ฉันมีพี่ชาย 7 คน - บทที่ 162 ใครมันทำ!
บทที่ 162 ใครมันทำ!
ไป๋โม่ซูมองไปที่คนสองคนที่แอบแข่งขันกันอย่างเงียบ ๆ ทำเอาเขายิ่งสงสัยเกี่ยวกับลูกพี่ลูกน้องตัวน้อยคนนี้เข้าไปใหญ่
เขาเพิ่งกลับมาได้ไม่นาน ยังไม่คุ้นเคยกับหนวนหน่วนสักเท่าไหร่ เพียงแต่รู้ว่าน้องสาวคนนี้น่ารักมาก แต่สิ่งที่เขาคาดไม่ถึงก็คือหนวนหน่วนทำให้กู้หนานเปลี่ยนไปมาก
เขายกยิ้มขึ้น “พอก่อนเถอะ ถ้าทำเธอตื่นขึ้นมาจะเป็นยังไง?”
กู้หนานอ้าปากกำลังจะพูดอะไรสักอย่าง แต่แล้วประตูห้องพักฟื้นก็เปิดออกพอดี ตามมาด้วยผู้คนจำนวนมาก
กู้หลินโม่และภรรยาเดินเข้ามาพลางช่วยประคองผู้เฒ่ากู้ ตามมาด้วยอาชายกับอาสะใภ้ของหนวนหน่วน
เพียงแค่นี้ก็รู้ว่าพวกเขารู้ข่าวแล้ว กู้หลินโม่และภรรยามองใบหน้าซีดขาวของลูกสาวด้วยความตกใจ
“เป็นไงบ้าง หนวนหน่วนของฉันเป็นยังไงบ้าง”
คุณหญิงกู้รีบวิ่งไปที่เตียงด้วยใบหน้าซีดเซียว ดวงตาของเธอแดงก่ำ ก่อนจะหลั่งน้ำตาออกมา ครั้งนี้เธอตื่นตระหนกมากกว่าเหตุการณ์ใดที่เคยเกิดขึ้น
เด็กน้อยเพิ่งจะกลับมาสู่ตระกูลแท้ ๆ ทำไมถึงได้โชคร้ายเช่นนี้!
กู้หลินโม่และผู้เฒ่ากู้ก็เดินเข้าไปหาเช่นกัน ทำให้กู้หนานและไป๋โม่ฮัวต้องถอยออกไปเพื่อให้พื้นที่แก่ทั้งคู่
“ไม่ต้องห่วงครับ หนวนหน่วนไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่เธอคงกลัว ไข้ก็เลยขึ้น อีกสักพักก็ลดลงแล้ว”
ผู้ใหญ่หลายคนยืนล้อมรอบเตียงพลางมองดูใบหน้าขาวเล็กนั้น เด็กหญิงตัวน้อยภายใต้ผ้าห่มดูกระสับกระส่าย ไม่สบายตัวอย่างเห็นได้ชัด
ตอนนี้หนวนหน่วนหลับไปแล้ว พวกเขาจึงไม่กล้าพูดคุยกันเสียงดังเพราะกลัวว่าเด็กหญิงจะตื่น
เมื่อมองดูอยู่สักพักหนึ่งก็เหลือเพียงหญิงสาวสองคนที่คอยเฝ้าอยู่ข้างเตียง ส่วนชายตระกูลกู้ทั้งหลายต่างออกไปข้างนอกเพื่อสืบหาความจริงเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น
สิ่งที่ไป๋โม่ซูบอกยังไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่
ส่วนไป๋โม่ฮัวเองก็เล่าเรื่องทั้งหมดออกมาพร้อมกับดวงตาทั้งสองข้างที่แดงก่ำ และในที่สุดเขาก็ก้มหน้าแสดงความรู้สึกผิด
“ขอโทษนะครับ ทั้งหมดเป็นความผิดผมเอง”
กู้หนานตบบ่าของไป๋โม่ฮัวด้วยสีหน้าเย็นชา
“นายไม่ได้ทำอะไรผิดเลย คนร้ายต่างหากที่สมควรได้รับโทษ”
ผู้เฒ่ากู้กระทุ้งไม้เท้าลงบนพื้นด้วยมือเพียงข้างเดียว ส่วนอีกข้างยังคงไพล่หลังอยู่ หลังจากที่ชายชราได้มาเจอหนวนหน่วน ดวงตาของเขาก็ฉายความใจดีออกมามากกว่าความเย็นชา เขาต้องเป็นคนแบบนั้นเพราะต้องบริหารห้างสรรพสินค้า มิเช่นนั้นคงไม่มีกิจการใหญ่โตไว้ให้ตระกูลกู้ได้สืบทอดกันอย่างแน่นอน
หลังจากเกษียณแล้ว แม้ว่าเขาจะใจเย็นขึ้นมากแต่นั่นก็เป็นเพียงการข่มอารมณ์ที่แข็งกร้าวของตัวเองไว้ภายในก็เท่านั้น
ถึงแม้ว่าราชาหมาป่าจะอายุมากแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะโกรธไม่เป็นหากถูกยั่วยุเช่นนี้
“โม่ซู บอกข้อมูลของเหลียงฉือให้พวกเราอีกทีสิ”
ฟางชิ่งเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งเท่านั้น คนที่คุมเกมต่างหากคือผู้ร้ายตัวจริง
ไป๋โม่ซูพยักหน้ารับก่อนจะบอกทุกสิ่งที่เขาทราบ
ชายหนุ่มไม่รู้จักบุคคลนี้เท่าไหร่นัก รู้เพียงแค่ว่าเหลียงฉือเคยก่ออาชญากรรมมาแล้วสามครั้งในประเทศจีนรวมถึงครั้งนี้ด้วย นอกจากนี้ยังมีคดีที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในต่างประเทศนั้นก็น่าสลดใจอย่างยิ่ง เพราะมันเป็นการวางระเบิดในหลายสถานที่
ดูเหมือนว่าจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะไม่ค่อยเชื่อมโยงกันสักเท่าไหร่ เพราะเหลียงฉือยืมมือของผู้ที่ต้องการต่อต้านสังคมมาใช้เพียงเท่านั้น หลังจากที่ใช้คนพวกนั้นเสร็จ พวกเขาก็โดนจับ สุดท้ายจึงไม่มีใครสามารถเปิดเผยข้อมูลของผู้อยู่เบื้องหลังได้เลยสักนิด ไม่แปลกที่ตำรวจจะไม่รู้เรื่องที่มีผู้บงการอยู่เบื้องหลัง
แต่ไป๋โม่ซูดันไปรู้เห็นเบื้องหลังเข้าโดยบังเอิญเพราะรู้สึกถึงลางสังหรณ์แปลก ๆ เขาจึงพยายามหาทางพบกับนักโทษพวกนั้นจนได้ และด้วยความที่เขาเป็นนักสะกดจิตตัวยง ชายหนุ่มจึงถามหาชายที่อยู่เบื้องหลังได้อย่างง่ายดาย
หลังจากนั้นเขาก็สะกดรอยตามจนมาถึงสถานที่สุดท้าย นั่นคือหลินเฉิง
มีคนจำนวนไม่มากนักที่รู้เรื่องราวพวกนี้ แต่การสะกดรอยตามเหลียงฉือนั้นยากมาก เขาไม่คาดคิดว่าจะได้กลับมาพบกันอีกครั้งหลังจากกลับมาเหยียบที่นี่
ไม่ผิดแน่ การก่อโศกนาฏกรรมที่ไร้สติเช่นนี้เป็นงานบงการของเหลียงฉือแน่นอน ฟางชิ่งก็แค่หมากตัวหนึ่ง เขาทำเพียงแค่เดินหมากตามคำสั่งเท่านั้น
หลังจากที่กู้หนานได้ยินเรื่องราวทั้งหมด เขาก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไม่ว่ามันจะเป็นใคร ฉันก็จะหาให้เจอ”
ถึงแม้ว่าคนอื่น ๆ จะไม่ได้พูดอะไร แต่สิ่งที่อยู่ภายในใจก็แสดงออกผ่านแววตาทั้งหมดแล้ว
ไป๋โม่ซูพยักหน้า “แต่มันมีปัญหานิดหน่อยนี่สิ ดูเหมือนว่าเจ้านี่จะเป็นแฮกเกอร์ด้วย พวกนายระวังกันเอาไว้หน่อยก็ดี”
พวกเขาเพียงปล่อยให้เรื่องของเหลียงฉือถูกสอบสวนโดยตำรวจไปก่อน เพราะตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดของพวกเขาก็คือหนวนหน่วน
เมื่อกู้หมิงอวี๋ได้ยินข่าว เขาก็รีบยกเลิกงานในอีกสองเมืองที่ต้องไปทำการโปรโมตทันที ชายหนุ่มสั่งให้ผู้จัดการจองตั๋วบินกลับมาโดยเร็วที่สุด ขณะที่นั่งเครื่องบิน ร่างกายของเขาก็รู้สึกเป็นกังวลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ราวกับว่าเขาหวาดกลัวบางอย่างอยู่
ทุกคนไม่เคยเห็นกู้หมิงอวี๋เป็นแบบนี้มาก่อนเลย!
กู้หมิงหลี่และกู้อันเป็นสองคนสุดท้ายที่ได้ข่าว หลังจากที่ทั้งคู่เลิกเรียนก็เดินทางมาโรงพยาบาลทันที เพราะร้อนใจจนไม่อาจรอลิฟต์ได้ กู้หมิงหลี่จึงรีบวิ่งขึ้นบันไดมาทันที
เมื่อมาถึงประตูห้องพักฟื้น เด็กหนุ่มก็หอบหนัก สีหน้าแดงก่ำ ผมสั้น ๆ เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขาใช้นัยน์ตาสีทะมึนเข้มจ้องมองเข้าไปในห้องทันที
“ใครมันทำ!”
วัยรุ่นที่เดือดดาลก็เปรียบเสมือนสัตว์ป่าที่กำลังคลั่ง ดวงตากู้หมิงหลี่ฉายแววแดงปลาบพร้อมแยกเขี้ยวตะครุบ แทบอดใจไม่ไหวที่จะฉีกคอคนที่ทำแบบนี้กับหนวนหน่วน
“ไม่ต้องห่วง หนวนหน่วนไม่เป็นอะไรแล้ว”
ถึงอย่างนั้นจะไม่ให้กังวลได้อย่างไร!
น้องสาวแสนอ่อนโยนและฉลาดเฉลียวของเขา ตอนนี้ต้องมานอนอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าซีดเซียวแบบนี้!
กู้อันพร้อมแยกเขี้ยวกางกรงเล็บแมวของตัวเองเต็มที่ เขาโกรธมากจนสาบานว่าจะฆ่าฟางชิ่งให้ได้
ยาที่ไป๋โม่ซูจ่ายให้มีคุณภาพมาก ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง อาการหนวนหน่วนก็เริ่มดีขึ้นแล้ว
มีคนจำนวนมากแห่มาที่ห้องพักฟื้น เมื่อเด็กหญิงบนเตียงร้องครวญครางออกมาเบา ๆ ทำให้ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้นแห่กันมารวมตัวทันที พวกเขามองเธอด้วยความเป็นห่วง
หลังขนตากะพริบสั่นเล็กน้อย หนวนหน่วนก็ลืมตาตื่นขึ้นมา
และเนื่องจากแสงไฟในห้องค่อนข้างสว่างจ้า หนวนหน่วนลืมตาได้เพียงนิดเดียวก็ต้องปิดมันลงอีกครั้ง
เมื่อมีเงามืดทาบลงมาบดบังแสงเหนือดวงตา หนวนหน่วนจึงลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้งด้วยความงุนงง และสิ่งแรกที่เธอเห็นคือฝ่ามือหนาเรียวยาวที่ยื่นเข้ามาบดบังแสงให้ นาฬิกาสีดำประดับอยู่บนข้อมือของเขา นั่นทำให้หนวนหน่วนจำได้ทันทีว่าเป็นมือของพี่ใหญ่
เธอกะพริบตาเล็กน้อย เมื่อเริ่มชินก็ค่อย ๆ เบี่ยงฝ่ามือหนาออก เด็กหญิงมองดูบุคคลแสนคุ้นเคยที่ยืนรายล้อมรอบตัวด้วยสายตาว่างเปล่า
เธอยังประมวลผลไม่ได้ ที่นี่ที่ไหนกัน แล้วทำไมคุณพ่อกับพวกพี่ ๆ ถึงมาอยู่ที่นี่ได้
“คุณปู่ คุณพ่อ คุณแม่ พี่…”
หนวนหน่วนกะพริบตาพลางเอ่ยเรียกแต่ละคนด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“หนวนหน่วนยังรู้สึกไม่ดีอยู่หรือเปล่า?”
“หิวน้ำไหม?”
“หิวข้าวรึเปล่า?”
“ปวดหัวไหม?”
คนรอบข้างต่างถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง ทำเอาจิตใจของเด็กหญิงพลันอุ่นซ่านขึ้นมา
ว่าแต่… เกิดอะไรขึ้นกับเธอ?
เด็กหญิงจำได้เพียงว่าลูกพี่ลูกน้องเข้ามาช่วยเอาไว้ หลังจากนั้นเธอก็รู้สึกเหนื่อยมากจนหลับไป
แต่เห็นได้ชัดว่าที่นี่ไม่ใช่บ้าน
“ถอยไปหน่อย ขอผมวัดไข้หนวนหน่วนก่อน”
ไป๋โม่ซูในชุดเสื้อกาวน์เดินเข้ามาหา ก่อนจะวางเทอร์โมมิเตอร์บนหน้าผากเพื่อวัดไข้ให้คนตัวเล็ก
“37.3 ปกติแล้วครับ”
หลังจากพูดจบเขาก็ลูบศีรษะของหนวนหน่วน “ตัวเล็ก รู้ไหมว่ามีไข้”
หนวนหน่วน “!!!”
งั้นเธอก็ฟื้นจากอาการป่วยแล้ว เดี๋ยวนะ ที่นี่คือโรงพยาบาลหรือ? ทำไมมันถึงดูแตกต่างจากห้องที่เธอเคยเจอแบบนี้ล่ะ
“หนวนหน่วน”
คุณหญิงกู้รีบสวมกอดลูกสาวด้วยแววตาแดงก่ำ
หนวนหน่วนฝังหน้าจมลงในอ้อมอกของผู้เป็นแม่ รู้สึกได้เลยว่าร่างกายของเธอสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวเล็กน้อย เด็กหญิงมุดแล้วมุดอีก
“คุณแม่ หนวนหน่วนไม่เป็นไรแล้วค่ะ ไม่ต้องกังวลนะคะ”
น้ำเสียงนุ่มนวลของเด็กหญิงดังขึ้น เธอยกมือลูบหลังผู้เป็นแม่เพื่อปลอบโยนไปด้วย
คุณหญิงกู้รู้สึกทุกข์ใจมากขึ้น เธอเป็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวน ไอ้ผู้ร้ายนั่นบังอาจมาจับเธอไปเป็นตัวประกันได้อย่างไร!
“กินน้ำหน่อย”
กู้หนานเดินเข้ามาพร้อมกับแก้วน้ำอุ่นในมือ หนวนหน่วนไม่ต้องถือแก้วน้ำเองเลยด้วยซ้ำเพราะพี่ใหญ่เอาแขนโอบไหล่น้องสาวตัวน้อยแล้วเริ่มป้อนให้อย่างเบามือ
การกระทำอันแสนอ่อนโยนนี้ออกมาจากกู้หนานผู้เย็นชาดุจภูเขาน้ำแข็ง มันจึงเป็นภาพที่แปลกตามาก
ไป๋โม่ซูถึงกับต้องไว้อาลัยให้เหลียงฉือเป็นที่เรียบร้อย เพราะหนวนหน่วนคนนี้เป็นที่รักของตระกูลกู้จริง ๆ
หนวนหน่วนไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วยเลยตอนที่อาศัยอยู่ในบ้านตระกูลกู้ การที่มาเจ็บป่วยในครั้งนี้เป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่มากสำหรับพวกเขา ตระกูลกู้จึงได้สรรหาโรงพยาบาลที่ดีที่สุดเพื่อเธอโดยเฉพาะ
แน่นอนว่าประสบการณ์เพียงครั้งเดียวก็เพียงพอแล้ว
เด็กหญิงได้ทานผลไม้สดและมีพี่ชายคอยป้อนนมให้ทุกวัน อย่างที่รู้กันว่าอาหารนั้นเป็นสิ่งที่เธอโปรดปรานมาก ซ้ำยังไม่ต้องใช้มือเลย เพราะมีคุณพ่อ คุณแม่และพวกพี่ชายคอยผลัดกันป้อนข้าวอยู่แล้ว
บางครั้งก็ถึงกับต้องแย่งชิงเพื่อที่จะได้ป้อนน้ำ อาหาร และนมให้กับหนวนหน่วน ทำเอาชายรูปร่างกำยำทั้งหลายกลายเป็นเด็กขึ้นมาทันที
เด็กหญิงใช้ชีวิตเหมือนแมลงวัน เธอเพียงแค่สวมเสื้อผ้า อ้าปากและกินเท่านั้น
“หนวนหน่วนอยากออกไปอาบแดดข้างนอกกันไหม?”
วันนี้อากาศข้างนอกค่อนข้างดีเลยทีเดียว
และวันนี้ก็เข้าสู่วันที่สามของการนอนโรงพยาบาลแล้ว หนวนหน่วนรู้สึกได้ว่ากล้ามเนื้อของเธอเริ่มอ่อนแรงลงยังไงก็ไม่รู้ เมื่อได้ยินพี่ชายคนโตถามแบบนั้นขึ้นมา เด็กหญิงจึงตอบตกลงทันควัน