ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี - ตอนที่ 304 โจวเจียงเฉินออกโรงเอง
ตอนที่304 โจวเจียงเฉินออกโรงเอง
โจวเจียงเฉินหันไปมองหน้าชางหย่าด้วยความรู้สึกผิด เขาเอ่ยปากขอโทษขึ้นว่า
“เสี่ยวหย่า ผมขอโทษ ผมไม่รู้ว่าเธอจะมาก่อปัญหาให้แบบนี้ ไม่อย่างนั้นผมคงหยุดพวกเขาไว้ก่อนแล้ว”
หากเปลี่ยนเป็นผู้หญิงคนอื่นมาแทนที่ชางหย่า เธอเหล่านั้นต้องระเบิดน้ำตาร้องไห้ออกมาแน่นอนในเวลานี้ ไม่ก็บ่นถึงหวังอาเหม่ย ตำหนิติเตียนโจวเหว่ยเฉิน ทำทุกอย่างให้ดูแล้วรู้สึกสงสาร
แต่ไม่สำหรับชางหย่าคนนี้ เธอยังคงยิ้มอย่างสง่างามยกมือปัดปอยผมและกล่าวว่า
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันรู้ตัวดีว่ามาทีหลังโดนดุแบบนี้ก็เข้าใจได้ค่ะ หลังจากนี้ฉันจะเตรียมตัวเตรียมใจอดทนให้มากกว่านี้ แล้วคุณอย่ามาที่นี่อีกเลยค่ะ เดี๋ยวพวกพนักงานข้างนอกจะเอาเรื่องของคุณไปนินทาได้นะ”
เหตุผลที่โจวเจียงเฉินหลงใหลในตัวชางหย่า นอกเหนือจากความงามของเธอแล้ว อีกหนึ่งเหตุผลสำคัญคือ เธอเข้าใจดีว่าเขาต้องการอะไรแม้ไม่ต้องเอ่ยปากบอกก็ตาม และเขามักจะคิดเสมอว่า ถ้าหวังอาเหม่ยได้สักครึ่งหนึ่งของเธอไป เขาคงไม่มีวันนอกใจอย่างแน่นอน
โจวเจียงเฉินพยักหน้าตอบด้วยความจริงใจ และหันไปมองโจวเหว่ยซูด้วยความรู้สึกผิด
โจวเหว่ยซูในขณะนี้หัวเสียอย่างมาก ไม่แม้แต่อยากมองหน้าคนเป็นพ่อเลยด้วยซ้ำ
โจวเจียงเฉินรู้สึกผิดกับลูกสาวคนนี้มาโดยตลอดจากก้นบึ้งหัวใจ แม้ว่าเธอจะไม่อยากมองหน้า หรือไม่เคารพเขาเลยแม้แต่น้อย ทว่าเขาก็ไม่เคยโกรธ
“เหว่ยซู อย่าโกรธ ป้าหวังกับพี่ชาย…”
“ไม่! มันไม่ใช่พี่ชายหนู! จำไว้!”
โจวเหว่ยซูกล่าวขัดขึ้นทันควัน
โจวเจียงเฉินตอบกลับไปอย่างช่วยไม่ได้ว่า
“พ่อรู้ว่าเธอโกรธเขาที่ทำร้าย แต่ยังไงเลือดก็ข้นกว่าน้ำ ไม่มีวันปฏิเสธสายเลือดในตัวได้ แม้พ่อจะไม่สามารถเปิดเผยเรื่องเธอได้ แต่พ่อสัญญาว่าจะพยายามหาทางชดเชยทางอื่นแน่นอน ถ้าต้องการอะไรก็บอกได้เสมอนะ”
โจวเหว่ยซูพ่นลมหายใจเย็นใส่พ่อของเธอทันทีและกล่าวว่า
“แน่ใจเหรอ? งั้นก็ได้! หนูมีเพื่อนคนหนึ่งทำธุรกิจท่าเรือ หนูอยากให้เขาเข้ามาเป็นคู่ค้ากับบริษัทเรา! ไม่ทราบว่าจะชดเชยให้ลูกคนนี้ได้ไหม?”
โจวเจียงเฉินตื่นตัวขึ้นในทันใด ดูเหมือนว่าเพื่อนที่ออกจากปากลูกสาวของเขาจะไม่ง่ายแค่คำว่า ‘เพื่อน’ จริงๆ ไม่อย่างนั้นเธอไม่มีวันออกหน้าขอเขาแบบนี้แน่นอน อย่างไรก็ตามแต่บริษัทเมล็ดพืชการาจของเราเป็นสินค้าขายดีที่สุดของจีน ถ้าไม่ใช่คนที่มีภูมิหลังแข็งแกร่งจริงๆ การจะมาตีสนิทกับลูกสาวจนถึงขั้นออกหน้าแทนให้กันได้แบบนี้คงไม่มีทางเป็นไปได้
โจวเจียงเฉินนึกเสียดายไม่ใช่น้อยที่เขาแทบจะไม่มีส่วนร่วมในการเข้ามาดูแลเธอตลอดที่ผ่านมาเลย แต่อย่างน้อยตอนนี้มันก็ยังไม่สาย เขาจะต้องตรวจสอบภูมิหลังของแฟนหนุ่มลูกสาวเขาให้ดีก่อนว่า อีกฝ่ายคู่ควรจะเป็นเขยสกุลโจวหรือไม่!
“เหว่ยซู เธอชวนเพื่อนคนนั้นออกไปทานข้าวด้วยกันหน่อย พ่อต้องการเจอเขา ถ้าตกลงเรื่องนี้พ่อจะเก็บไปคิดดูอีกที ถ้าไม่ก็พ่อคงต้องทำให้ลูกผิดหวังแล้วล่ะ”
โจวเจียงเฉินกล่าวขึ้นพร้อมสีหน้าจริงจัง
ธุรกิจใหญ่โตขนาดนี้มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ที่จะด่วนตัดสินใจได้ แม้ว่าโจวเหว่ยซูจะโกรธพ่อของเธอ แต่เธอก็ไม่สามารถขัดได้เช่นกัน ท้ายที่สุดนี้เธอคือลูกสาวผู้มีสายเลือดของตระกูลโจวโดยกำเนิด หากเกิดอะไรขึ้นกับบริษัทเมล็ดพืชการาจขึ้นมาจริง ผลที่ตามมาจะร้ายแรงเกินคาด และเธอเพียงลำพังไม่สามารถชดใช้ความผิดได้
“เขานัดหนูกับแม่ไว้แล้วที่โรงแรมหยานจิ้งตอนเที่ยงวันนี้ ถ้าว่างก็มาแล้วกัน”
โจวเหว่ยซูกล่าวตอบอย่างเย็นชา
โจวเจียงเฉินพยักหน้าและกล่าวขึ้นต่อว่า
“โอเค พ่อจะรีบเคลียร์งานเดี๋ยวนี้แหละ แล้วกลับไปทำงานตัวเองได้แล้ว อย่าปล่อยให้พวกพนักงานนินทากัน”
โจวเหว่ยซูกรนเสียงดังหึ่งๆ ดูท่าหัวเสียไม่น้อยจากออกไป และทันทีที่เธอเดินออกไป โจวเจียงเฉินก็หันมาถามชางหย่าต่อทันทีว่า เกิดอะไรขึ้นกับลูกสาวของพวกเรา
ชางหย่าตอบไปตามความจริงว่า
“เขาชื่อจ้าวเฉียน เป็นนายใหญ่ผู้อยู่เบื้องหลังท่าเรือเฉียนตงทั้งหมด ดูเหมือนว่าบริษัทท่าเรือเฉียนตงจะเป็นเจ้าอุตสาหกรรมท่าเรือใหญ่ระดับประเทศที่ทั้งแข็งแกร่งและทรงอิทธิพลมาอย่างยาวนานหลายรุ่นอายุขัยแล้ว ถ้าพวกเขาต้องการร่วมมือกับเราจริง ก็น่าสนใจมากเลยนะคะ”
โจวเจียงเฉินพยักหน้าและกล่าวว่า
“เฉียนตง…รู้สึกว่าท่าเรือเฉียนตกกับท่าเรือหัวจะต่อสู้กันมาตั้งหลายยุคหลายสมัยแล้วไม่ใช่เหรอ? การที่เด็กหนุ่มคนนี้มาที่นี่เพื่อร่วมมือกับเรา เห็นได้ชัดเลยว่าจุดประสงค์ของเขาคือการคว่ำท่าเรือหัว อืม…อายุยังไม่เท่าไหร่แต่มีความกล้าหาญขนาดนี้ มีคุณสมบัติความเป็นผู้นำพอสมควร เอ่อจะว่าไป เขารู้จักกับลูกสาวเรามานานแค่ไหนแล้ว?”
“หน้าตาก็ดี กิริยามารยาทเพียบพร้อม แถมชั้นเชิงการโต้คารมอยู่ในระดับยอดเยี่ยม แต่ถ้าจำไม่ผิดพวกเขาสองคนเพิ่งรู้จักกันเมื่อคืนเองนะคะ ยังไงก็ต้องดูๆ กันไปก่อน”
ชางหย่ากล่าวตอบไปตามตรง
พอโจวเจียงเฉินได้ยินแบบนั้นก็เลือดขึ้นหน้าทันที หัวอกผู้ชายด้วยกัน มันพอจะเดาได้อยู่แล้ว ไอ้คำว่า เพิ่งรู้จักกันเมื่อคืนมันหมายถึงอะไร และเขากังวลอย่างยิ่งว่า ทั้งสองจะมีอะไรกันเกินเลยไปแล้วในคืนก่อน
ชางหย่ากลอกตามองบนใส่อีกฝ่ายและกล่าวติเตียนขึ้นว่า
“เลิกคิดไร้สาระเลยนะคุณ ลูกสาวของเราจะเป็นคนแบบนั้นได้ยังไง? เธอไม่มีทางปล่อยตัวปล่อยใจให้กับผู้ชายที่เพิ่งพบกันวันเดียวหรอก”
โจวเจียงเฉินยืนกอดอกปั้นหน้าเตร่งขรึมตอบไปว่า
“มันก็ไม่แน่ ขนาดพวกเราที่เพิ่งเจอหน้ากันสองวันยังได้เสียกันมาแล้วเลย แล้วยี่สิบปีก่อนสังคมยังไม่เปิดกว้างเท่าตอนนั้น ไอ้การเจอกันปุ๊ปเข้าโรงแรมปั๊ปมันก็มีให้เห็นอยู่บ่อยๆ”
ชางหย่างขมวดคิ้วแน่นในทันทีที่ได้ยินแบบนั้น สบถด่ากลับไปทันทีว่า ตาแก่ตัณหากลับพูดอะไรไม่อายปาก
เมื่อโจวเจียงเฉินได้ยินแบบนั้นก็ระเบิดหัวเราะดัง ก่อนจะเข้ามาสวมกอดชางหย่า
“นี่! คุณกำลังทำบ้าอะไรอยู่เนี่ย แล้วงานของคุณล่ะ? รีบปล่อยได้แล้ว เดี๋ยวคนอื่นมาเห็นเข้าจะทำยังไง?”
ชางหย่ารีบกล่าวขึ้นขณะพยายามดิ้นตัวให้หลุดจากอ้อมกอด
แต่ยิ่งเธอทำแบบนี้ มันยิ่งทำให้โจวเจียงเฉินรู้สึกเร้าร้อนใจเข้าไปใหญ่ดั่งวัยหนุ่มอีกครั้ง และอารมณ์พุ่งพล่านเกินจะควบคุม เขาต้องการเผด็จศึกเธอที่นี่เดี๋ยวนี้
เวลา12:30 น. โจวเจียงเฉินและชางหย่าพาลูกสาวของพวกเขาเดินทางไปยังโรงแรมหยานจิ้ง
อย่างไรก็ตามแต่ จ้าวเฉียนได้มาถึงก่อนแล้ว เขายืนรออยู่หน้าทางเข้าโรงแรมและพอเห็นทั้งสามคนมาด้วยกัน เขาก็รีบพาหวางอวี่จุนไปทักทายทันที
จ้าวเฉียนคลี่ยิ้มกว้างเอ่ยทักทายโดยเร็ว
“สวัสดีครับ ผู้จัดการชาง คุณโจว ส่วนคุณ…”
ชางหย่ายิ้มตอบทันทีและกล่าวตอบไปว่า
“อ่อ นี่คือคุณโจวเจียงเฉิน ประธานบริษัทเมล็ดพืชการาจของเรา พอดีเรื่องที่คุณเสนอไปก่อนหน้านี้มันสำคัญมาก เขาก็เลยต้องออกมาพบคุณจ้าวเป็นการส่วนตัวด้วยกัน”
อันที่จริงจ้าวเฉียนทราบดีอยู่แล้วว่า ชายคนนี้คือโจวเจียงเฉิน แต่จำเป็นต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไรเลยเพื่อความแนบเนียน ป้องกันไม่ให้พวกเขาเกิดความสงสัยได้ ถ้ารู้ขึ้นมาว่าคนที่พวกเขากำลังจะร่วมมือด้วยเป็นพวกแผนสูง หลอกล่อเข้าทางลูกสาวของพวกเขาหวังผลประโยชน์ด้านธุรกิจ ก็คงไม่มีใครอยากร่วมมือกับคนแบบนี้จริงไหม?
จ้าวเฉียนยิ้มแย้มกล่าวตอบอย่างรวดเร็วว่า
“โอ้! ที่แท้ก็เป็นประธานโจวนี่เอง รู้สึกเป็นเกียรติมากเลยครับ เชิญเข้าไปคุยกันต่อข้างในดีกว่าครับ”
โจวเจียงเฉินคลี่ยิ้มบางให้เล็กน้อย และเดินตามจ้าวเฉียนเข้าไปในห้องอาหารส่วนตัวที่จองไว้
ทั้งห้าคนนั่งลงโดยพร้อมเพรียงบนโต๊ะอาหาร และเป็นโจวเจียงเฉินที่เอ่ยปากเข้าเรื่องทันควันว่า
“เวลาพักกลางวันมีไม่เยอะเท่าไหร่ เราเข้าเรื่องกันเลยเถอะนะ สิ่งที่คุณเสนอมาไม่เลวเลย แต่ผมมีคำถามสักสองสามข้อจะมาถามคุณ และขอให้คุณตอบตามความจริง”
จ้าวเฉียนพยักหน้าและกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้มว่า
“ได้เลยครับ เชิญประธานโจวถามมาได้เลย ผมจะตอบไปตามความจริง”
“ดี! งั้นพวกคุณออกไปก่อนเถอะ ผมยากคุณกับจ้าวเฉียนคนเดียว”
หวางอวี่จุนเริ่มเหงื่อตก เหลือบมองไปหาจ้าวเฉียนแวบหนึ่งเพราะไม่อยากคาดสายตากับคุณชายจ้าวไปไหน
จ้าวเฉียนหันมาพยักหน้าเชิงว่าให้ทำตามที่โจวเจียงเฉินสั่ง หวางอวี่จุนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องลุกขึ้นจากไปด้วยความจำใจ
ชางหย่ากล่าวขึ้นว่า
“งั้นเชิญพวกคุณสองคนคุยกันเลยค่ะ เหวินซู ไปเข้าห้องน้ำกับแม่หน่อย”
โจวเหว่ยซูคล้ายว่าจะรู้ทันความคิดพ่อของเธอ จึงกล่าวสวนขึ้นว่า
“หนูกับจ้าวเฉียนเป็นแค่เพื่อนกัน อย่าถามอะไรที่ไม่ควรถาม”
คล้อยพูดจบเธอกับแม่ก็เดินจูงมือกันออกไป
จ้าวเฉียนลุกขึ้นไปล็อกประตูห้อง และกลับมานั่งลงที่เดิมไร้ซึ่งท่าทีประหม่า เขาคลี่ยิ้มบางเอ่ยถามขึ้นว่า
“ต้องการจะถามอะไรผมก็ถามมาได้เลยครับ ตอนนี้เหลือแค่พวกเราสองคน”
โจวเจียงเฉินยิงคำถามไปตามตรงทันทีว่า
“ได้ข่าวว่าเพิ่งพบกับลูกสาวของผมเมื่อคืน แล้วจู่ๆ วันนี้เธอก็ออกหน้าขอร้องแทนคุณเฉยเลย ไม่ใช่ว่า…เมื่อคืนคุณสองคนมีสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกันแล้วหรอกนะ?”
จ้าวเฉียนแสร้งตาโตเล็กน้อยด้วยความตกใจก่อนจะสงบลงอย่างรวดเร็ว
ในฐานะสุภาพบุรุษ เมื่อทำจริงก็ควรยอมรับตามตรง
จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบกลับทันทีว่า
“ใช่ครับ แต่ประธานโจวไม่ต้องกังวล ผมสวมถุงยางอนามัยป้องกันเป็นอย่างดี ไม่เกิดปัญหาตามมาแน่นอน”
“แค่กก….!!”
โจวเจียงเฉินที่ยกแก้วกาแฟขึ้นมาจิบถึงกับสำลัก และโมโหอย่างมากกับคำตอบที่ออกมาจากปากจ้าวเฉียน