ฉันมีพี่ชาย 7 คน - บทที่ 142 หากทำอะไรไม่ดี ก็ต้องชดใช้กรรมที่ก่อไว้
บทที่ 142 หากทำอะไรไม่ดี ก็ต้องชดใช้กรรมที่ก่อไว้
ยังไม่ทันที่จะอ่านจบ ประตูห้องก็ถูกเปิดออก พร้อมกับปีศาจที่ยืนจังก้าอยู่หน้าประตู
หนวนหน่วนกับกู้อัน “…”
นี่แหละเขาถึงบอกว่ากรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมคืนสนอง
“อ๊ากกกก!!!”
กู้อันกรีดร้องแล้วกระโดดลงจากเตียง ส่วนหนวนหน่วนมุดเข้าใต้ผ้าห่มพร้อมโผล่ก้นน้อย ๆ ออกมาแทน
หลังจากนั้นไม่นานกู้อันก็โดนจับได้ กู้หมิงหลี่เหวี่ยงตัวเขาไปมาราวกับว่าเขาเป็นลูกเจี๊ยบตัวน้อยก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง
“กล้าไม่เบาเลยนะ? ถึงกล้ามาขโมยของฉันน่ะ”
แน่นอนว่ากู้อันคงไม่ยอมรับโดยง่าย เขากวัดแกว่งแขนไปมาหวังจะดิ้นให้หลุด
“ผม… เปล่านะ ไม่ใช่ผมจริง ๆ!”
คนรู้ผิดชอบชั่วดีมักมีน้ำเสียงชัดเจนแจ่มแจ้งเสมอ
“เปล่างั้นเหรอ? ถ้างั้นกระดาษเขียนเรียงความของฉันมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง ฮะ?”
กู้อันไม่ยอมแพ้ “มันมาเอง!”
หลังจากพูดจบเขาก็โดนทุบเข้าอย่างจัง
คิดว่าทุกคนโง่เหมือนนายหรือไง!
หนวนหน่วนโผล่ศีรษะหนา ๆ ของตนออกมาจากใต้ผ้าห่มเพียงครึ่งหนึ่ง ก่อนจะใช้ดวงตาสีเข้มจ้องมองโดยรอบ
พี่เล็กดูน่าสงสารจังเลย
หลังจากโผล่หัวออกไปได้ไม่นานเธอก็พบเข้ากับสายตาของพี่สี่
ไม่นานนัก เธอรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นหอยทากตัวน้อยที่สัมผัสได้ถึงภัยอันตรายที่กำลังจะมาเยือน หนวนหน่วนจึงขดตัวเข้าไปใต้ผ้าห่มอีกครั้งก่อนจะส่งเสียงร้องหงุงหงิงออกมา
ก็ยังเหมือนหอยทากขาวแสนน่ารักอยู่ดีนั่นแหละ
กู้หมิงหลี่ขมวดคิ้วมุ่น ยอมโยนกู้อันทิ้งแล้วเดินเข้าไปใกล้
“ฮ่า! แน่จริงก็จับให้ได้สิ!”
กู้อันยังคงปกป้องน้องสาวอย่างสุดความสามารถ เขาไม่กลัวที่จะถูกคนตรงหน้าทุบตีอีกแล้ว เขาลุกขึ้นยืนจากพื้นอย่างรวดเร็วพลางเกาะขาของคนตรงหน้าเอาไว้แน่น
กู้หมิงหลี่ “…”
โง่เง่าจริง!
หนวนหน่วนโผล่หัวน้อย ๆ ของตนออกมาอีกครั้ง นิ้วขาวเรียวบางของเธอคว้าผ้าห่มเอาไว้พลางจ้องมองพี่สี่และพี่เล็กด้วยแววตาออดอ้อนน่าสงสาร
“พี่สี่คะ~”
สาวน้อยเรียกคนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา พร้อมกับพูดสำนึกผิดอย่างน่าสงสาร “พี่สี่ พวกเราผิดไปแล้วค่ะ”
เธอกะพริบตาปริบพลางทำหน้าเศร้า
กู้หมิงหลี่ยื่นแขนออกไปรวบคนตัวเล็กที่อยู่ภายใต้ผ้าห่มให้เข้ามาอยู่ภายในอ้อมแขนของตนแล้วเอ่ยเสียงดังกังวาน
“ไปที่อื่นกัน!”
แม้ขาจะถูกจับเอาไว้ แต่กู้หมิงหลี่ก็สามารถลูบศีรษะเล็กของหนวนหน่วนด้วยมือทั้งสองข้างของตน เด็กหนุ่มกอดฟัดคนตัวเล็กจนตัวโอนเอนไปมา
“รู้ไหมทำอะไรผิด?”
หนวนหน่วนพยายามยืนหยัดในความถูกต้องพร้อมกับแก้มทั้งสองข้างที่โดนหยิก
“ไม่… ไม่ควรเอาของพี่สี่มาโดยไม่ได้รับอนุญาตค่ะ”
“แล้วใครเป็นคนเอากระดาษคำตอบของพี่ไป?”
อันที่จริงแล้วเขาก็ไม่ได้โกรธอะไรมากมายนักหรอก แต่ก็อยากใช้โอกาสนี้ในการหยิกแก้มของใบหน้าเล็กนั่นให้หนำใจ
รอยยิ้มปรากฏขึ้นในตาของกู้หมิงหลี่
“ผมเอง!”
ในตอนนี้กู้อันกลับยอมรับอย่างง่ายดาย
หนวนหน่วนเองก็ยกมือน้อย ๆ ของตนขึ้นมาเช่นกัน เธอยอมหารความผิดกับพี่คนเล็ก
“หนูเองก็รู้ QAQ”
กู้หมิงหลี่ทำเป็นเสียงแข็ง “ลงมือกันเป็นแก๊งนี่เอง!”
เจ้าตัวน้อยทั้งสองคน “พวกเราผิดไปแล้ว!”
เมื่อได้นวดเจ้าก้อนขนมปังแสนนุ่มนิ่มแล้ว กู้หมิงหลี่ก็รู้สึกพอใจมาก ก่อนจะนึกได้ว่า
“ร… หรือว่าอ่านกันแล้ว?”
สิ้นเสียง กู้อันก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาทันที “อ่านแล้ว พี่เขียนถึงน้องสาว ทำไมผมไม่เคยคิดเรื่องดี ๆ แบบนี้มาก่อนเลยนะ!”
หนวนหน่วนยกมือขึ้นปกปิดใบหน้าที่ขึ้นสีแดงระเรื่อของตัวเองหลังจากที่โดนพี่สี่หยิกจนหนำใจ
“ดูแล้วค่ะ พี่สี่เขียนเรื่องหนูเอง”
น้ำเสียงหนวนหน่วนเริ่มเจือด้วยความรู้สึกแปลก ๆ แต่ดวงตาคู่นั้นยังคงเปล่งประกายดุจดั่งดวงดาว เธอยกยิ้มจนเผยให้เห็นฟันน้ำนมขาวกระจ่างแทบทุกซี่
กู้อันเอ่ย “หนวนหน่วนอาจรู้สึกไม่ดีก็ได้”
“ไร้สาระ”
กู้หมิงหลี่บรรจงลูบศีรษะของหนวนหน่วน เขาทำเอ่ยเสียงเข้มแต่ใบหูกลับมีสีแดงขึ้นมา
“ทำไมน้องสาวของฉันจะต้องรู้สึกไม่ดีล่ะ”
หนวนหน่วนเงยหน้าขึ้นยิ้มราวกับเป็นดอกทานตะวันแรกแย้มรับแสงแดด เธอยืนขึ้นบนขอบเตียงก่อนจะโอบกอดรอบคอพี่สี่แล้วจุ๊บลงบนใบหน้าของเขา จากนั้นก็นำใบหน้าเข้าไปใกล้พี่สี่อยู่สักพัก หากมีหางน้อย ๆ กระดิกไปมาคงดูออกว่าเธอมีความสุขมากแค่ไหน
“พี่สี่ใจดีจังเลยค่ะ”
ใบหูของกู้หมิงหลี่แดงเข้าไปใหญ่ หัวใจที่เต้นแรงก็บ่งบอกว่าเขามีความสุขเช่นกัน
กู้อันตาร้อนด้วยความอิจฉา ก่อนจะตะโกนขึ้นเสียงดัง
“หนวนหน่วน พี่ก็อยากได้ด้วยหนึ่งครั้ง ไม่สิ! เอาสองครั้งสองข้างเลย”
ทันทีที่เขากระโดดขึ้นมา กู้หมิงหลี่ก็ทุบเขาทันที
“แกคิดหวังอะไรลม ๆ แล้ง ๆ!”
“อ๊ากกก!!! กู้หมิงหลี่ ไอ้กีบเท้าหมู นี่มันแรงเยอะเกินไปแล้วนะ!”
เพียงชั่วขณะหนึ่ง หนวนหน่วนที่อยู่ภายในห้องก็รู้สึกได้ถึงความมีชีวิตชีวาที่เกิดขึ้นภายในห้องแห่งนี้
กู้หนานที่ได้ยินเสียงดังมาจากข้างหลังเดินเข้ามาแล้วจ้องมองทั้งสองคนด้วยสายตาเย็นชา ทำเอาทั้งคู่รีบสงบศึกแล้วรีบเดินออกไป
กู้หนานเดินเข้ามาพร้อมกับแก้วนมที่ถือเอาไว้ในมือ
“กินแล้วนอนซะ”
หนวนหน่วนนั่งแกว่งขาไปมาอยู่บนเตียงพลางค่อย ๆ ดื่มนมอย่างเชื่อฟัง จนฟองนมขาวเปรอะเปื้อนไปทั่วริมฝีปากอันอวบอิ่มอมชมพูของเธอ
ขณะที่สาวน้อยยังคงนั่งดื่มนมอยู่นั้น กู้หนานก็จ้องมองไปยังเท้าเปลือยเปล่าอันน้อยนิดของเธอก่อนจะขมวดคิ้วขึ้นอย่างไม่พอใจนัก
“ดึกแล้วมันหนาว อย่าลืมใส่ถุงเท้านอนด้วย”
สิ้นเสียง เขาก็เดินหันหลังไปทางตู้เสื้อผ้าเพื่อหาถุงเท้าไซซ์มินิลายหมีน้อยที่มีหูกลมเล็ก ๆ ถุงเท้าเล็กมาก ขนาดไม่เกินครึ่งของฝ่ามือเขาด้วยซ้ำ
หลังจากนั่งลงข้างหนวนหน่วน กู้หนานก็เอื้อมไปจับฝ่าเท้าเล็กที่ขาวดุจดั่งน้ำนมขึ้นมา นิ้วเท้าของเธอขึ้นสีขาวอมชมพูเล็กน้อยราวกับไข่มุกก็ไม่ปาน
และเท้าที่วางอยู่บนมือก็มีขนาดไม่ถึงครึ่งเช่นกัน เขาบรรจงจับมันอย่างเบามือ เนื่องจากกลัวว่าหากใช้แรงในการจับมากเกินไปอาจทำให้น้องสาวเจ็บได้
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังต้องใส่ถุงเท้าให้อยู่ดี
เขาค่อย ๆ สวมถุงเท้าให้ หนวนหน่วนก็เหยียดยืดขาออกมาอย่างว่าง่าย
กู้หนานยกยิ้มมุมปาก หลังจากที่ได้สวมใส่ถุงเท้าให้เธอแล้ว ใบหน้าของเธอก็ดูเหมือนคนเมาขึ้นมาเล็กน้อย
“ยังจะกินข้าวเย็นอยู่ไหม?”
หนวนหน่วนใช้มือลูบท้องของตน ก่อนจะส่ายหน้าปฎิเสธ
“ไม่แล้วค่ะ กินเยอะจนท้องป่องแล้ว”
“อืม อิ่มแล้วก็ไม่ต้องกิน เดี๋ยวพอพี่ออกไปก็ล็อกประตูด้วย อย่าให้พวกนั้นเข้ามากวน แล้วก็นอนเร็ว ๆ ด้วยอย่ามัวแต่เล่นโทรศัพท์ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้า ถ้าถึงเวลาวิ่งแล้วพี่จะโทรมา”
กู้หนานดูเข้มงวดกับเรื่องเล็กน้อยมาก แต่หนวนหน่วนก็พยักหน้าลงเชื่อฟังอย่างว่าง่าย
แต่ถ้าคนอื่น ๆ มาเห็นเข้า แม้แต่หนานเฟิงเองซึ่งคุ้นเคยกับการกระทำของเขาเป็นอย่างดีก็ยังรู้สึกไม่ชินอยู่ในบางครั้ง เมื่อเขากระทำเช่นนี้ต่อหน้าหนวนหน่วน
นี่มันสองมาตรฐานเกินไปนะ เขาทำเป็นเฉยเมยต่อหน้าคนอื่น แต่เมื่ออยู่กับน้องสาวกลับพูดไม่หยุดสักที!
“พี่ไปนะ”
เมื่อเห็นว่าหนวนหน่วนยอมพยักหน้าลงอย่างว่าง่าย หัวใจของเขาก็โอนอ่อนลงอย่างช่วยไม่ได้
“เดี๋ยวก่อนค่ะ”
หนวนหน่วนลุกขึ้นยืนเต็มความสูงของตัวเองแล้วหันหน้าเข้าหาพี่ชายของตน จากนั้นก็กดจูบแสนไร้เดียงสาลงบนใบหน้าที่แสนเคร่งขรึม เธอเอ่ยราตรีสวัสดิ์ด้วยน้ำเสียงออดอ้อนด้วยสีหน้าที่ขึ้นสีแดงระเรื่อ
“ฝันดีค่ะพี่”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นในดวงตาของกู้หนาน “ทำไมถึงยังเขินอยู่อีก”
ตอนอยู่ที่บ้านก็จุ๊บหอมแก้มคุณพ่อคุณแม่และพวกพี่ ๆ เพื่อเป็นการบอกฝันดีอยู่เป็นประจำ แต่ไม่ว่าจะทำมากเท่าไหร่ก็ไม่เคยชินสักที เธอยังเขินอายอยู่เสมอ
“ฝันดี”
ครั้งนี้กู้หนานยอมเดินจากไปจริง ๆ
ตั้งแต่ผ่านวันเกิด 6 ขวบของเธอมา หนวนหน่วนก็นอนอยู่ในห้องของตัวเองคนเดียวมาตลอด แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องยากเลยหากเธอต้องการที่จะนอนกับพวกพี่ของเธอ ไม่มีใครรังเกียจแน่นอน ใครกันที่จะไม่อยากนอนกอดหมอนข้างอันนุ่มนิ่มบ้าง?