ฉันมีพี่ชาย 7 คน - บทที่ 135 การศึกษาต่อของกู้หมิงหลี่
บทที่ 135 การศึกษาต่อของกู้หมิงหลี่
กู้หนานวิ่งอีกรอบก่อนจะกลับมารับหนวนหน่วน เสื้อผ้าของเขาเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อเกือบทั้งตัว
แต่เขาชอบที่จะให้เหงื่อชุ่มไปทั่วตัวแบบนี้ ชุดกีฬาที่สวมใส่ตอนนี้เปียกแนบไปกับผิวจนเผยให้เห็นกล้ามเนื้อหน้าท้องที่เรียงตัวแน่นขนัด หุ่นของเขาเพรียวบางสมส่วนไม่มีไขมันเลยแม้แต่น้อย หากสาว ๆ มาเห็นคงกรี๊ดกร๊าดกันแทบบ้าคลั่ง
หนวนหน่วนเดินกลับบ้านไปพร้อมพี่ชายของตนด้วยขาสั้น ๆ ของตัวเอง เธอค่อย ๆ เดินไปทีละก้าวมันจึงไม่ทำให้เหนื่อยมาก
ทานอาหารเช้าเสร็จเธอก็ส่งพี่ใหญ่ไปทำงาน หลังจากนั้นเด็กหญิงก็ได้เริ่มเรียนกู่ฉิน
ก่อนหน้านี้ซูหรานได้สอนหนวนหน่วนเกี่ยวกับเทคนิคการวางนิ้วแบบต่าง ๆ และเทคนิคสำคัญไปบ้างแล้ว ทำให้ตอนนี้หนวนหน่วนสามารถเล่นเพลงช้าที่มีโน้ตง่าย ๆ ได้คล่อง แถมยังได้รับคำชมเชยจากเขาด้วย
“หนวนหน่วนพอจะคุ้นเคยกับเครื่องดนตรีนี้แล้วใช่ไหม งั้นเดี๋ยวพี่จะสอนอย่างอื่นให้อีกนะ ทำได้ดีมากเลย ฝึกแค่ไม่กี่วันก็เล่นได้แล้ว”
ซูหรานหยุดสอนไปในช่วงวันเกิดของหนวนหน่วน และตอนนี้ก็ได้กลับมาสอนแบบออนไลน์ แต่ถึงอย่างนั้นนักเรียนของเขาที่ฉลาดพอจะเรียนรู้ได้เร็วแม้จะเป็นคลาสสอนผ่านวิดีโอก็ตาม การสอนกู่ฉินให้หนวนหน่วนจึงไม่ยากอีกต่อไป
หนวนหน่วนยิ้มอย่างเขินอายจนลักยิ้มเล็ก ๆ อันแสนน่ารักปรากฏขึ้นบนใบหน้า ใครเห็นก็อยากจะสัมผัสมันเหลือเกิน
“เพราะว่าครูสอนดีต่างหากค่ะ”
หนวนหน่วนตอบกลับอย่างนอบน้อมก่อนจะเริ่มบรรเลงกู่ฉินอีกครั้ง นิ้วขาวเรียวยาวไล้ไปตามสาย เพราะทักษะการอ่านโน้ตของเธอดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ท่วงทำนองที่บรรเลงออกมาจึงไหลลื่นมากกว่าตอนแรกที่เป็นเหมือนการดีดตามจังหวะเสียมากกว่า และทั้งหมดนี้ก็ใช้เวลาเรียนรู้ไม่ถึงชั่วโมง
หนวนหน่วนมีจิตใจสะอาดนิ่งสงบ แม้แต่เสียงเพลงที่บรรเลงออกมายังให้ความรู้สึกบริสุทธิ์ และนั่นทำให้ผู้ที่ได้รับฟังรู้สึกสบายไปด้วย
ซูหรานค่อนข้างประหลาดใจว่าทำไมหนวนหน่วนถึงเรียนรู้ได้เร็วเช่นนี้ แต่ไม่นานเขาก็ดำดิ่งเข้าสู่เสียงเพลงที่บรรเลงออกมา
เด็กหนุ่มมองดูเด็กหญิงตัวน้อยที่กำลังบรรเลงฉินอยู่บนเก้าอี้ เธอเหมือนเกี๊ยวขาวไม่มีผิด อีกทั้งท่วงท่าการขยับร่างกายของเธอก็บ่งบอกถึงความตั้งอกตั้งใจเป็นอย่างมาก
หนวนหน่วนเกิดมาเพื่อเล่นดนตรีจริง ๆ
หลังจากจบชั้นเรียน หนวนหน่วนก็ไปงีบหลับอยู่สักครู่ หลังจากตื่นขึ้นมาเธอก็ขอให้ลูกพี่ลูกน้องพาเธอไปที่คฤหาสน์ของพี่ใหญ่เพื่อดูแปลงผักและสตรอว์เบอร์รีที่เธอปลูกเอาไว้
หนวนหน่วนและไป๋โม่ฮัวรีบวิ่งไปที่แปลงผักเพื่อกำจัดวัชพืชออกให้หมด หากปล่อยไว้คงได้ไปแย่งสารอาหารของพืชผักหมดแน่ สุดท้ายฝ่ามือสีขาวของทั้งคู่ก็เปรอะเปื้อนไปหมด เมื่อเงยหน้าขึ้นแล้วมองหน้ากันก็พบว่าใบหน้าของอีกฝ่ายต่างสกปรกไม่แพ้กัน
เมื่อกู้เป่ยออกมาเจอเข้ากับทั้งคู่ “…”
“พี่รอง!”
หนวนหน่วนโบกมือให้กู้เป่ยด้วยท่าทางเปี่ยมสุข
“มาทำอะไรกัน?”
ทั้งสองคน “มากำจัดวัชพืชครับ/ค่ะ”
เสียงหนึ่งเพราะเสนาะหู นุ่มนวลคล้ายกับขี้ผึ้ง ส่วนอีกเสียงก็ให้ความรู้สึกใสสะอาด ทั้งไป๋โม่ฮัวและหนวนหน่วนต่างเหมือนเด็กน้อยที่ยังไม่โตทั้งคู่
กู้เป่ยมองไปยังใบหน้าที่เปรอะเปื้อนของทั้งคู่ก่อนจะถอนหายใจออกมา
ช่างเถอะ ถ้ามีความสุขก็ดีแล้วละ
แต่ว่ามันจะดีกว่านี้ถ้าไม่พาเขามาร่วมขบวนการด้วย
…….
กู้หมิงหลี่โล่งใจหลังจากได้กลับเข้าสู่รั้วโรงเรียน เพราะเขาจะได้หลุดพ้นจากการสอนการบ้านให้น้องสาวเสียที แต่พอตกกลางคืนเขาก็รู้สึกว่าความคิดนี้ช่างไร้ค่ายิ่งนัก
เพราะเด็กน้อยวิดีโอคอลมาหาเขา
เจ้าตัวเล็กในวิดีโอดูนุ่มนิ่มมาก ถึงจะอยู่ในวิดีโอก็ไม่ควรจะน่ารักขนาดนี้สิ แต่เมื่อกล้องฉายไปที่หนังสือเรียนเขาก็รู้สึกว่าไม่น่ารักแล้วละ
กู้หมิงหลี่ผู้ไม่เคยเกรงกลัวสิ่งใดเป็นกังวลขึ้นมาเล็กน้อย ทำไมตอนนี้การบ้านเด็กประถมปีหนึ่งถึงได้ยากขึ้นมากขนาดนี้กัน!
แต่กังวลได้ไม่นาน เขาก็ช่วยสอนการบ้านน้องสาวอยู่ดี
รูมเมตในห้องตกใจกับสิ่งที่เห็นกันถ้วนหน้า เพราะหลังจากกลับมาที่หอพัก พวกเขาก็ไม่เห็นกู้หมิงหลี่นั่งเล่นเกม แต่เจ้าตัวกำลังจับกระดาษกับปากกาอยู่
ถังเล่อโน้มตัวลงมามองใบหน้าซีดเซียวของเพื่อนสนิทด้วยความตกใจ “ลูกพี่โดนของแล้วมั้ง!”
อู๋คว่างตื่นตระหนกก่อนจะรีบพับกระดาษเป็นรูปดาบปีศาจแล้วทำท่าฟันลง
“ย้ากกก! ปีศาจตัวไหนกล้ามาสิงสู่ร่างลูกพี่กู้ได้ หาญกล้าเกินไปแล้วนะ!”
ลู่สิงจื่อ “…”
เขาเริ่มจะเบื่อกับคนงี่เง่าพวกนี้มากขึ้นทุกวันแล้ว
แต่กู้หมิงหลี่ที่จู่ ๆ ก็จับกระดาษปากกาขึ้นมาอ่านเขียนทำเอาลู่สิงจื่อรู้สึกแปลกใจเหมือนกัน แต่ถึงอย่างนั้นพระอาทิตย์ก็ยังคงขึ้นทางทิศตะวันออกอยู่นะ
กู้หมิงหลี่กำลังยกมือขยุ้มศีรษะของตนเอง พอถูกเพื่อนร่วมห้องขัดจังหวะก็ลุกขึ้นมาไล่เตะพวกเขาให้ออกไปพ้นทาง
“ไปให้พ้น อย่ามารบกวนปรมาจารย์แก้โจทย์ปัญหา”
ลู่สิงจื่อเดินมาชำเลืองมอง พลางคิดว่าเพื่อนสนิทจะแก้ปัญหาข้อนั้นยังไง แต่มันก็เป็นแค่โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ของเด็กประถมปีหนึ่งเท่านั้น
ลู่สิงจื่อ “…”
“นายจะสอนการบ้านให้กู้อันเหรอ?”
“สอนให้หนวนหน่วนต่างหาก”
ทันใดนั้นใบหน้าของเด็กหญิงตัวน้อยก็ปรากฏขึ้นในจอ เธอมองคนรอบตัวพี่ชายด้วยสายตาลำบากใจ
[พี่ลู่ พี่ถัง พี่อู๋ สวัสดีค่ะ~]
เสียงทักทายแสนนุ่มนวลถูกส่งมา ทำเอาถังเล่อและอู๋คว่างรีบโต้ตอบทันที
“ว่าไงน้องสาว กินข้าวรึยัง?”
หนวนหน่วนตอบอย่างเชื่อฟัง [กินแล้วค่ะ]
กู้หมิงหลี่ปรายตามองพวกเขา “พูดบ้าอะไร? ป่านนี้แล้วใครยังไม่กินข้าวบ้าง”
อู๋คว่างตอบกลับ “ยังไม่ถึงเวลากินข้าวเย็นเลย!”
กู้หมิงหลี่ “คิดว่าทุกคนจะทำตัวเป็นหมูเหมือนตัวเองเหรอ”
เด็กหนุ่มเลิกต่อล้อต่อเถียงแล้วกลับมาเผชิญหน้ากับความเป็นจริง เขาทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยจิตใจห่อเหี่ยว
“หนังสือเรียนชั้นประถมสมัยนี้เปลี่ยนไปเยอะเลย ฉันเกือบลืมทุกอย่างที่เคยเรียนมาตอนประถมไปหมดแล้ว!”
เขาเริ่มกังวล ถ้าหากวันหนึ่งหนวนหน่วนมาถามแล้วเขาเกิดตอบไม่ได้ขึ้นมาจะเป็นอย่างไร
ลู่สิงจื่อจ้องไปที่กู้หมิงหลี่อย่างพิจารณา
“หนวนหน่วนไม่มีคนอื่นมาช่วยสอนแล้วเหรอ?”
กู้หมิงหลี่ตอบอย่างอวดเบ่งเล็กน้อย “หนวนหน่วนให้แค่ฉันสอน”
งั้นนี่คงเป็นภาระที่แสนเต็มใจ
ลู่สิงจื่อกระตุกยิ้มขึ้นตรงมุมปากราวกับรู้ว่าเด็กหญิงมีแผนการจะทำอะไร และในฐานะเพื่อนที่ดี เขาเองก็อยากให้กู้หมิงหลี่พยายามมากขึ้น
“นายก็ควรตั้งใจเรียนให้มากกว่านี้สิ ถ้าตอบคำถามชั้นประถมให้หนวนหน่วนไม่ได้คงน่าอายแย่เลย”
กู้หมิงหลี่ปาดเหงื่อบนใบหน้าของตัวเอง
เอาเถอะ!
ส่วนทางด้านหนวนหน่วนเอง เมื่อรู้ว่าพี่สี่จะเริ่มอ่านหนังสือเพื่อตัวเองก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา ถึงจะเห็นเขาไปค้นคว้าหาความรู้เพื่อนำมาตอบก็เถอะ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังคงปรบมือชื่นชมเขาหลังจากที่ตอบคำถามได้สำเร็จ เด็กหญิงจ้องมองเขาด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชม
[พี่สี่เก่งที่สุดเลย แก้โจทย์ยาก ๆ ได้หมดด้วย]
เห็นได้ชัดว่าข้อแตกต่างระหว่างที่เขาถูกชมต่อหน้าคนอื่นกับน้องสาวนั้นแตกต่างกันเหลือเกิน เมื่อรู้สึกว่าตัวเองดูเป็นคนฉลาดต่อหน้าน้องสาว เขาก็รู้สึกประทับใจขึ้นมา เขาพร้อมที่จะศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมมากกว่าเดิมด้วย
ลู่สิงจื่อค่อนข้างสับสน ไม่รู้ว่าตัวเองจะพรรณาความรู้สึกนี้ออกมาเป็นคำพูดได้อย่างไร มีคนมากมายที่บอกให้กู้หมิงหลี่ตั้งใจเรียน แต่คำพูดของคนพวกนั้นกลับเทียบคำเชยชมจากเด็กน้อยบางคนไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
การเปลี่ยนแปลงตัวเองของกู้หมิงหลี่ทำให้ทั้งระดับชั้นเกิดความฮือฮาครั้งใหญ่ นอกจากนี้พวกผองเพื่อนที่เล่นกับเขายังตั้งสมญานามให้เขาว่า ‘คนทรยศ’ อีกต่างหาก ทุกคนต่างมองกู้หมิงหลี่ด้วยสายตาไม่พอใจ
“มองอะไร! อย่ามายุ่งกับฉัน!”
กู้หมิงหลี่ที่กำลังนั่งท่องศัพท์รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา แม้แต่ถังเล่อเองก็ไม่กล้าที่จะรบกวนเขาไปมากกว่านี้
ถังเล่อ “นี่ก็เข้าวันที่ห้าแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าลูกพี่จะตั้งใจเรียนมาห้าวันติดกัน!”
อู๋คว่างพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง “พูดตามตรงนะ น้องสาวมีผลต่อลูกพี่มากเกินไปแล้ว”
ลู่สิงจื่อที่กำลังอ่านหนังสือหัวเราะขึ้นมา “แบบนี้ไม่ดีตรงไหน? รีบพยายามเข้าสิพวกนายน่ะ ถ้ากู้หมิงหลี่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ แต่พวกนายสอบไม่ติดหรือตกชั้นลงไปอยู่มหาวิทยาลัยอันดับสามละก็ ช่องว่างของพวกเราก็จะมากขึ้นเรื่อย ๆ ห่างทั้งระยะทางและความสัมพันธ์เลยนะ ถ้าเป็นอย่างนั้นคงไม่ดีแน่”
ถังเล่อและอู๋คว่างรู้สึกกังวลใจ ก่อนจะตกอยู่ในภวังค์จากคำพูดนั้น