอตกใจจนแทบจะสะดุ้งโหยง
คนคนนั้นกระโดดลงจากต้นไม้ ปรายตามองแมวหลายตัวที่อยู่แทบเท้าเด็กหญิง ร่างผอมเอนหลังพิงกับต้นไม้ ผิวหน้าขาวซูบซีด ท่าทางดูห่อเหี่ยว ดวงตาคู่นั้นมีความเฉยเมยและเบื่อหน่ายต่อทุกสิ่ง
“พี่เองเหรอคะ?”
สุดท้ายชายหนุ่มใบหน้าซูบซีดก็เลื่อนสายตาจากบรรดาแมวเหมียวขึ้นมามองหนวนหน่วน
บรรดาแมวเหมียวยืนอยู่ข้างเด็กหญิง ขนบนหลังลุกชูชัน ดวงตาจดจ้องชายหนุ่มที่อยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างระแวดระวังและดุร้าย
“เธอรู้จักฉันเหรอ” เหลียงฉือน้ำเสียงแหบแห้งแฝงความอ่อนล้า
หนวนหน่วนยิ้มอย่างอ่อนโยนพลางตอบรับ “พี่เป็นพี่ชายที่หนูพบที่โรงเรียนวันนั้นนี่คะ พักอยู่แถวนี้เองเหรอคะ?”
เด็กหญิงทำหน้าเหมือนเรามีวาสนาต่อกัน ไม่รู้เลยว่าคนที่อยู่ตรงหน้าอันตรายแค่ไหน
เพราะเธอไม่รู้สึกถึงความอาฆาตมาดร้ายจากตัวเหลียงฉือ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมแมวของตนถึงมีท่าทีเป็นศัตรูกับเขานัก
เด็กหญิงย่อตัวลงจับบรรดาแมวเหมียวรวมกัน จับหัวพวกมันทีละตัวพลางพูดเสียงเล็กเสียงน้อย
“อย่าเสียมารยาทสิ!”
“เมี้ยว ๆ ๆ!!!”
พวกพี่ชายไม่อยากให้หนวนหน่วนเป็นห่วง ไม่อยากให้เธอรู้เรื่องราวชั่วร้ายมากเกินไป จึงไม่ได้บอกเรื่องเหลียงฉือกับเธอ จนถึงตอนนี้หนวนหน่วนก็ยังไม่รู้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้คือผู้อยู่เบื้องหลังในวันที่เธอถูกจับเป็นตัวประกัน
“พี่ชายทำไมมาอยู่ที่นี่ล่ะคะ? วันนี้เป็นวันส่งท้ายปีเก่านะ? พี่ไม่อยู่บ้านเหรอ? สีหน้าพี่ดูไม่ค่อยดีเลย ไม่สบายหรือเปล่า? ต้องไปหาหมอไหมคะ?”
เหลียงฉือเดินเข้ามาหาหนวนหน่วนอย่างช้า ๆ แล้วย่อตัวลง ไม่กลัวว่าจะถูกแมวดุเหล่านั้นข่วนเลยสักนิด
“ฉันไม่มีบ้าน”
เขามองหนวนหน่วนด้วยดวงตาสีดำอ่อน ขยับนิ้วเหมือนต้องการลูบศีรษะของเธอ แต่ไม่รู้คิดอะไรได้จึงเปลี่ยนใจแล้วทำสายตาขุ่นมัวแทน
ใบหน้าน้อยของหนวนหน่วนหน้านิ่วคิ้วขมวดเมื่อได้ยินว่าเขาไม่มีบ้าน
“แล้ว…แล้วพ่อแม่ของพี่ล่ะ?”
ชายหนุ่มเม้มปากก่อนจะส่ายหน้า “ไม่มี”
หนวนหน่วนมองเขาด้วยสายตาเวทนาเหมือนเห็นสุนัขจรจัด นึกถึงตอนที่ตัวเองอยู่ในหมู่บ้านเสี่ยวซี เธออยู่ตัวคนเดียวตั้งแต่คุณยายเสียชีวิตไป ได้แต่มองครอบครัวคนอื่นสวมเสื้อผ้าใหม่ รับประทานอาหารส่งท้ายปีเก่ามื้อใหญ่ รวมถึงลูกอมและขนมทุกชนิด ส่วนเธอได้แต่อยู่ในห้อง ฟังเสียงจุดประทัดของบ้านอื่นอย่างน่าสงสาร เมื่อมีพี่ชายคนนี้ผ่านมา หนวนหน่วนจึงรู้สึกเศร้า
เธอยกมือน้อยขึ้นแตะศีรษะของชายหนุ่ม ปลอบประโลมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ไม่เป็นไรนะคะ อยู่คนเดียวก็ฉลองปีใหม่ได้ค่ะ”
พูดจบหนวนหน่วนก็ยกกระเป๋าเป้ออกมาตรงหน้า จากนั้นก็เริ่มควานหาของบางอย่างกุก ๆ กัก ๆ ไม่ได้สังเกตเลยว่าในขณะที่เธอวางมือลงบนศีรษะของชายหนุ่ม ร่างกายของเหลียงฉือก็แข็งทื่อในทันที ตอนนี้ยังไม่ได้สติกลับมา
ไม่กี่วินาทีต่อมาเด็กน้อยหนวนหน่วนก็ได้หยิบดอกไม้ไฟแท่งหนึ่ง ลูกอมฉลากสีแดงและขนมจำนวนหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเป้ใบน้อยของตน เธอจูงมือเหลียงฉือไปหาที่นั่ง
เมื่อจูงมือก็พบว่ามือของพี่ชายเย็นเฉียบ! เย็นกว่าพี่ใหญ่ของตนด้วยซ้ำ
“พี่คะ ย่อตัวลงหน่อย”
เหลียงฉือย่อตัวลงด้วยร่างกายที่แข็งทื่อ จากนั้นเด็กหญิงก็เขย่งเท้า เอาผ้าพันคอของตนมาพันไว้รอบคอของเขา
ผ้าพันคอทั้งนุ่มและอบอุ่น แต่ก็มีบางจุดที่ถักได้ไม่ดีนัก
เหลียงฉือลูบไล้ผ้าพันคอด้วยนิ้วมือเรียวเย็นเฉียบ พลางหลุบตาลงจมอยู่ในความคิด
เด็กหญิงเห็นสายตาของเขาทอดอยู่บนตำแหน่งที่ถักได้ไม่ดีก็หน้าแดงขึ้นมาทันที
“นี่… นี่คือผ้าพันคอที่หนูถักเอง ถักครั้งแรกไม่ค่อยดีเท่าไร พี่อย่าถือสานะคะ”
เหลียงฉือหยุดชะงัก “ถักเองเหรอ?”
หนวนหน่วนพยักหน้าอย่างเก้อเขิน “ถึงจะไม่ค่อยสวยแต่ก็อุ่นมากนะคะ”
เธอรู้สึกอายที่จะมอบผ้าพันคอที่ถักเสียให้บรรดาพี่ชายของเธอ แต่ก็ไม่อยากให้มันสูญเปล่า เด็กหญิงจึงเพิ่มสีอื่นแล้วเอามาใช้เอง
เหลียงฉือตอบรับ หลุบตาลงพูดอย่างจริงจัง “อุ่นมากเลย”
เมื่อเห็นเขาไม่รังเกียจแล้วยังชื่นชมผ้าพันคอว่าอุ่น เด็กหญิงก็ยิ้มหวานทันที เธอจูงมือเขาเดินต่อไป
“มีเก้าอี้อยู่ข้างหน้า เราไปนั่งกันเถอะ มือพี่ชายเย็นมาก ต้องไปหาหมอจริง ๆ แล้วละ ไม่งั้นจะไม่สบายตัวมาก ยังต้องกินยาขม ๆ ด้วยนะ”
เด็กหญิงพูดพลางทำหน้าไม่ชอบใจยาพวกนั้นขึ้นมา
“แต่ต้องกินยาถึงจะหาย กินขมแล้วค่อยกินลูกอม ปากก็จะไม่ขมแล้ว”
จากนั้นพวกเขาก็พบเก้าอี้ตัวนั้น เด็กหญิงดึงเขาให้นั่งลงแล้วเอามือเล็ก ๆ ของตนถูนิ้วเย็น ๆ ของเขา ความจริงเธออยากเอาถุงมือของตนสวมให้พี่ชายคนนี้ด้วยซ้ำ แต่ถุงมือของเธอเล็กเกินไป
ถูมือสักพักเธอก็เอามือของชายหนุ่มสอดเข้าไปในผ้าพันคอ
“จะได้กันลมค่ะ”
จากนั้นก็วางสิ่งที่หาเจอในกระเป๋าเป้วางไว้ตรงกลางม้านั่งที่ทั้งสองนั่งอยู่
“นี่คือดอกไม้ไฟค่ะ ในเมืองไม่สามารถจุดประทัดหรือพลุได้ แต่เล่นดอกไม้ไฟได้ หนูให้พี่ค่ะ รอจุดตอนกลางคืนมันจะสนุกมากเลย พวกนี้เป็นขนมสำหรับฉลองปีใหม่ หนูแอบเอามาได้นิดหน่อย ให้พี่ชายหมดเลยค่ะ อ้อ ยังมีอันนี้ด้วย…”
เด็กหญิงเอาผ้าสีแดงผืนหนึ่งออกมา
“หนูกับแม่ซื้อมาตอนที่ไปเดินซื้อของกับพวกเขา พวกพี่ชายของหนูซื้อของให้หนูเยอะมาก ขอส่งมอบความอยู่เย็นเป็นสุขให้พี่นะคะ พี่ดูสิ หนูก็มีเหมือนกัน”
เด็กหญิงโชว์ข้อมือซ้ายที่ขาวนวลของตน ที่ข้อมือขวาของเธอสวมสร้อยข้อมือจากพี่ใหญ่และกำไลข้อมือจากพี่รอง ส่วนกำไลหยกจากคุณป้าเธอเก็บซ่อนไว้ไม่ให้ใครเห็น
“คืนนี้หนูจะไปแขวนบนต้นไม้ แม่บอกว่าสามารถคุ้มครองหนวนหน่วนให้อยู่เย็นเป็นสุข สุขภาพร่างกายแข็งแรง”
แม้ว่าเหลียงฉือจะไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ แต่เขาก็ยังยื่นมือออกไปอย่างเชื่อฟัง ปล่อยให้เด็กหญิงผูกเชือกสีแดงบนข้อมือของเขา
“อั่งเปาซองใหญ่สำหรับพี่ สวัสดีปีใหม่นะคะ!”
หนวนหน่วนเอาซองแดงยัดใส่มือเขา พลางถามอีกว่า “พี่ชาย พี่ชื่ออะไรคะ เรียกว่าพี่ชายมันฟังดูไม่ค่อยรื่นหูเท่าไหร่ หนูเรียกพี่กู้หนานว่าพี่ใหญ่”
เหลียงฉือเม้มปาก พูดด้วยเสียงแหบแห้งยากที่จะเข้าใจความรู้สึก “ฉันชื่ออาหนาน”
‘คิดว่าแกมาที่โลกนี้เพื่อเสวยสุขเหรอ? แกมาเพื่อทนทุกข์ต่างหาก! แกถึงชื่ออาหนานไง จำชื่อนี้ไว้ล่ะ แกชื่ออาหนาน หนานที่มาจากคำว่าทนทุกข์ เกิดในครอบครัวแบบนี้ แกจะไม่ได้รับความสุขไปตลอดกาล ฮ่า ๆ ๆ…’
เสียงผู้หญิงคนนั้นดังขึ้นพลางกระชากเส้นผมของเขาแล้วพูดถึงที่มาที่ไปของชื่ออาหนานอย่างบ้าคลั่งดังก้องอยู่ในหัว
เขาเกิดมาเพื่อทนทุกข์เท่านั้น
สีหน้าของเหลียงฉือดูสงบมาก เขาถูกเรียกว่าอาหนานมาตั้งแต่ยังเด็ก พอเติบโตขึ้นก็ฆ่าบุคคลนั้นตายแล้วไปที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ผู้อำนวยการจึงตั้งชื่อให้เขาว่า เหลียงฉือ
“งั้นหนูเรียกพี่ว่าพี่อาหนานดีไหม?”
ไม่รู้ว่าทำไม ชื่อที่ติดตามตัวเขาเหมือนฝันร้าย เมื่อมีเด็กน้อยข้างกายเรียกอย่างอ่อนโยน มันก็ไม่ได้ยากที่จะยอมรับอีกต่อไป
เหลียงฉือเพิ่งพยักหน้า จุดสีแดงบนหน้าปัดนาฬิกาข้อมือก็กำลังเข้าใกล้พวกเขาอย่างชัดเจน
เหลียงฉือรู้ว่าถึงเวลาที่เขาต้องไปแล้ว
“ฉันต้องไปแล้วละ”
“อ้าว” หนวนหน่วนกล่าวอย่างเสียดาย แต่ก็รีบตั้งสติ “ก็ได้ค่ะ อากาศเย็นแบบนี้กลับไปอยู่ที่บ้านน่าจะอุ่นกว่า พี่อาหนาน ของพวกนี้หนูให้พี่ค่ะ”
เหลียงฉือพยักหน้า ไม่สนใจของพวกนั้นมากนัก เขาคว้าผ้าพันคอมาพันคอตัวเองแล้วถามขึ้น
“ผืนนี้เธอให้ฉันได้ไหม?”
หนวนหน่วนพยักหน้า “อื้ม หนูใส่ผ้าพันคอผืนอื่นได้ ผืนนี้พี่เอาไปเถอะ ถ้าพี่ไม่รังเกียจที่มันน่าเกลียดไปหน่อย”
“ไม่น่าเกลียด”
เวลานี้เหลียงฉือที่หน้าตาดูซีดเซียว สุขภาพไม่แข็งแรง สีหน้ากลับดูจริงจังผิดปกติ
“สวยมากเลย”
หนวนหน่วนเกาศีรษะแล้วหัวเราะ เหลียงฉือมองหนวนหน่วนด้วยสายตาล้ำลึก ก่อนจะจากไป เขาบอกว่าไม่ได้ต้องการขนมลูกอมเหล่านั้น ไม่ต้องการอั่งเปา เอาไปแต่พวกดอกไม้ไฟเท่านั้น
“อ้าว? พี่อาหนานไม่เอาของพวกนี้เหรอคะ?”
เหลียงฉือส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก เธอเก็บไว้กินเถอะ”
“ก็ได้ค่ะ บ๊ายบายค่ะพี่อาหนาน” หนวนหน่วนเอ่ย
เหลียงฉือเดินช้า ๆ ท่ามกลางพายุหิมะ มองดอกไม้ไฟในมือพลางเอ่ยเบา ๆ
“อืม ลาก่อน”
ลมพัดพาสามคำนี้ของเขาออกไป แต่หนวนหน่วนไม่ได้ยิน รู้สึกเพียงว่าด้านหลังของเขาสะท้อนความอ้างว้างที่อธิบายไม่ได้ออกมา
เมื่อเขาลับตาไป กู้อันก็ลากต้าหวงหอบแฮ่ก ๆ กลับมา
ต้องใช้คำว่าลากจริง ๆ เจ้าหมาทิ้งร่องรอยไว้บนหิมะเป็นทางยาว
“ไป! กลับไปตุ๋นเนื้อหมากินกันเถอะ!”
หนวนหน่วนวิ่งออกไปพร้อมกับบรรดาแมวเหมียว “ได้เลย”
ต้าหวงลุกขึ้นจากพื้นทันทีพลางส่งเสียงร้องโหยหวน ท่าทางของมันเหมือนยังประท้วงอยู่
กู้อันโกรธเจ้าหมางี่เง่าตัวนี้จริง ๆ “ประท้วงไปก็ไม่ได้ผล วันนี้ฉันจะกินเนื้อหมา!”
จากนั้นก็ถูกสุนัขกระโจนเข้าใส่จมลงไปในหิมะ
กู้อันร้องลั่น “โอ๊ย!!! เจ้าหมาโง่ แกตายแน่!”
หลังจากยื้อยุดกันครู่ใหญ่ สุดท้ายกู้อันก็ลากขาข้างหนึ่งของต้าหวงกลับไป