ฉันมีพี่ชาย 7 คน - บทที่ 171 กู้เป่ยกลับมาแล้ว
บทที่ 171 กู้เป่ยกลับมาแล้ว
กู้หนานนั่งอยู่ในสำนักงาน คอยมองโทรศัพท์มือถือของตัวเองเป็นรอบที่ล้าน ทั้งยังขมวดคิ้วแน่นราวกับประสบปัญหาใหญ่แห่งศตวรรษ
หนานเฟิงปรายตาลง ก่อนจะยื่นเอกสารในมือให้เขาพร้อมกับเตือนสติ
“เจ้านาย บางทีคุณหนูหนวนหน่วนอาจจะกำลังยุ่งเลยไม่มีเวลาส่งข้อความก็ได้”
ใช่แล้ว เวลานี้กู้หนานกำลังรอข้อความจากน้องสาวของตนอยู่
ที่ผ่านมาในเวลานี้เธอจะส่งข้อความมากำชับเขาให้กินข้าวดี ๆ วันนี้พอไม่มีก็รู้สึกว่ากินข้าวไม่อร่อยเลย
ความเป็นมืออาชีพที่แข็งแกร่งของกู้หนานทำให้เขาข่มมุมปากไม่ให้กระตุกได้ ท่าทางเหม่อลอยเช่นนี้ คนที่ไม่รู้จักอาจคิดว่าเขากำลังรอผู้หญิงตอบ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องเกินจริง เพราะตระกูลกู้ทุกคนรักและเอ็นดูคุณหนูหนวนหน่วนมากกว่าใคร
หากคุณหนูหนวนหน่วนโตขึ้นและต้องแต่งงานกับใครสักคนในอนาคต เจ้านายของเขาอาจจะหลุดคาแรคเตอร์แบกดาบยาว 70 เมตรไปฆ่าคนก็ได้
กู้หนานเม้มปากถาม “จะเกิดอะไรขึ้นกับหนวนหน่วนหรือเปล่า”
หนานเฟิงเอ่ยเตือนด้วยคำรื่นหู “อันที่จริงลองโทรไปถามดูก็ได้นี่ครับ”
กู้หนานไตร่ตรองไปหนึ่งวินาทีแล้วพยักหน้า “นายพูดถูก”
แต่มันออกจะตื่นตูมไปสักหน่อยหากโทรไปสอบถามเพียงเพราะน้องสาวไม่ได้ส่งข้อความถึง เกิดไปสร้างภาพจำที่ไม่หนักแน่นให้กับหนวนหน่วนคงจะไม่ดี
ความจริง… เขาคงแค่คิดมากไปเอง
เสียงโทรศัพท์ที่โทรออกไปเพิ่งดังตู๊ดตู๊ดแค่สองครั้ง อีกฝ่ายก็รับสายแล้ว
[ฮัลโหล? พี่ใหญ่เหรอคะ?]
กู้หนานตอบรับ เขาที่พูดไม่เก่งอยู่แล้วตอบอืมคำเดียวก็ไม่พูดอะไรต่อ ทำให้หนานเฟิงร้อนใจ
พูดอะไรสักอย่างสิครับท่าน
กู้หนานกระแอมไอ “ทำอะไรอยู่?”
เสียงนุ่มนวลของหนวนหน่วนดังมาจากโทรศัพท์ [หนูกับแม่กำลังหัดทำกับข้าวอยู่ในครัวน่ะ พี่ใหญ่ไม่ลืมกินข้าวนะ]
“กินแล้ว”
[อ้อ วันนี้พี่ใหญ่ต้องกลับเร็ว ๆ นะ หนวนหน่วนกับแม่รอพี่อยู่ที่บ้าน ตอนนี้หนูกำลังล้างผลไม้อยู่ ยังไม่ได้ส่งข้อความหาพี่เลย พี่ต้องพักผ่อนมาก ๆ อย่าหักโหมเกินไปนะคะ…]
หนวนหน่วนพูดเจื้อยแจ้วไม่หยุด ในขณะที่กู้หนานคอยตอบอืมอยู่เป็นระยะ ชายหนุ่มคอยฟังอย่างอดทน หลังจากวางสายไป ในที่สุดเขาก็คลายคิ้วที่ขมวดลงได้แล้ว
หนานเฟิงถอนหายใจโล่งอกอยู่ข้าง ๆ มีเพียงคุณหนูหนวนหน่วนเท่านั้นที่สามารถทำให้เจ้านายของเขาอารมณ์ดีได้
เจ้านายเป็นคนหน้าตาย การแสดงออกทางสีหน้าส่วนใหญ่เย็นชาราวกับหุ่นยนต์ แม้ว่าจะดูหล่อดูเท่มากก็เถอะ
บางครั้งเมื่อเบื่อหน่ายหรืออารมณ์ไม่ดี ถึงการแสดงออกทางสีหน้าของเขาจะไม่เปลี่ยนไป แต่ก็สามารถแผ่กลิ่นอายอันแข็งแกร่งและกดดันออกมาได้ ส่งผลให้คนรอบข้างตัวสั่นไปตาม ๆ กัน ที่น่าหงุดหงิดคือใบหน้าที่ไร้อารมณ์ตลอดเวลาของเขา ไม่มีใครเดาถูกเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่
มีเพียงหนานเฟิงที่ติดตามเขามาหลายปีที่พอจะเดาอารมณ์ของเขาได้บ้างในบางครั้ง
เมื่อวางสาย กู้หนานก็เปิดโหมดคนบ้างานทันที ชายหนุ่มเหมือนหุ่นยนต์ไม่มีผิด นั่งตัวตรงบนเก้าอี้ทำงาน ตรงหน้ามีคอมพิวเตอร์สองเครื่องทำหน้าที่เป็นประธานการประชุมต่างประเทศสองที่ในเวลาเดียวกัน ทั้งยังเป็นการประชุมที่ใช้ภาษาแตกต่างกันไปอีกด้วย
ในขณะเดียวกันเขายังดูเอกสารที่หนานเฟิงเพิ่งมอบให้อย่างรวดเร็ว ชี้ให้เห็นปัญหาหลายแห่งที่มีอยู่แล้วให้หนานเฟิงนำไปให้คนแก้ไข
“รับทราบครับ!”
หนานเฟิงถือเอกสารออกไปด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มตามปกติ พอเดินไปถึงประตูก็กำหมัดแน่น
ภายในใจกลายเป็นเสียงกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งเหมือนแฟนบอยในทันที
อ๊าก!!! สมกับที่เป็นเจ้านายของเขาจริง ๆ ตอนทำงานหล่อชะมัดเลย!
แต่แค่หนึ่งถึงสองวินาที เขาก็กลายเป็นผู้ช่วยจอมเนี้ยบสมบูรณ์แบบอีกครั้งในชั่วพริบตา
กู้หนานนึกถึงเรื่องที่หนวนหน่วนบอกให้วันนี้กลับบ้านเร็วหน่อยมาตลอด เขาจึงจดจ่อคร่ำเคร่งกับการทำงานเป็นเวลาหลายชั่วโมงโดยไม่ได้เปลี่ยนท่านั่งเลย หลังจัดการกับเอกสารการประชุมทั้งหมดเสร็จสิ้น ชายหนุ่มก็ลุกขึ้นหยิบเสื้อกันลมพาดหลังพลางสวมให้ตัวเองอย่างสุดเท่
“เจ้านายครับ มีงานเลี้ยง…”
“บอกปัดไป” กู้หนานปฏิเสธโดยไม่ลังเล
จากนั้นเขาก็ตรงไปที่ลานจอดรถชั้นใต้ดิน หนานเฟิงเหมือนอยากจะพูดอะไร แต่กู้หนานก็ขึ้นรถพร้อมกับปิดประตูรวดเดียวจบไปแล้ว
“เจ้านายครับ แต่ว่างานเลี้ยงนั้น…”
“ไม่ไป”
หนานเฟิง “…”
จะอย่างไรก็ขอผมพูดให้จบก่อนสิท่าน
แต่จากสายตาเย็นชาสะกดใจ หนานเฟิงก็ไม่กล้าพูดอะไรแล้ว ช่างเถอะ อันที่จริงเขาก็ไม่อยากโดนด่าหรอก
หนานเฟิงขับรถมุ่งหน้าไปยังตระกูลกู้
ขณะเดียวกัน เสินอวี้จิ่นที่ถูกไหว้วานให้จัดเตรียมงานเลี้ยงเพื่อฉลองวันเกิดล่วงหน้าหนึ่งวันแต่กลับถูกเบี้ยว “…”
เขาดูเวลาในขณะที่สีหน้าเริ่มเผยออกมาเรื่อย ๆ
และในเวลานี้กู้หนานได้กลับมาถึงบ้านแล้ว แต่ภายในบ้านเงียบสงัด ชายหนุ่มจึงสับสนเล็กน้อย
เมื่อผลักประตูเปิดออก เสียงดังปังและริบบิ้นหลากสีก็ปลิวร่วงจากด้านบนลงมายังศีรษะของเขา เส้นผมสีดำเป็นประกายเงางามในทันใด
กู้หนานจับจ้องริบบิ้นที่ห้อยลงมาจากศีรษะตรงหน้า หน้าตาเหม่อลอยในแบบที่ไม่ค่อยได้เห็นเท่าไร
“สุขสันต์วันเกิดพี่ใหญ่!”
“สุขสันต์วันเกิดพี่ใหญ่!”
ทันใดนั้นเสียงที่มีชีวิตชีวาพลันดังขึ้นมา เขาหันหน้าไป เห็นสมาชิกในครอบครัวทุกคนยกเว้นน้องชายคนรองกำลังรายล้อมเขาอยู่
ส่วนน้องสาวสุดที่รักและแม่ของเขายังถือพลุแท่งไว้ในมือ อีกทั้งยังยิ้มอย่างมีความสุข
กู้หนาน “…”
พอโตขึ้นมาก็ไม่ได้ฉลองวันเกิดในบ้านแล้ว ประการหนึ่งคือยุ่งมาก อีกประการคือรู้สึกว่าการฉลองเป็นเรื่องของเด็ก
ไม่คิดว่าวันนี้ครอบครัวจะทำเซอร์ไพรส์ให้เขา
ชายหนุ่มดึงริบบิ้นหลากสีบนศีรษะออกแล้วถามอย่างใจเย็น “ทำไมถึงมาฉลองวันเกิดให้พี่ล่ะ”
หนวนหน่วนมองเขาตาปริบ ๆ “หนวนหน่วนอยากลองฉลองวันเกิดให้พี่ใหญ่ค่ะ”
ว่าแล้วเธอก็กางแขนเล็ก ๆ แล้วออกจากอ้อมกอดของพ่อมาหาเขา กู้หนานจับสาวน้อยรับไว้อย่างง่ายดาย
“พี่ใหญ่สุขสันต์วันเกิดค่ะ! พวกเรายังเตรียมของขวัญไว้ให้พี่ด้วยนะ”
กู้หนานตอบรับแล้วอุ้มหนวนหน่วนเดินเข้าไป จากนั้นก็เห็นเค้กวันเกิดบนโต๊ะ อาจเป็นเพราะรู้ว่าเขาไม่ชอบขนมหวาน ๆ เลี่ยน ๆ แบบนี้ บนหน้าเค้กจึงตกแต่งด้วยผลไม้หลากชนิด
“พี่ใหญ่ อันนี้หนูกับแม่ทำให้พี่เองกับมือเลยนะคะ”
กู้หนานมองเค้กแล้วเลื่อนสายตาไปมองเด็กน้อยในอ้อมแขน มุมปากวาดโค้งขึ้นตามมาด้วยรอยยิ้มเล็ก ๆ
“อืม ขอบใจนะ”
“ไม่ต้องเกรงใจจ้ะ รีบมากินเถอะ น่าเสียดายที่วันนี้พี่รองไม่กลับมา”
ทันทีที่พูดจบ เสียงอ่อนโยนเคล้าเสียงหัวเราะก็ดังมาจากประตู
“ใครบอกว่าพี่จะไม่กลับมาล่ะ?”
เด็กหญิงตัวน้อยในอ้อมแขนของกู้หนานเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจเมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย เธอเอี้ยวคอมองออกไปข้างนอก ขณะเดียวกันกู้หนานก็หันไปมองด้วย
ชายหนุ่มร่างเพรียวยืนอยู่ที่ประตู ผมสั้นสีดำถูกลมพัดปลิวไสว ภายใต้แสงไฟได้เผยใบหน้าที่ละม้ายคล้ายคลึงกู้หนาน ต่างกันแค่รอยยิ้มละมุนละไม
“พี่รอง!”
หนวนหน่วนร้องเรียกด้วยความดีใจ
กู้หนานวางเธอลง หนวนหน่วนวิ่งไปที่ประตูด้วยขาสั้น ๆ แต่ก็วิ่งได้เร็วมาก เธอโผเข้ากอดคนที่ประตูในทันที
“พี่รอง”
อาจเป็นเพราะเพิ่งกลับมาจากข้างนอก ร่างกายของกู้เป่ยจึงค่อนข้างเย็น แต่หนวนหน่วนไม่สนใจเรื่องพวกนี้ เด็กหญิงเอาท่อนแขนเล็ก ๆ โอบรอบคอของเขาไว้แน่น จากนั้นก็ฝังใบหน้าน้อยลงในซอกคอของเขาแล้วคลอเคลียเหมือนลูกแมว
ไม่ได้พบพี่รองมาตั้งนาน ดวงตาของเด็กหญิงตัวน้อยจึงเริ่มแดงเรื่อเหมือนกระต่ายน้อยน่าสงสารขึ้นมาทันที
กู้เป่ยอุ้มเด็กน้อยไว้ในอ้อมแขน เขาก็คิดถึงน้องสาวมากเช่นกัน
การวิจัยที่ต้องการเวลาระยะหนึ่งจึงจะเสร็จสมบูรณ์ แต่เขาฝืนอดหลับอดนอนทำงานล่วงเวลาจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว แน่นอนโชคอาจมีส่วนช่วยอยู่บ้าง แต่ก็ไม่กระทบถึงผลลัพธ์ที่สมบูรณ์แบบ
“ศะ… ศาสตราจารย์!”
ในช่วงเวลาอันอบอุ่นนี้ บอดีการ์ดสองคนที่เกือบถูกกระเป๋าเดินทางถล่มทับก็ตะโกนเรียกศาสตราจารย์ด้วยความยากลำบาก
กู้เป่ยลูบศีรษะน้อย ๆ ของหนวนหน่วน หัวเราะบอดีการ์ดหนุ่มร่างกำยำสองคนที่เคยทำหน้าที่ดูแลเขา
“อ้าวขอโทษที พวกคุณเอาของมาวางไว้ข้างในเถอะ”
ทั้งสองรีบหอบกระเป๋าใบใหญ่ใบเล็กมาวางไว้ข้างใน จากนั้นจึงทำความเคารพแบบสากล
“รบกวนพวกคุณรับไว้ด้วย”
เมื่อเห็นกระเป๋าใบใหญ่ใบเล็กบนพื้น สมาชิกตระกูลกู้ก็พูดไม่ออก
เปลือกตาของคุณหญิงกู้กระตุก “ทั้งหมดนี้เป็นของเจ้ารองบ้านเราเหรอ?”
ชายหนุ่มคนหนึ่งหัวเราะขึ้นมา “ใช่แล้ว ทั้งหมดเป็นของศาสตราจารย์กู้ครับ แต่ว่า…ไม่ได้มีแค่นี้”
พูดจบทั้งสองก็วิ่งออกไปอีกครั้ง ตามด้วยสหายมู่ชิงที่กำลังขนกระเป๋าเดินทางมาพลางหอบแฮ่ก ๆ
“ศาสตราจารย์ ของคุณยังมีอีกหนึ่งรถบรรทุกนะครับ!”
ทุกคน “…”
นี่แกซื้อของอะไรมากันแน่!
กู้เป่ยยิ้มเขิน “ทั้งหมดนี้เป็นของขวัญที่ผมซื้อให้ทุกคนจากเมือง A แต่ก็รวมอุปกรณ์ในห้องทดลองของผมด้วยน่ะ”
ชายหนุ่มหลายคนต้องวิ่งหลายรอบกว่าจะขนย้ายของทั้งหมดที่กู้เป่ยนำกลับมาได้หมด เมื่อเห็นสิ่งของกองเกือบเป็นภูเขาย่อม ๆ แล้ว พวกเขาก็คิดว่า กู้เป่ยนี่ก็ช่างทำไปได้!
ทุกคนช่วยกันจัดระเบียบแยกประเภทสิ่งของเหล่านี้อยู่เป็นเวลานาน ของขวัญที่เขาซื้อให้หนวนหน่วนรวม ๆ แล้วกินพื้นที่กระเป๋าเดินทางใหญ่สี่ใบ
ดวงตาน้อย ๆ ของหนวนหน่วนตะลึงงัน
กู้หลินโม่ตบไหล่บรรดาบอดีการ์ดแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ลำบากพวกคุณแย่เลยนะ”
“ไม่ลำบากเลยครับ” ಥ_ಥ