ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี - ตอนที่ 9 เรียกพ่อสิลูก
ตอนที่9 เรียกพ่อสิลูก
จ้าวเฉียนรีบปรี่ไปขอโทษต่อหน้าอู๋ซินทันที
“ต้องขอโทษจริงๆ รถติดนิดหน่อยเลยมาสาย”
อู๋ซินส่ายหัวยิ้มตอบว่า
“ไม่เป็นไร ฉันก็เพิ่งมาถึงเหมือนกัน”
ทั้งสองตรงเข้าไปสั่งกาแฟและนั่งคุยกันขณะดื่มไปด้วย
ด้วยความจริงใจของอู๋ซิน เธอได้เขียนสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรว่า หากเกิดอะไรขึ้นกับเธอในอนาคต เขาไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบใดๆ
แต่จ้าวเฉียนไม่ได้มองด้วยซ้ำ แค่ยัดกระดาษแผ่นนั้นลงในกระเป๋าเสื้อและพูดขึ้นว่า
“ดูเหมือนว่าเธอจะไม่มีความสุขกับสิ่งที่เกิดขึ้นเลย มีใครทำอะไรไม่ดีให้หรือเปล่า?”
“เปล่า มันไม่ใช่แบบนั้น…”
“แล้วมันเรื่องอะไรล่ะ? ลองเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหม เผื่อฉันจะพอช่วยเธอได้?”
“นายช่วยไม่ได้หรอก”
แท้จริงแล้ว คนที่ติดหนี้จนต้องจ่ายเงินคืนจำนวน200,000หยวนในช่วงห้าปีที่ผ่านมาอย่างเขา จะไปช่วยเธอได้ยังไง?
แต่จ้าวเฉียนยังคงไม่ยอมแพ้ และเอ่ยถามเธอต่อจนกว่าจะยอมปริปากในที่สุด
และเป็นอย่างที่จ้าวเฉียนคาดการณ์ไว้ไม่มีผิด หยางหมิงตกหลุมรักอู๋ซินเข้าให้ และต้องการจะนอนกับเธอสักคืน แต่ตัวอู๋ซินเองกลับไม่เต็มใจและปฏิเสธไป
และด้วยตำแหน่งของหยางหมิงในเฟยอวี้ที่ออกคำสั่งลงดาบเธอ จึงไม่มีแพลตฟอร์มไหนกล้าเซ็นสัญญากับอู๋ซินอีก ดังนั้นเธอจึงจำใจต้องอำลาวงการนิ้อย่างถาวร
“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง อ่อ ฉันจะไปซื้อรถสักคัน ถ้าเวลาค่อยคุยกันวันอื่นนะ”
“นายจะไปซื้อรถงั้นเหรอ? ฉันพอมีความรู้อยู่บ้าง ให้ไปช่วยเลือกไหม?”
“จริงเหรอ? แน่นอน! รีบไปกันเถอะ!”
จ้างเฉียนถือถ้วยกาแฟเดินออกไปพร้อมกับอู๋ซินทันที ในขณะเดียวกันเธอก็เอ่ยถามเขาว่า สนใจหรือดูรุ่นไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า ทว่าจ้าวเฉียนส่ายหัวและตอบไปว่า
“ไม่ได้ดูมาก่อนเลย แค่เอารถสักคันที่ไม่ต้องหรูมาก”
“แล้วมีงบประมาณเท่าไหร่ล่ะ?”
“ไม่มีงบ ถูกใจคันไหนก็เอาคันนั้น”
“นี่นายถูกล็อตเตอรี่รึไง! ทำไมจู่ๆ ถึงรวยชั่วข้ามคืนแบบนี้?”
“โอ้? เธอรู้ได้ไง? ฉันถูกรางวัลที่หนึ่งน่ะ ได้มาตั้ง5ล้าน แล้วเมื่อวานก็ใช้เงินไปร่วม3ล้านเพื่อจัดงานเลี้ยงกับเพื่อนๆ เมื่อคืน”
อู๋ซินถึงกับพูดไม่ออก เพราะนิสัยฟุ่มเฟือยแบบนี้ก็สมควรเป็นคนจนต่อไป เพิ่งจับเงินก้อนไม่ทันไรก็เอาไปผลาญเสียแล้ว
แต่เธอก็มองอีกมุมหนึ่ง นี่เป็นเงินของเขาเอง เขาย่อมสามารถนำไปใช้จ่ายตามใจชอบได้ เธอครุ่นคิดอยู่หลายรอบ หลังจากผ่านกระบวนการความคิดโดยละเอียดแล้ว เธอก็แนะนำให้จ้าวเฉียนซื้อ Jaguar XJ
แม้ว่ารถคันนี้จะไม่ได้แพงมาก แต่ราคาก็อยู่ที่ประมาณหนึ่งล้านหยวน ซึ่งคนระดับทั่วไปไม่มีทางซื้อได้แน่นอน
ทันทีที่ทั้งสอมาถึงหน้าประตูโชว์รูม4S พี่ชายของอู๋ซินก็บังเอิญโทรเรียกเธอกลับบ้านทันที เพราะมีเรื่องด่วน หลังวางสายเธอรีบขอโทษจ้าวเฉียนและแยกออกไปทันที
จ้าวเฉียนเดินเข้าไปในโชว์รูมรถตามลำพัง หลังกวาดสายตามองดูรถที่จัดโชว์อยู่หลายรอบ ก็ไม่รู้ว่าคันไหนคือรุ่นXJ ก่อนแยกกันอู๋ซินบอกว่าจะส่งวิดีโอข้อมูลไปในมือถือ
แต่พอกดเริ่มวีดีโอสัญญาณกับไม่ดีส่งผลให้ภาพติดขัดจนมองไม่รู้เรื่อง จ้าวเฉียนต้องการใช้อินเทอร์เน็ตโดยด่วน
เหลือบซ้ายแลขวาอยู่สักครู่หนึ่ง เขาก็เดินเข้าไปถามพนักงานคนหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ ว่า
“เอ่อ…สวัสดีครับ รหัสผ่านWIFIของที่นี่คืออะไรเหรอครับ?”
พนักงานขายรถคนนั้นเหลือบหางตามองเขาด้วยความรังเกียจ ก่อนจะชี้ไปที่กำแพงด้านหนึ่งโดยที่ไม่ปริปากสักคำ จ้าวเฉียนเหลือบไปเห็นรหัสผ่านที่แปะบนกำแพง ก็รีบกรอกลงในมือถือทันทีเพื่อเชื่อมต่อWIFIอย่างรวดเร็ว แต่สุดท้ายเน็ตของโชว์รูมแห่งนี้ก็ไม่ค่อยดีนัก สุดท้ายต้องวิดีโอคอลกับอู๋ซินในท้ายที่สุด
ทันทีที่เปิดวิดีโอคอล พนักงานขายคนนั้นที่สังเกตเห็นก็เอ่ยปากพูดขึ้นด้วยท่าทีขยะแขยงว่า
“ก่อนหน้านี้เพิ่งไล่ไอ้พวกยากจนที่ขอใช้WIFIฟรีอยู่เลย ตอนนี้พวกมันมากันอีกแล้ว? โทรคุยกับแฟนแค่นี้ไม่มีปัญญาซื้อเน็ตเองรึไง? ทำไมวันๆ ต้องเจอแต่ไอ้พวกน่าเบื่อนี่ด้วย?”
จ้าวเฉียนไม่ได้สนใจพนักงานสาวคนนั้น และรีบเอ่ยถามอู๋ซินว่า เกิดอะไรขึ้น มีเรื่องเร่งด่วนอะไรหรือเปล่า
“ไม่มีอะไร ฉันแค่อยากรู้ว่านายเลือกได้แล้วรึยัง?”
“ยังเลย ผมยังไม่รู้เลยว่ารุ่นXJมันคันไหน?”
“บ้า นายนี่ซื่อบื้อรึเปล่า พนักงานขายมีไว้ทำอะไร?”
จ้าวเฉียนหันควับมองไปที่พนักงานขายคนนั้นทันที จับจ้องอีกฝ่ายอย่างโง่งม และหันมาพูดกับอู๋ซินว่า
“เออ ผมนี่ลืมไปได้ยังไง แต่ไม่รู้สิ ดูเธอไม่ค่อยอยากจะต้อนรับผมเท่าไหร่”
“ฮ่าฮ่าๆ เอาน่า เรามาซื้อรถไม่ได้มาตากแอร์ฟรีๆ สักหน่อย เดี๋ยวฉันติดต่อนายไปใหม่หลังซื้อเสร็จแล้วนะ”
“โอเค”
จ้าวเฉียนยิ้มกว้างพยักหน้าให้และกดวางสายไป จากนั้นก็หันไปเรียกพนักงานคนนั้น เขากล่าวว่า
“ขอโทษนะครับ ผมขอดูรุ่นXJหน่อยได้ไหม คันไหนคือรุ่นXJเหรอครับ?”
พนักงานสาวคนนั้นรวนหัวเราะเยาะเบาๆ กล่าวตอบขึ้นว่า
“คุณลูกค้า ที่นี่คือโชว์รูมจากัวร์ไม่ใช่เจ็ตตาราคาถูก คงมาผิดที่แล้วล่ะค่ะ”
“ผมรู้ว่าที่นี่คือโชว์รูมจากัวร์ ผมอยากเห็นรุ่นXJ”
“คุณลูกค้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหน้าตารถรุ่นนี้เป็นยังไง? แต่บอกว่าต้องการมาซื้อ?”
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ? พอดีรถราคาถูกแบบนี้ผมไม่เคยสนใจน่ะครับ เลยไม่เคยเห็นหน้าตาว่าเป็นยังไง”
พนักงานสาวคนนั้นหัวเราะเยาะเสียงดังลั่น จากนั้นเธอก็รีบไปเรียกพนักงานขายคนอื่นๆ รายล้อมตรงเข้ามาหัวเราะเยาะจ้าวเฉียนกันไม่หยุดหย่อน
“คิดว่าตัวเองเป็นใครเหรอคะคุณลูกค้า? ไม่รู้จักดูหัวนอนปลายเท้าตัวเอง แต่ยังเสร่อมาเสนอหน้าที่นี่? รถรุ่นนี้ราคาล้านกลางๆ มีเงินเหรอค่ะ?”
“พี่แนะนำว่าให้น้องไปลองดูรถที่ขายต่อตามถนนดูนะ ไม่กี่หมื่นหยวนก็ได้แล้ว คันที่น้องอยากได้ราคาเป็นล้าน!”
“ฉันเบื่อเต็มทนแล้วกับพวกปรสิตพวกนี้ ไม่มียางอายกันบ้างรึไง? ดูแต่งตัวเข้าสิ แสร้งทำเป็นว่าตัวเองเป็นเจ้าของธุรกิจSME) อยู่รึไง? แล้วบังเอิญอินเตอร์เน็ตใช้ไม่ได้ เลยมาขอรหัสWIFIที่นี่? ฉันไม่เข้าใจหรอกนะว่าคนอย่างพวกแกมียางอายกันไหม หากพอมีเวลาหัดใช้สมองคิดญซะบ้างว่า คนจนๆ อย่างแกมีปัญญาซื้อรถหรูๆ แบบนี้ได้ด้วยเหรอ? ทำให้คนอื่นเสียเวลาโดยใช่เหตุ!”
จ้าวเฉียนมองพวกเขาราวกับคนโง่เง่ากลุ่มหนึ่ง ที่ยิ้มชื่นชมตัวเองกับวาจาไร้สาระพวกนี้ แน่นอนว่าจ้าวเฉียนไม่รอให้พวกนี้ด่าจนจบแน่นอน
“พล่ามกันเสร็จรึยัง? ก็บอกไปแล้วว่าฉันไม่เคยให้ความสนใจกับรถเกรดต่ำ แล้วจะไปเคยเห็นได้ยังไง? หรือพวกคุณคิดว่ารถชั้นต่ำพวกนี้คือระดับไฮเอนด์แล้ว? เอาล่ะ ถ้าฉันซื้อรถรุ่นXJได้ในวันนี้ พวกคุณต้องเรียกฉันว่าพ่อ ว่ายังไงล่ะ?”
ไม่ว่าจะเงินจำนวนเท่าไหน่ ตระกูลของจ้าวเฉียนก็มีมากมายล้นฟ้า ดังนั้นแล้วเรื่องเงินจึงไม่ใช่ปัจจัยสำคัญสำหรับเขาเลย แต่เป็นความสุขต่างหาก การที่ได้ตบหน้าพนักงานเหล่านี้ให้รู้สึกละอายใจด้วยความจริง คงเป็นความสุขอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ยิ่งได้ยินพวกนี้เรียกเขาว่าพ่อ ลองคิดดูสิว่าจะมีความสุขขนาดไหน?
แน่นอน เมื่อพวกพนักงานขายเหล่านี้ได้ยินต่างก็หัวเราะคิกคัก ไม่มีใครเชื่อจ้าวเฉียนเลยสักคน
ทันใดนั้นเอง จ้าวเฉียนหยิบบัตรเครดิตสีดำหรือก็คือแบล็คการ์ดโยนลงบนฝากระโปรงรถท่อยู่ใกล้มือ
“เอาล่ะ เรียกพ่อสิลูก”
เมื่อทุกคนเห็นแบล็คการ์ด แต่ละคนแทบกลืนเสียงหัวเราะตนเองลงแทบไม่ทัน
ขณะนี้เอง พนักงานหญิงคนแรกที่ดูถูกจ้าวเฉียนก็นึกอะไรขึ้นได้ จึงกล่าวขึ้นอย่างรังเกียจว่า
“แค่ได้จับแบล็คการ์ดทำตัวเป็นคางคกขึ้นวอเชียว เสแสร้ง! เหอะ…ใครจะไปรู้ว่าเจ้าของแบล็คการ์ดตัวจริง? จิ๊กเจ้านายมารึไง? ฮ่าฮ่าๆ …”
“ฮิฮิ…ถ้าไม่รู้อะไรจริงๆ ก็อย่าเสร่อทำเป็นอวดรู้ดีกว่า ผมจะบอกอะไรพวกคุณหน่อยก็ได้ ผมสามารถซื้อเครื่องบินได้ทั้งลำด้วยแบล็คการ์ดใบนี้ ถ้าพวกคุณยอมเรียกผมว่าพ่อ ไม่แน่ผมอาจจะซื้อโชว์รูมนี้ให้ยังได้”
พนักงานแต่ละคนหุบปากเงียบต่างรู้สึกเงิบกันเป็นแถว ไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เขาพูดไปควรเชื่อดีหรือไม่?
ถ้าชายคนนี้โกหก พวกเธอก็เป็นเพียงไอ้โง่ที่โดนสวมเขา แต่ถามเป็นเรื่องจริงขึ้นมาล่ะ? นี่…ไม่ได้แว้งเท้าหาเสี้ยนหรอกเหรอ?
เมื่อได้ยินว่าเป็นแบล็คการ์ดดังหลุดรอดออกมา ผู้จัดการฝ่ายขายก็รีบวิ่งตรงเข้ามาทักทายอย่างยิ้มแย้มทันที
“โอ้ ผมต้องขอโทษแทนลูกน้องด้วยจริงๆ ครับสำหรับกิริยาไม่เหมาะสม คุณลูกค้าอย่าเพิ่งโมโหเลยนะครับ ผมขอแนะนำตัวนะครับ ผมชื่อหงฝู่เป็นผู้จัดการฝ่ายขายของโชว์รูมนี้ครับ…”
หงฝูก้มศีรษะขอโทษให้พร้อมเอื้อมไปจับมือกับจ้าวเฉียน
จ้าวเฉียนที่เห็นแบบนั้นก็พยักหน้าตอบ แต่ไม่ได้ยื่นมือออกไปจับด้วย
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับคุณ แค่อยากจะถามว่า คนพวกนี้จะยอมเรียกผมว่าพ่อไม่ ถ้าไม่ก็ยังมีอีกหลายโชว์รูมที่ต้องการลูกค้า”
ฟงฝูตะคอกใส่พนักงานขายเหล่านั้นด้วยความโกรธจัด
“ไอ้พวกงี่เง่า! ยังไม่รีบเรียกคุณลูกค้าว่าพ่ออีกรึไง! หรืออยากให้ฉันไล่ออกยกแผง!”
หากไม่ทำตามพวกเขากลายมาเป็นคนตกงานแน่นอน โดยไม่มีทางเลือกอื่นใด พวกเขาแต่ละคนเอ่ยปากเรียกจ้าวเฉียนว่าพ่อทันที
“พ่อ…พ่อ…”
“พ่อ….”