ฉันมีพี่ชาย 7 คน - บทที่ 138 กู้เป่ยต้องกลับแล้ว
บทที่ 138 กู้เป่ยต้องกลับแล้ว
ครั้งก่อนตอนพนักงานขายพูด กู้เป่ยก็เอาแต่พยักหน้าตาม คนที่ไม่รู้คงเข้าใจว่าเขาเองก็เป็นพนักงานขายรถด้วย
สุดท้ายหนวนหน่วนก็ต้องเป็นฝ่ายลากพี่รองออกมาจากตรงนั้นด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ
ใครจะไปคิดว่ากู้เป่ยที่ดูอ่อนโยนและลุ่มลึกจะเป็นคนที่ใช้เงินมือเติบที่สุดในบ้านไปได้
เหมือนที่หนวนหน่วนไม่คาดคิดเลยว่ากลับถึงบ้านเด็กหญิงจะได้พบกับเจ้าลัมโบร์กินีสีชมพูคันนั้นจอดอยู่
“…” หนวนหน่วนอึ้งกิมกี่
กู้หมิงอวี๋ตบรถแล้วลองยืนพิงดู จากนั้นก็มองไปยังน้องสาวด้วยดวงตาเปล่งประกายพร้อมระบายยิ้ม
“โอ้โห นี่รถของหนวนหน่วนเหรอ ขาถึงรึยัง ขับเองได้ไหม”
หนวนหน่วน “…”
ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็เถอะ แต่พี่สามพูดเกินไปแล้ว!
มุมปากของกู้เป่ยยกขึ้น รอยยิ้มที่ระบายออกมาเล็กน้อยขับให้เขาดูเป็นชายหนุ่มที่แสนอ่อนโยน หล่อเหลานุ่มนวล ซ้ำยังน่าเชื่อถือขึ้นมาก
“หนวนหน่วนดีใจใช่ไหมที่พี่ซื้อให้”
หนวนหน่วน : หนวนหน่วนดูดีใจตรงไหนกัน
แต่พี่รองกำลังจะกลับในวันพรุ่งนี้แล้ว น้องน้อยไม่อยากให้พี่ชายผิดหวังจึงพยักหน้ารับ แม้ว่านั่นจะขัดแย้งกับความรู้สึกเกรงใจก็ตาม
“ค่ะ หนวนหน่วนดีใจ”
ฝ่ามือใหญ่ของกู้เป่ยลูบเข้าที่กลุ่มผมนุ่มนิ่มของเด็กหญิง เธอเอียงหน้าเข้าไปรับสัมผัสของพี่ชายพร้อมโน้มหน้าลง
วันที่กู้เป่ยเดินทางกลับ เจ้าลัมโบร์กินีสีชมพูคันนี้จึงถูกใช้ขับไปส่งที่สนามบิน สีสันโดดเด่นของมันเรียกความสนใจจากผู้คนได้ตลอดทาง
กู้หมิงอวี๋นั่งประจำที่คนขับโดยสวมแว่นกันแดดเอาไว้ “พี่รองเลือกรถได้ดี ตาถึงใช้ได้ แต่ผมชอบสีแดงมากกว่า”
สีแดงฉูดฉาดไม่ต่างอะไรกับเจ้าตัวคนพูดเอง เขาเหมาะกับสีแดงมากจริง ๆ ดังเช่นต่างหูทรงดอกกุหลาบบานสะพรั่งที่ติ่งหูของเขาตอนนี้ มันสะท้อนแสงพราวอยู่ข้างใบหน้า ยิ่งขับให้ใบหน้างามของดาราหนุ่มดูสดใสขึ้น
กู้เป่ยยกมือขึ้นดันแว่นตาของตัวเองช้า ๆ แล้วนั่งไขว่ห้างที่เบาะหลังด้วยขายาว ๆ ให้อารมณ์สง่างามสุขุมเหมือนบัณฑิตหนุ่ม
รอยยิ้มที่มุมปากของเขาช่างเข้ากับท่าทางอันอบอุ่นอ่อนโยนนั่นเหลือเกิน
“ขอบใจที่ชม แต่ฉันซื้อให้หนวนหน่วน ถ้าชอบก็ไปหาซื้อเอาเอง”
เงินก็ใช่ว่าจะไม่มีซะเมื่อไร
กู้หมิงอวี๋ยักไหล่ เพราะเป็นคนหลงตัวเองโดยธรรมชาติ เขาจึงเปิดเพลงของตัวเองในรถอย่างไม่ขัดเขิน เสียงร้องของเขาทุ้มมีเสน่ห์ ตอนอัดเสียงตั้งใจสร้างความรู้สึกคล้ายกับว่ามีแฟนหนุ่มมากระซิบอยู่ข้างหู ไม่น่าแปลกใจเลยที่สาว ๆ จะกรี๊ดเมื่อได้ฟัง
หนวนหน่วนเอนกายนั่งซบพี่รองของเธอ ส่วนไป๋โม่ฮัวกำลังเล่นเกมอย่างตั้งอกตั้งใจ แต่ก็ยังไม่วายถูกเพื่อนร่วมทีมบ่นว่าเล่นได้ไม่เก่งเอาเสียเลย
หลังจากล้มเหลวกับความพยายามในการเล่นเกม ชายหนุ่มก็เม้มปากอย่างไม่พอใจ “ไม่เอาแล้วดีกว่า ไว้เล่นกับกู้หมิงหลี่ทีหลัง”
กู้หมิงอวี๋เลิกคิ้วขึ้นเมื่อได้ยินแบบนั้น “อะไรกัน น้องชายฉันยอมช่วยแบกนายงั้นเหรอ”
แม้ว่าไป๋โม่ฮัวจะเป็นมือใหม่ในการเล่นเกม แต่นั่นก็ไม่อาจใช้เป็นข้ออ้างที่ช่วยให้เขารอดพ้นจากการดูถูกของเพื่อนร่วมทีมได้อยู่ดี
ไป๋โม่ฮัวถอดหูฟังออกมา “เปล่า แต่กู้หมิงหลี่ช่วยเถียงคนพวกนั้นได้น่ะ”
มีความภูมิใจเล็กน้อยดังลอดออกมาจากน้ำเสียงนั้น
กู้หมิงอวี๋หมดคำจะพูด “…”
“รอบหน้าชวนฉันด้วยสิ ฉันจะช่วยด่าเอง เอาให้ไม่กล้าอ้าปากเถียงเลย”
แต่ไป๋โม่ฮัวกลับส่ายหน้าอย่างไม่ต้องคิด “ไม่เอาหรอก”
กู้หมิงอวี๋สงสัย “ทำไมล่ะ”
ไป๋โม่ฮัวเอ่ยตอบ “ก็เรามือใหม่กันทั้งคู่ อยู่ทีมเดียวกันจะไปรอดเหรอ”
กู้หมิงอวี๋ “อ้อ ไม่คิดว่าจะรู้จักวางแผนตอนเล่นเกมกับเขาด้วย”
ได้ยินแบบนั้นไป๋โม่ฮัวก็ระบายยิ้มใสซื่อออกมาอย่างยินดี
กู้หมิงอวี๋ : ไม่ใช่คำชมโว้ย
“พี่รอง ถ้าพี่รองกลับไปแล้วหนูจะติดต่อพี่รองไม่ได้เลยใช่ไหมคะ”
กู้เป่ยพยักหน้ารับอย่างเสียดาย โปรเจกต์ที่เขาทำอยู่เป็นความลับระดับสูง ทำให้เขาไม่สามารถติดต่อกับคนภายนอกได้ง่าย ๆ
หนวนหน่วนก้มหน้าหงอยเหมือนลูกหมาน้อยที่ถูกทอดทิ้ง ขณะที่กู้เป่ยกำลังจะปลอบ เด็กหญิงน้อยก็กลับมาสดใสได้อย่างรวดเร็ว เธอเงยใบหน้าเล็ก ๆ ขึ้นอีกครั้ง
“พี่รองคะ ถ้ามีโอกาสต้องโทรหาหนวนหน่วนเลยนะคะ วันไหนจะกลับบ้านต้องบอกหนวนหน่วนด้วย หนูจะรีบไปรับเลย”
กู้เป่ยเอื้อมมือไปบีบแก้มนิ่มของน้องสาวด้วยความเอ็นดู เขาโอบร่างเล็กไว้แนบอก วางคางเรียวไว้บนหัวกลม ๆ นั้นแล้วหลับตาลง
เขาจะต้องไปแล้ว ฉะนั้นควรกอดน้องสาวให้เต็มที่ เพราะหลังจากนี้จะทำได้เพียงดูรูปของเจ้าตัวเล็กเพื่อเติมพลังใจตอนทำงานเท่านั้น
เฮ้อ แยกกันแล้วต้องคิดถึงน้องสาวมากแน่ ๆ
พวกเขาไปถึงสนามบินแล้ว ก่อนจะถึงเวลาขึ้นเครื่อง กู้เป่ยกับหนวนหน่วนกำลังคุยกันอยู่ จู่ ๆ ก็มีรถสีดำขับเข้ามา มันดูคุ้นตาเล็กน้อย ไม่นานประตูรถก็เปิดออก ภาพชายหนุ่มที่ใช้ขายาว ๆ ก้าวลงมาจากรถยิ่งดูคุ้นเคยเข้าไปอีก
“นั่นพี่ใหญ่นี่คะ”
หนวนหน่วนเลิกคิ้ว ก่อนจะรีบวิ่งไปหาพี่ใหญ่ กู้หนานจึงย่อตัวลงเล็กน้อย แล้วช้อนตัวน้องสาวขึ้นอุ้มด้วยแขนข้างเดียว
เขาเหลือบมองน้องชายฝาแฝดนิ่ง ๆ หลังสาวเท้าเพียงไม่กี่ก้าวก็ถึงตัวอีกฝ่าย
สองฝาแฝดยืนข้างกัน ความสูงของทั้งคู่ไล่เลี่ยกัน แต่ดูราวกับการตัดกันของสีขาวและดำ คนพี่เฉียบขาดเยือกเย็น คนน้องอบอุ่นอ่อนโยน แต่กลับเข้ากันอย่างกลมกลืนจนน่าประหลาดใจ
การปรากฏตัวของสองพี่น้องที่ยืนอยู่ข้างกันเช่นนี้ดึงดูดสายตาจากผู้คนได้อย่างมาก หลายคนอดไม่ได้ที่จะแอบมองพวกเขา
“นึกว่าจะไม่มาซะแล้ว พี่ใหญ่ชอบรถที่ฉันซื้อให้หนวนหน่วนหรือเปล่า”
กู้หนานเอ่ยขึ้นมาเสียงเย็น “ดูได้แต่ไม่ผ่าน”
กู้เป่ย “…”
ไม่เห็นต้องพูดซะตรงขนาดนั้นเลย
กู้หนานยกมือขึ้นมาตบไหล่น้องชายฝาแฝด
“รีบกลับมาให้เร็วที่สุด หาวันลาให้ได้เยอะ ๆ หน่อย อย่าบ้างานให้มาก”
กู้เป่ยหน้ามุ่ย “รู้แล้วน่า”
ในตอนนั้นก็มีประกาศเรียกผู้โดยสารของสนามบินดังขึ้น พี่รองต้องไปขึ้นเครื่องบินแล้ว หนวนหน่วนจึงมองพี่รองด้วยดวงตาที่รื้นน้ำตา เธอโน้มตัวไปจุ๊บแก้มพี่รองพร้อมมอบกอดอุ่น ๆ ให้
“พี่รองกลับมาหาหนวนหน่วนเร็ว ๆ นะคะ”
เจ้าตัวเล็กเอ่ยเสียงหวานใส เธอพยายามกลั้นสะอื้นจนเกือบจะสำลัก ดวงตาชื้นไปด้วยน้ำตาเริ่มแดงก่ำ มองแล้วน่าสงสารเหลือเกิน
กู้เป่ยเม้มริมฝีปาก เขาลูบหัวน้องน้อยแล้วจุ๊บคืนที่หน้าผากมนใสของเจ้าตัวเล็กในอ้อมแขน
“เข้าใจแล้ว อยู่บ้านเป็นเด็กดีนะ ถ้ามีใครมารังแกไม่ต้องไปกลัว ฟ้องพี่ใหญ่ได้ แม้แต่หมายังกลัวเขาเลย”
กู้หนาน “…”
น้องชายคนนี้นี่มันจริง ๆ เลย
“อาจารย์กู้ เราต้องรีบไปกันแล้วครับ”
กู้เป่ยส่งหนวนหน่วนให้พี่ใหญ่แล้วหันหลังจากไป
“หนวนหน่วนจะคิดถึงพี่รองนะคะ”
หนวนหน่วนตะโกนไล่หลังพี่รองไป กู้เป่ยเอามือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋า เดินจากไปโดยไม่หันหลังมามอง แต่มืออีกข้างยกขึ้นโบกลาน้องสาว
ที่ผ่านมาเขาไม่เคยมีความรู้สึกลังเลตอนกลับไปทำงานแบบนี้มาก่อน ดวงตาคู่คมหลังแว่นตาของกู้เป่ยเริ่มแดงขึ้น ชายหนุ่มคิดในใจว่าจู่ ๆ ทำไมตัวเองถึงกลายเป็นคนอ่อนไหวขนาดนี้ขึ้นมาได้
หลังพี่รองลับสายตาไป หนวนหน่วนก็เหมือนลูกหมาถูกทอดทิ้ง เธอซบหน้ากับไหล่ของพี่ใหญ่ มือเล็กได้แต่เกาะเสื้อพี่ชายแน่นอย่างน่าสงสาร
กู้หนานช่วยลูบหลังปลอบใจน้องสาวที่กำลังเศร้าอย่างช่วยไม่ได้ เขาไม่รู้จะทำอะไรได้อีก
กู้หมิงอวี๋หันมาแซวเด็กน้อย “หนวนหน่วนอย่าร้องสิ พี่รองไม่ได้จากไปตลอดกาลสักหน่อย”
ไป๋โม่ฮัวพยักหน้าตาม “ใช่ ๆ”
หนวนหน่วนเงยหน้าขึ้นมาพลางวางคางมนลงบนไหล่ของพี่ใหญ่ ก่อนจะมองไปทางพี่สามด้วยดวงตาชุ่มน้ำตา
“พี่สาม อย่าพูดแบบนั้นสิคะ”
กู้หมิงอวี๋ยกมือขึ้นสองข้างยอมแพ้ทันที “โอเค ๆ พี่ผิดเอง เธออยากไปเที่ยวไหนไหม วันนี้พี่สามของเธอจะเสี่ยงชีวิตเป็นบอดีการ์ดพาน้องสาวไปเที่ยวกับทุกคนเอง ดีไหม”
ไป๋โม่ฮัวพึมพำ “เอาความจริงมาล้อเล่นเปล่าเนี่ย รู้สึกเหมือนต้องเสี่ยงชีวิตจริง ๆ เลยแฮะ”
กู้หมิงอวี๋ : ปากเล็ก ๆ ของนายนี่แหละที่ไวที่สุด!