ฉันมีพี่ชาย 7 คน - บทที่ 109 บาร์บีคิวคว่ำ
บทที่ 109 บาร์บีคิวคว่ำ
กู้หมิงหลี่หล่อมากตอนที่เขาโต้คลื่น กู้อันจึงคิดอยากจะลองทำดูบ้าง แต่เขาไม่สามารถทำตามได้เลย
คนอื่นไม่ยินยอมให้เขาไปลองเสี่ยงแน่นอน เนื่องจากเขายังเด็กจึงทำได้เพียงใส่ห่วงยางแล้วว่ายน้ำเล่น คิดจะเล่นกระดานโต้คลื่นน่ะเหรอ? ตอนนี้ยังไม่ได้หรอก
กู้อันถูกห้ามจนใจแทบขาด เขามองไปที่กระดานโต้คลื่นของกู้หมิงหลี่อย่างโหยหา หวังว่าสักวันเมื่อโตขึ้นจะได้ลองเล่นแบบนั้นจริง ๆ
กู้หมิงอวี๋และกู้หนานก็โต้คลื่นเป็นเหมือนกัน หลังจากนั้นทั้งสามคนก็กระโดดขึ้นไปอยู่บนกระดานแล้วเริ่มเล่นท่าแปลก ๆ
ทุกคนเก่งมากเลย พี่ชายของเธอทั้งนั้น!
รอยยิ้มที่สดใสและอ่อนหวานปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเด็กน้อย แววตาของเธอเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้มองดูเหล่าพี่ชายของตัวเอง
หนวนหน่วนรู้สึกว่าตนเองโชคดีมาก
ไป๋โม่ฮัวนั่งอยู่ริมชายหาดพร้อมกับพู่กันและสีที่วางอยู่เคียงข้าง เขาถือกระดานวาดภาพด้วยมือข้างหนึ่ง ในขณะที่อีกข้างวาดฉากการโต้คลื่นในทะเล ในภาพวาดอาจมองเห็นใบหน้าของผู้เล่นได้ไม่ชัดเจน มันเป็นภาพที่แสดงกิจกรรมและพฤติกรรมของทุกคนแทน
แตกต่างจากการลงฝีแปรงที่ละเอียดอ่อนในตอนแรก คราวนี้เขาลงสีให้เข้มขึ้น รายละเอียดทุกอย่างจึงเริ่มชัดเจน หลังจากได้มองดูแล้ว มันให้ความรู้สึกตึงเครียด ตื่นเต้น และโล่งสบายอย่างบอกไม่ถูก
เมื่อหนวนหน่วนมองดูสามพี่น้องเล่นกระดานโต้คลื่นเสร็จแล้วก็รีบวิ่งไปหาไป๋โม่ฮัวที่นั่งวาดภาพเสร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง และถึงแม้ว่ามันจะเสร็จเพียงครึ่งเดียวแต่ก็สวยงามมากเช่นกัน
แสงแดดที่สาดส่องลงมาขับให้ผิวเนียนละเอียดจนแทบจะสามารถสะท้อนแสงได้ ชายหนุ่มหน้าตาสะอาดสะอ้านยังคงนั่งวาดภาพต่อเงียบ ๆ บรรยากาศราวกับว่าเขากำลังประกอบพิธีศักดิ์สิทธิ์อะไรสักอย่าง
หลังจากที่หนวนหน่วนเดินเข้าไปหา เด็กน้อยก็ไม่ได้รบกวนการวาดภาพของลูกพี่ลูกน้องของเธอ แต่กลับเดินอ้อมไปข้างหลังอย่างเงียบ ๆ แล้วจ้องมองภาพวาดของเขาอย่างระมัดระวัง เธอจ้องมองภาพวาดที่ค่อย ๆ มีสีเข้มขึ้นจนมันเป็นรูปเป็นร่างด้วยมือของเขา
ชายหนุ่มกำลังหมกมุ่นอยู่ในโลกของตัวเอง เขาดูเหมือนจะตัดขาดจากสิ่งรบกวนภายนอกทั้งหมดไปแล้วถึงใช้นิ้วเรียวจับพู่กันร่างภาพและลงสีบนกระดาษอย่างเอาเป็นเอาตาย ราวกับว่าไม่มีอะไรอยู่ในสายตานอกจากภาพวาดที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น
แม้ว่าหนวนหน่วนจะไม่เข้าใจการวาดภาพ แต่เธอก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าภาพของลูกพี่ลูกน้องในตอนนี้แตกต่างจากภาพวาดที่เธอเคยเห็นในสตูดิโอของเขา แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าแตกต่างตรงไหน
นักเล่นกระดานโต้คลื่นทั้งสามคนขึ้นมาจากทะเล ผมของพวกเขาเปียกชุ่ม กู้หมิงอวี๋ใช้ผ้าขนหนูแห้งคลุมศีรษะของตนไว้ ส่วนกู้หมิงหลี่ใช้มือเสยผมตรงหน้าผากของตนจนหยดน้ำกระเซ็นออกไป
ดวงตาของกู้หนานลึกล้ำ ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่น ประกอบกับสีหน้าที่ไม่แสดงออกของเขานั้นยิ่งทำให้ดูเย็นชามากขึ้น แต่ผมสั้นสีดำที่ปรกลงบนหน้าผากนั้นดูเหมือนจะทำให้โครงหน้าของเขาดูอ่อนกว่าวัยลงมาก
“กำลังทำอะไรอยู่เหรอ?”
กู้หมิงหลี่เดินถือกระดานโต้คลื่นไว้ในมือข้างหนึ่งอย่างไม่ได้ตั้งใจนัก
หนวนหน่วนรีบยกนิ้วชี้ขึ้นแตะบริเวณริมฝีปากเป็นเชิงว่าให้เงียบ ๆ ก่อนจะกระซิบกระซาบด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
“พี่โม่ฮัวกำลังวาดภาพ”
กู้หมิงหลี่ขมวดคิ้วขึ้นก่อนจะยิ้มออกมา เขาเดินไปข้างหลังไป๋โม่ฮัวก่อนจะพบว่าชายหนุ่มตรงหน้ากำลังหลุดเข้าไปในโลกของตัวเอง ดูท่าจะยังไม่รู้ว่าพวกเขาขึ้นฝั่งกันหมดแล้ว
เขาเคยได้ยินชื่อเสียงเลื่องลือถึงความอัจฉริยะทางการวาดภาพของไป๋โม่ฮัวมาก่อน แต่ไม่เคยได้เห็นของจริง
หนึ่งคือเพราะไม่ค่อยได้เจอกันและรู้สึกไม่สนิท ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งคือ เขาไม่ชอบงานศิลปะพวกนี้ เขาเคยเห็นภาพวาดที่มีชื่อเสียงบนอินเทอร์เน็ตมาเยอะ และด้วยความเข้าไม่ถึง จึงไม่สามารถชื่นชมภาพวาดนามธรรมที่บิดเบี้ยวพวกนั้นได้ สำหรับเขาก็เป็นเพียงการทาสีเท่านั้น
แต่เมื่อยืนอยู่ข้างหลังไป๋โม่ฮัวและได้มองไปที่ภาพวาดของเขา นี่เป็นครั้งแรกที่กู้หมิงหลี่รู้สึกทึ่งกับศิลปะประเภทนี้ ทั้งที่แต่ก่อนไม่เคยเข้าถึงได้
ทะเลสีน้ำเงินและท้องฟ้าสีครามดูไร้ที่สิ้นสุด บนคลื่นที่สูงใหญ่ปรากฏภาพมนุษย์ตัวจิ๋วสามคนกำลัง ‘พิชิต’ มหาสมุทร
เพียงแค่ภาพวาด แต่มันกลับทำให้คนที่มองดูรู้สึกเหมือนพวกเขาได้เข้าไปอยู่ในสถานที่แห่งนั้น สัมผัสได้ถึงแรงผลักดันที่ตึงเครียดและความรู้สึกสดชื่นของทะเลชัดเจน
“เจ๋งว่ะ”
กู้หมิงหลี่มองไปยังภาพวาดที่ถูกวาดขึ้นโดยไป๋โม่ฮัวแล้วกระซิบกับตัวเอง
ก่อนหน้านี้ไป๋โม่ฮัวทำให้เขารู้สึกถึง ‘ความอ่อนแอและด้อยประสบการณ์’ และเหมือน ‘ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม’ เพราะเจ้าตัวค่อนข้างดูซื่อบื้อ แต่ในตอนนี้เป็นครั้งแรกที่เขาได้มองคนตรงหน้าอย่างจริงจัง แม้ว่าไป๋โม่ฮัวจะหน้าตาไม่ได้ดีมากและดูไม่สมกับเป็นชายชาตรีสักเท่าไหร่ แต่ฝีมือและมันสมองของเขากลับดูน่าทึ่งเป็นอย่างมาก
ไม่อย่างนั้นจะจำเรื่องราวมากมายและวาดฉากเหล่านั้นในเวลาอันสั้นได้อย่างสมบูรณ์แบบได้ยังไง
สมองของจิตรกรจดจำได้มากมายขนาดนั้นเลยเหรอ?
“สมกับเป็นจิตรกรผู้มีความสามารถ”
กู้หมิงอวี๋ยกมือแตะคางของเขาแล้วเอ่ยชม
ถึงแม้ว่ากู้หนานจะไม่ได้พูดอะไร แต่สายตาของเขาก็จับจ้องไปที่ภาพวาดนั้นอยู่เนิ่นนาน
วาดได้ไม่เลวเลย
เวลาผ่านไป ไม่รู้ว่าไป๋โม่ฮัวนั่งวาดภาพไปนานแค่ไหน แต่เขาก็ลดพู่กันลง เมื่อได้กลิ่นหอมหวนชวนท้องไส้ร้องปั่นป่วน
ได้เวลาทานอาหารกลางวันกันแล้ว แต่ยังไม่มีใครกลับไปที่วิลล่าเลย บอดีการ์ดจึงนำเตาบาร์บีคิวและอาหารจากวิลล่ามาตั้งบนชายหาดแทน
มันเหมือนจะง่ายเมื่อเห็นคนอื่นทำ แต่เมื่อได้ลองทำเองแล้ว…
“แม่ง! ทำไมไฟลุกแบบนี้วะ ไหม้ขนาดนี้กินได้ไหมเนี่ย?”
กู้หมิงหลี่มองไปที่เนื้อสีดำสนิทในมือของเขา
หนานเฟิงเอ่ยปากแนะนำ “น้องสี่ ใส่น้ำมันเยอะไปนะ ถ้าใส่น้อยกว่านี้มันจะไม่ไหม้เกรียมแบบนั้นหรอก”
กู้หมิงหลี่ “ถ้าใส่น้อยแล้วมันจะอร่อยเหรอ?”
แม้ว่าจะเห็นปัญหาแล้ว แต่เมื่อลงมือย่างอีกครั้งกลับรู้สึกว่าน้ำมันน้อยเกินไป แถมสมองกับมือเหมือนจะทำงานกันคนละส่วนอีก
สมอง : จากประสบการณ์ที่ผ่านมา มันก็พอแล้วนะ
มือ : คิดว่ามันต้องใส่อีกสักหน่อย
และแล้ว… มันก็กลับมาไหม้อีกครั้ง
กู้หมิงหลี่ “…”
ให้ตายเถอะ!
กู้หมิงอวี๋นั่งอยู่บนเก้าอี้แล้วพลิกไม้เสียบบาร์บีคิวในมือช้า ๆ
“ของฉันก็ไม่ได้ใส่เยอะเกินไปใช่ไหม?”
เมื่อคิดว่าจะสุกแล้ว เขาที่ค่อนข้างมั่นใจในตัวเองก็รีบหยิบชิมอย่างไม่รีรอ
สามวินาทีต่อมา….
เขาก็แอบคายมันออกมาอย่างเงียบ ๆ
ทำไมมันถึงได้ขมแบบนี้?
“รสชาติเป็นยังไง?”
กู้หมิงหลี่ที่ทำมันไหม้หลังจากลองย่างใหม่สองครั้งเริ่มรู้สึกหงุดหงิด
การแสดงออกบนใบหน้าของกู้หมิงอวี๋เปลี่ยนไปทันที เขายกยิ้มขึ้น “ก็ไม่เลว”
“จริงเหรอ? เราสองคนเป็นพี่น้องกัน แปลกแฮะ ทำไมนายทำได้ดีแต่ฉันทำไม่ได้….”
ในขณะที่พูด เขาก็หยิบปลาย่างของกู้หมิงอวี๋ใส่ปากไปด้วย และหลังจากนั้น….
“ถุ้ย! กู้หมิงอวี๋นายหลอกฉัน ไม่เลวกับผีอะไรล่ะ!”
กู้หมิงอวี๋หัวเราะแล้ววิ่งหนีไป
มีคนร่วมชะตากรรมดีกว่าเผชิญคนเดียวนี่หว่า
แต่เดิมหนวนหน่วนก็รู้สึกอยากทานบาร์บีคิวที่บรรดาพี่ชายของเธอทำอยู่หรอก แต่ตอนนี้เธอรู้สึกกลัวเล็กน้อย
เธอกับพี่เล็กจ้องมองไปที่กู้หนานผู้ที่หวังจะฝากชีวิตด้วยเป็นคนสุดท้าย
“ท้าดา…”
กู้หนานมองไปยังบาร์บีคิวและอาหารทะเลที่พลิกคว่ำอยู่ตรงหน้าตนอย่างนิ่งสงบ
หนวนหน่วนและกู้อัน “…”