ฉันมีพี่ชาย 7 คน - บทที่ 161 หนวนหน่วนไม่สบาย
บทที่ 161 หนวนหน่วนไม่สบาย
ไป๋โม่ฮัว “ฮือออ หนวนหน่วนทำพี่กลัวนะ”
ร่างกายของหนวนหน่วนสั่นไปหมด เธอคล้องคอญาติผู้พี่ของตนไว้แล้วสวมกอดเขาแน่น ใบหน้าขาวน้อย ๆ ฝังลงเข้ากับต้นคอของเขา ดวงตากลมโตขึ้นสีแดงก่ำ น้ำตาร่วงผล็อยออกมาเป็นสาย
“ฮือออ พี่โม่ฮัว หนูกลัวมากเลย”
เสียงร้องคร่ำครวญของทั้งคู่ประสานกัน เด็กน้อยที่เพิ่งพ้นขีดอันตรายใช้สองมือเล็กสวมกอดพี่ชายของตนแล้วร้องไห้ออกมาด้วยความกลัวจนตัวโยน
ไป๋โม่ซูที่ยืนอยู่ข้าง ๆ “…”
เดี๋ยวนะ… หรือว่าเด็กคนนี้…
สายตาของเขาจับจ้องไปที่เด็กหญิงตัวเล็กที่น้องชายของเขากำลังอุ้มอยู่
“หนุ่มน้อย ต้องขอบใจคุณมากเลยนะ”
หัวหน้าเหยียนเดินเข้ามาหาพลางส่งยิ้มให้ สายตาเปี่ยมล้นไปด้วยความชื่นชม วิธีแก้สถานการณ์ที่เพิ่งได้รับชมจากชายหนุ่มคนนี้ช่างยอดเยี่ยมเหลือเกิน
ไป๋โม่ซูพึมพำ ก่อนจะรู้สึกว่าตนไม่จำเป็นต้องถ่อมตัวสำหรับเรื่องนี้เลย
“ขอบคุณที่ชมครับ”
หัวหน้าเหยียน “…”
ทำให้เขาไปต่อไม่ถูกเลยทีเดียว
“ใช่แล้ว เมื่อกี้คุณบอกว่าใครอยู่เบื้องหลังฟางชิ่งนะ?”
สีหน้าของหัวหน้าเหยียนจริงจังมาก เมื่อรู้ว่ามีบุคคลอันตรายเช่นนี้ลอยนวลอยู่ก็คิดว่าตนต้องรีบกลับไปทำงานเสียแล้ว เขาอดใจรอที่จะจับตัวผู้บงการคนนี้แทบไม่ไหว
ไป๋โม่ซูส่ายศีรษะ “ไม่รู้เหมือนกัน”
“แค่ก แค่ก แค่ก”
หัวหน้าเหยียนไม่คาดหวังว่าจะได้ยินคำพูดเช่นนี้ เขาสำลักไอออกมา แต่ก็ยังไม่ปักใจเชื่อ
“สรุปไม่รู้เหรอ? แน่ใจหรือเปล่า? ถ้างั้นรู้ได้ยังไงว่าทั้งหมดเป็นฝีมือของฟางชิ่ง?”
“ผมแค่ได้ยินที่พวกคุณพูด”
ก็จริงที่ก่อนหน้านี้ผู้ใต้บังคับบัญชาหลุดพูดข้อมูลสำคัญของฟางชิ่งที่เขาเป็นคนสั่งให้จับตาดูเอาไว้ แต่นั่นมันเป็นข้อมูลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ชายหนุ่มคนนี้กลับประมวลผลและคิดแผนการของคนร้ายได้ด้วยข้อมูลเพียงน้อยนิด!
นี่ใช่สมองมนุษย์แน่หรือ?
“พี่”
น้ำเสียงแสนน่าสงสารดังขึ้นมาจากด้านหลัง
ไป๋โม่ซูหันกลับไปมองไป๋โม่ฮัวทันที ภาพตรงหน้าคือน้องชายที่กำลังสวมกอดสาวน้อย ทั้งคู่ร้องไห้ออกมาอย่างน่าสงสาร ใบหน้าเรียบเฉยเมื่อครู่จึงปรากฏความจำใจนิด ๆ
ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบศีรษะน้องชายของตนพลางปลอบว่า “ไม่มีอะไรแล้ว”
ก่อนที่จะดึงมือกลับ เขาก็เหลือบไปเห็นเด็กหญิงตัวน้อยที่กำลังจ้องมาทางเขาด้วยน้ำตาเอ่อคลอ
ไป๋โม่ซูลังเลนิดหน่อยก่อนจะวางมือของเขาลงบนศีรษะของเด็กหญิงตัวน้อยด้วย
“เด็กดี”
แววตาของหนวนหน่วนเป็นประกายขึ้นมาทันที เธอเอ่ยเรียกเขาด้วยน้ำเสียงออดอ้อนที่ยังเจือเสียงสะอื้นอยู่
“พี่”
ไป๋โม่ซูส่งเสียงตอบรับ เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าหนวนหน่วนคนนี้เป็นใคร
หัวหน้าเหยียนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ แตกตื่นด้วยความตกใจ
“สองคนนี้คือน้องของคุณเหรอ?!!!”
ไป๋โม่ซูพยักหน้าลงอย่างใจเย็น
หัวหน้าเหยียน “…”
แล้วเมื่อสักครู่นี้ชายคนนี้เพิ่งคุยกับคนร้ายอย่างใจเย็น ถ้านายไม่ได้บอกคงไม่มีใครคิดว่าเป็นญาติกันแน่
ชายหนุ่มผู้นี้ใจเย็นมากทีเดียว มาดของเขาดูสงบนิ่งเหลือเกิน
เหตุการณ์ชุลมุนในห้างสงบลงแล้ว ไป๋โม่ซูจึงออกไปพร้อมกับน้องชายและญาติผู้น้องของตัวเอง หลังจากเดินฝ่าฝูงชนออกมาก็สะดุดตาเข้ากับชายสวมหมวกแก๊ปคนหนึ่ง ชายหนุ่มหยุดชะงักทันที เขากวาดสายตากลับไปมองที่ฝูงชนอีกครั้ง แต่ชั่วพริบตาเดียว บุคคลนั้นก็หายตัวไปแล้ว
“มีอะไรหรือเปล่า?”
หัวหน้าเหยียนสงสัย เขาตามมาเพราะต้องพาทุกคนกลับไปบันทึกคำให้การที่โรงพัก เขาเองก็สงสัยบุคคลที่ไป๋โม่ซูเคยพูดถึง
ไป๋โม่ซูหรี่ตาลงก่อนจะล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อโค้ตของตัวเอง และแล้วกระดาษปริศนาก็ถูกหยิบขึ้นมา
‘ยินดีที่ได้รู้จัก ฉันชื่อเหลียงฉือ’
คำพูดเพียงไม่กี่คำ นอกจากนี้ยังหาความพิเศษจากมันไม่ได้เลย แต่…
ไป๋โม่ซูก็พึมพำออกมาอยู่สองคำ “คนนี้แน่”
ทุกคนนิ่งเงียบไปชั่วขณะ ส่วนไป๋โม่ฮัวได้แต่มองหนวนหน่วนอย่างมึนงง
สีหน้าของหัวหน้าเหยียนเริ่มเปลี่ยนไป เขาเงียบไปสามวินาที ก่อนจะมุ่งตรงเข้าไปในฝูงชนเพื่อหาชายหนุ่มที่สวมหมวกแก๊ปคนนั้น
แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ต้องเดินกลับมาด้วยความผิดหวัง
“คนเยอะเกินไป หาตัวยากมากเลย”
ไป๋โม่ซูขยำโน้ตในมือให้เป็นลูกบอลเล็ก ๆ แล้วโยนมันทิ้งถังขยะด้วยท่าทางสงบนิ่งผิดปกติ
“เป็นไปตามคาด”
แววตาชายหนุ่มปรากฏแววความสนใจขึ้นมา “ถ้าจับได้ง่ายขนาดนั้น ก็คงไม่ใช่ผู้ต้องหาทั้งสามคดีหรอก”
หัวหน้าเหยียน “คุณว่าไงนะ สามคดี?”
“พูดตรง ๆ ก็คือ ถ้ารวมครั้งนี้ด้วยจะเป็นครั้งที่สี่ หนึ่งในนั้นก็คือการก่อเหตุระเบิดรถไฟความเร็วสูงสายเหนือในเมือง B”
หนวนหน่วนถอนหายใจในขณะที่ยืนพิงญาติผู้พี่ของตนด้วยแววตาง่วงซึม หลังจากนั้นก็เริ่มต่อสู้กับเปลือกตาที่หนักอึ้ง
“ส่งมาให้ฉันเถอะ”
ไป๋โม่ซูรู้ว่าน้องชายของตัวเองไม่ได้แข็งแรงขนาดนั้น การอุ้มน้องสาวนานไปอาจทำให้เขาปวดแขนได้
ไป๋โม่ฮัวส่งคนตัวเล็กแสนนุ่มนิ่มไปให้อย่างไม่เต็มใจนัก
“พี่ระวังหน่อยนะ หนวนหน่วนกลัวมากเลย เป็นความผิดผมเอง ถ้าผมไม่พาหนวนหน่วนออกมาคงไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น”
ไป๋โม่ฮัวเอ่ยขึ้นด้วยความรู้สึกผิด
หนวนหน่วนที่ใกล้จะหลับแล้วได้ยินเข้า เธอจึงลืมตาตื่นขึ้นแล้วยกมือขึ้นโอบกอดไป๋โม่ฮัว ทำเหมือนเขาเป็นหมาตัวใหญ่ที่ต้องปลอบให้ใจเย็นลง
“ไม่ใช่ความผิดของพี่เลยค่ะ”
เสียงที่นุ่มนวลค่อนข้างงัวเงีย หลังจากพูดจบ เธอก็ปีนขึ้นไปบนไหล่ของลูกพี่ลูกน้องแล้วหลับไป
แต่ดูเหมือนว่าจะหลับได้ไม่สนิทเท่าไหร่ เพราะคิ้วบางขมวดมุ่น มือก็จับเสื้อสีขาวไว้แน่น
ไป๋โม่ซูแตะหน้าผากเธอ ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วพูดกับหัวหน้าเหยียน
“ต้องขอโทษด้วยครับ แต่คงต้องไปให้การช้าหน่อยแล้ว พอดีเจ้าตัวเล็กเหมือนจะมีไข้”
หัวหน้าเหยียนจ้องมองหนวนหน่วนครู่หนึ่งก่อนจะพบว่าใบหน้าของเด็กหญิงแดงก่ำ เธอเม้มปากแน่นพลางถอนหายใจอย่างรวยริน คิ้วบางขมวดเข้าหากันราวกับกำลังเผชิญฝันร้าย
เมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับหนวนหน่วนเมื่อสักครู่ หัวหน้าเหยียนก็รู้สึกสงสารขึ้นมาจับใจ
“พาเธอไปโรงพยาบาลก่อนเถอะ”
สำหรับเด็กคนหนึ่งแล้ว ถือว่าหนวนหน่วนกล้าหาญพอสมควรที่ไม่ร้องไห้งอแงเมื่อตัวเองตกอยู่ในเงื้อมมือของคนร้าย ถึงแม้ว่าตัวเองจะไม่สบายแต่ก็อุตส่าห์ปลอบโยนพี่ชายของเธอ ทำไมหนูน้อยคนนี้ถึงได้โชคร้ายเช่นนี้นะ
ไป๋โม่ฮัวรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาทันทีเมื่อรู้ว่าหนวนหน่วนมีไข้ เขาดึงแขนเสื้อแล้วเดินตามพี่ชายของตนต้อย ๆ ราวกับลูกหมา สายตามองไปแต่ที่หนวนหน่วนโดยไม่ละสายตาไปไหนเลยแม้แต่วินาทีเดียว
“พี่ พวกเราไปโรงพยาบาลกันเถอะ”
“หนวนหน่วนไม่เป็นอะไรหรอก ฉันเรียนหมอมา ฉันช่วยได้อยู่แล้ว”
“พี่ แล้วเมื่อไหร่หนวนหน่วนจะไข้ลดสักที”
ไป๋โม่ซู “…ยังไม่ได้ตรวจเลยว่าเป็นไข้เพราะอะไร? นายต้องเงียบก่อน พูดมากไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นหรอก”
โชคดีนี่คือน้องชายสุดที่รักที่โตมาด้วยกัน หากเป็นคนอื่นคงโดนเขาไล่ตะเพิดไปแล้ว
เมื่อไปถึงโรงพยาบาล ไป๋โม่ซูก็ได้ทำการให้น้ำเกลือกับหนวนหน่วน ก่อนที่ประตูห้องพักฟื้นจะถูกเปิดออก เผยให้เห็นร่างของกู้หนานที่เดินเข้ามาพร้อมสีหน้าไม่สู้ดีนัก ความเย็นชาเริ่มเข้ามาทักทายสองพี่น้องทันที
“พี่ใหญ่”
ไป๋โม่ฮัวใบหน้าถอดสีทันที ก่อนจะทักทายกู้หนานทั้งที่สวมถุงมืออยู่
ชายหนุ่มมองข้ามทุกสิ่งอย่างแล้วมุ่งหน้าตรงไปที่เตียง จากนั้นก็มองดูร่างเล็กที่นอนอย่างกระสับกระส่ายด้วยความสงสาร ในพริบตาเดียว บรรยากาศรอบทิศก็ราวกับตกอยู่ในพายุอึมครึม
“หนวนหน่วนเป็นยังไงบ้าง”
ไป๋โม่ซู “เดี๋ยวไข้ก็ลดลงแล้ว แต่ผมเกรงว่าหลังจากนี้คงต้องมีจิตแพทย์มาคอยให้คำปรึกษาอยู่ข้าง ๆ”
เขาสอดมือทั้งสองข้างเข้าไปในกระเป๋าเสื้อกาวน์ “ไว้ให้เป็นหน้าที่ผมเถอะ”
กู้หนานตอบรับพลางเม้มปากแน่น ดวงตาสีทมิฬมืดมิดราวกับบ่อน้ำลึกพลันฉายแววสังหารออกมา
นี่เป็นครั้งแรกที่ไป๋โม่ซูเห็นกู้หนานโกรธขนาดนี้
“แล้วคนนั้นล่ะ?”
“ผมตัดเส้นเอ็นข้อมือมันไป ตอนนี้ก็น่าจะอยู่ที่โรงพยาบาล”
กู้หนานพึมพำแล้วนั่งลง ก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นมากดต่อหน้าไป๋โม่ฮัวและไป๋โม่ซู
“ดำเนินคดีกับฟางชิ่งให้ถึงที่สุด เขาต้องได้รับโทษหนัก แต่ไม่เอาโทษประหารชีวิต”
บางครั้งการตายมันก็ง่ายเกินไป ต้องทรมานถึงจะสาสม
หลังจากวางสาย กู้หนานยังคงบีบโทรศัพท์แน่น ไม่นานเสียงปริแตกก็ดังขึ้น หน้าจอของโทรศัพท์แทบแหลกคามือ
ไป๋โม่ซูปรายตามองเขา “พี่กู้หนาน เอาผ้าพันแผลไหม?”
กู้หนานจ้องมองใบหน้าเล็กของหนวนหน่วนอยู่ไม่ห่าง เขาไม่ตอบอะไรทั้งสิ้น เม็ดเหงื่อผุดขึ้นบนใบหน้าเล็กที่กำลังนอน คิ้วของเธอขมวดแน่น เห็นแค่นี้ก้รู้สึกเหมือนถูกกระชากใจออกไปย่ำยี
ไป๋โม่ฮัวเองก็รู้สึกแบบเดียวกัน เขารู้สึกทุกข์ใจจนใบหน้าของตนยับยู่ แววตาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ เขาจับมือเล็กเอาไว้ก่อนจะพูดว่า
“พี่รีบตรวจหน่อยสิว่าหนวนหน่วนเป็นยังไงบ้างแล้ว!”
กู้หนาน “โม่ซูมานี่หน่อยเร็ว”
ทั้งคู่พูดขึ้นพร้อมกัน
ไป๋โม่ซู “เข้าใจแล้ว ๆ ขอดูหน่อย”
เขาเดินเข้าไปทางไป๋โม่ฮัวแล้วดันตัวอีกฝ่ายออกไปเพื่อให้มีพื้นที่ จากนั้นก็ก้มลงไปหาเด็กหญิง เขาตบหลังคนตัวเล็กอย่างแผ่วเบาราวกับอยากกล่อมเด็กทารกให้หลับนอน
เสียงหายใจเริ่มผ่อนคลายลงราวกับได้ฟังเพลงกล่อม หนวนหน่วนนอนหลับปุ๋ยพร้อมกับร้องครวญครางออกมา มือเล็กคว้าเสื้อของไป๋โม่ซูเอาไว้ ส่วนศีรษะถูไถไปกับแผ่นอกเขาเหมือนแมวน้อย
ไป๋โม่ซูมองดูร่างเล็กอันแสนบอบบางในอ้อมแขนพร้อมยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ดูท่าญาติตัวน้อยคนนี้จะเชื่อฟังกว่าน้องชายของเขาซะแล้ว
ดวงตาของไป๋โม่ฮัวเป็นประกาย “พี่ แบบนั้นผมก็ทำได้!”
กู้หนานจ้องมองไปยังไป๋โม่ซูโดยไม่ได้พูดอะไร แต่สายตาของเขาก็แสดงออกถึงคำที่จะเอื้อนเอ่ยแล้ว
‘ฉันทำเอง!’