ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี - ตอนที่ 303 เมียหลวง
จ้าวเฉียนยังคงแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างโจวเหว่ยซูกับชางหย่า จึงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มว่า
“อ้าวคุณโจว! บังเอิญจังนะครับ พวกเราพบกันอีกแล้ว”
โจวเหว่ยซูคลี่ยิ้มอ่อน เดินตรงไปหาชางหย่าและกล่าวขึ้นว่า
“นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอก ฉันตั้งใจมาที่นี่ก็เพื่อจะดูว่าคุณจะเจรจายังไง? แม่ เขาเป็นเพื่อนหนูเอง ถ้าช่วยได้ก็ช่วยเขาเถอะนะ”
จ้าวเฉียนแกล้งทำเป็นตกใจสุดขีด ลุกขึ้นพรวดรีบกล่าวแทรกขึ้นว่า
“อะไรนะ?! ผู้…ผู้จัดการชางคือแม่ของคุณงั้นเหรอ? ผมกำลังจะทักเลยว่า พวกคุณถึงสวยเหมือนกันเลย”
สองแม่ลูกปิดปากขำกันคิกคักทันที
ที่จ้าวเฉียนพูดไปนั้นไม่ใช่ว่าจะอวยกัน แต่ทั้งหมดล้วนเป็นความจริง ทั้งดวงตาคู่หวานและคิ้วทรงคันธนูสวยนั้น พวกเธอทั้งคู่ดูเหมือนกันมากจริงๆ
หลังจากที่ชางหย่าหัวเราะคิกคักเสร็จ เธอก็เริ่มปั้นหน้าจริงจังขึ้นอีกครั้งและกล่าวว่า
“ไม่ได้นะลูก ธุรกิจคือธุรกิจ เรื่องส่วนตัวก็เรื่องส่วนตัว ลูกห้ามเอามาปนกันเด็ดขาด”
แต่โจวเหว่ยซูไม่คิดอย่างนั้น และโต้กลับไปทันทีว่า
“ไม่มีผู้จัดการคนไหนไม่ใช่อำนาจเพื่อการส่วนตัวหรอกแม่ แล้วแม่น่าจะรู้ดีนะว่าตำแหน่งที่แม่ทำอยู่คือตำแหน่งที่กอบโกยผลประโยชน์ได้มากที่สุด ถ้าแม่มีความกล้ากว่านี้หน่อย ปานนี้คงรวยล้นฟ้าแล้ว! ไม่เห็นต้องเที่ยงตรงอะไรขนาดนั้นเลย”
ใช้ตำแหน่งหน้าที่เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว นื่คือสัจธรรมแท้จริงของมนุษย์โดยไม่สามารถปฏิเสธได้ แต่สำหรับบางคนกลับคิดแตกต่างออกไป ตัวอย่างก็เช่นแม่ของโจวเหว่ยซู
ชางหย่าเธอเป็นคนค่อนข้างมีคุณธรรมในระดับหนึ่ง และไม่กล้าทำเรื่องพวกนี้จริงๆ ส่วนหนึ่งก็รู้สึกผิดและอีกส่วนก็กลัวติดคุก
จ้าวเฉียนได้การกล่าวตามน้ำขึ้นทันทีว่า
“ถ้าอย่างนั้น ผมขอเป็นเจ้ามือเลี้ยงอาหารมื้อเที่ยงพวกคุณทั้งสองได้ไหมครับ? พวกเราจะคุยแค่เรื่องส่วนตัวเท่านั้น ไม่เอาเรื่องธุรกิจมาปะปน ดีไหมครับ?”
โจวเหว่ยซูย่อมเต็มใจโดยธรรมชาติ แต่ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับทัศนคติความเห็นของชางหย่าด้วยเช่นกัน
ชางหย่าเห็นว่าลูกสาวของเธอดูสนใจในตัวจ้าวเฉียนไม่น้อย
และอีกอย่างเธอเองก็ค่อนข้างถูกใจจ้าวเฉียน แถมเขายังเป็นนายใหญ่ผู้อยู่เบื้องหลังบริษัทท่าเรือเฉียนตงอีก
คงจะเป็นเรื่องดีถ้าทั้งสองลงเอยด้วยกันจริงๆ
ชางหย่าพยักหน้าตอบตกลงตามคำเชิญจองจ้าวเฉียนทันที
จ้าวเฉียนกล่าวตอบทันทีอย่างมีความสุขว่า
“ดีเลยครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวไปเคลียร์ธุระส่วนตัวก่อน เจอกันตอนเที่ยงนะครับ ผมจะรออยู่ที่โรงแรมหยานจิ้ง”
ชางหย่าและโจวเหว่ยซูต่างพยักหน้ายิ้มหวานตอบ
จากนั้นจ้าวเฉียนกับหวังอวี่จุนก็ขอตัวและจากออกไปทันที
พอไม่มีคนนอกเข้ามาข้องเกี่ยว สองแม่ลูกก็สามารถเปิดใจพูดกันตามตรงได้
ชางหย่าถามไปตามตรงเลยว่า ความสัมพันธ์ระหว่างโจวเหว่ยซูกับจ้าวเฉียนมันเป็นยังไงกันแน่
โจวเหว่ยซูไม่กล้าบอกความจริงไป เธอจึงโกหกไปว่า
“ไม่มีอะไรหรอกแม่ เขาเป็นเพื่อนเก่าสมัยเรียนเฉยๆ”
ในฐานะผู้เป็นแม่ย่อมรู้จักลูกสาวตัวเองเป็นอย่างดี
พอชางหย่าเห็นว่าลูกสาวตัวเองโกหก เธอก็มั่นใจได้ทันที ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน ดูเหมือนว่าเธอจำต้องออกไปลองทานมื้อเที่ยงกับอีกฝ่ายดู
ในเวลาเดียวกัน เสียงโวยวายก็ดังลั่นจากนอกห้อง
เมื่อได้ยินสุ้มเสียงดังกล่าว สีหน้าของสองแม่ลูกก็ดูไม่ดีเท่าที่ควร เพราะพวกเธอสามารถคาดเดาได้ทันทีว่าคนที่กำลังมาหาไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก เมียหลวงของโจวเจียงเฉินที่กำลังมาหาเรื่องพวกเธออีกแล้ว
ไม่กี่วินาทีถัดมา ประตูห้องทำงานของชางหย่าก็ถูกเปิดดังปัง
หวังอาเหม่ย เมียหลวงของโจวเจียงเฉินเดินเข้ามาพร้อมกับโจวเหว่ยเฉินลูกชายของเธอ
หวังอาเหม่ยตะโกนลั่นทันทีทันใด
“ไม่ชู้กับลูกชู้มันอยู่นี่เอง! นังแพศยา อายุขนาดนี้ยังแต่งตัวสวยไปทำไม? ไม่อายคนอื่นเลยรึไง? อ่อ…หรือว่าแกคิดจะร่านใส่ชายหนุ่มพวกนั้นที่เพิ่งเดินออกไปใช่ไหม? ทำไมหน้าด้านแบบนี้ล่ะ? ไปแย่งผัวชาวบ้านมายังไม่พอ จะเอาเพิ่มงั้นเหรอ? บริษัทของพวกเราดูสกปรกขึ้นเยอะ หลังจากที่พวกแกสองแม่ลูกเข้ามาเหยียบย้ำ! ฉันอยากรู้จริงๆว่าพวกแกจะหน้าด้านหน้าทนแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่!”
ชางหย่าถือว่าเป็นคนมาทีหลัง จึงรู้สึกละอายใจอย่างมากทุกครั้งที่โดนด่าแบบนี้ และเธอไม่กล้าทำอะไรหวังอาเหม่ยเลยสักครั้ง
แต่โจวเหว่ยซูกลับไม่คิดแบบนั้น เธอทนไม่ได้หรอกที่ต้องให้คนอื่นมายืนด่าแม่ตัวเองแบบนี้
“หุบปากของแกไป! ถ้ายังกล้าเห่าใส่แม่ฉันอีก ฉันจะฉีกปากแก!”
โจวเหว่ยเฉินพุ่งออกมาข้างหน้าทันที ชี้นิ้วไปที่โจวเหว่ยซูโดยไม่พูดพล่ำทำเพลง เขาตวาดด่าขึ้นว่า
“มึงนั้นแหละหุบปาก! กล้าขึ้นเสียงกับแม่ของกูเหรอ! สันดานพวกมึงสองแม่ลูกก็ไม่ต่างกันหรอก! กูรู้ว่าพวกมึงเข้ามาทำงานที่นี่เพราะต้องการอะไร คิดจะหุบสมบัติของพ่อกูไว้คนเดียวใช่ไหม! อย่าคิดกูไม่รู้ ไอ้พวกหน้าด้าน!”
โจวเหว่ยซูตอนนี้โกรธจริงๆแล้ว เธอตรงเข้าไปผ่ายมือขึ้นตบหน้าโจวเหว่ยเฉินสุดแรงเกิด
ทว่าโจวเหว่ยเฉินก็ไม่ใช่พวกคุณชายอ่อนแอดีแต่ปาก เขาคว้าข้อมือของเธอไว้ได้ทันและกระชับกำปั้นขวาซัดเข้าไปที่ท้องน้อยเธออย่างจัง
ทันใดนั้นสุ้มเสียงของโจวเจียงเฉินก็ดังขึ้น
“หยุด! ฉันเห็นหมดแล้ว!”
โจวเหว่ยเฉิน ลูกชายคนโตผู้นี้หวาดกลัวโจวเจียงเฉินมากที่สุดแล้ว
ซึ่งโจวเจียงเฉินเองก็เป็นคนฉลาดมาก เขาเป็นคนดูแลเงินทั้งหมดในบ้าน
ตราบใดที่เงินอยู่ในมือของเขา ทั้งภรรยาและลูกชายของเขาย่อมต้องเชื่อฟังแต่โดยดี และไม่กล้าต่อปากต่อคำเถียงเขา
โจวเหว่ยเฉินรีบปล่อยมือโจวเหว่ยซู และวิ่งไปขอโทษพ่อทันที
“พ่ออย่าโกรธผมเลยนะ ทั้งหมดเป็นเพราะนังนี่จะตบหน้าผมก่อน ผมเลยจำเป็นต้องป้องกันตัว”
โจวเจียงเฉินกรนเสียงเย็น ตำหนิลูกชายตัวเองไปว่า
“แล้วเธอจะตบหน้าแกเพราะอะไรล่ะ? ถ้าไม่ใช่เพราะคำพูดคำจาหมาๆของแก! ไม่ต้องกังวลหรอกว่าพวกเขาจะหลอกเอาสมบัติอะไร พวกเธอสองแม่ลูกอุทิศตัวทำงานให้บริษัทเราอย่างเที่ยงตรง ไม่ใช่เหมือนแกกับแม่ของแกที่วันๆเองแต่สร้างปัญหา! รีบขอโทษพวกเธอทั้งสองซะ!”
ถึงโจวเจียงเฉินจะกล่าวแบบนั้นออกไปก็จริง แต่เขาก็ไม่กล้ายอมรับว่าโจวเหว่ยซูเป็นลูกสาวได้อย่างเต็มปาก เพราะกล่าวว่าเรื่องนี้จะโดนตกเป็นเป้าของสื่อ
ส่วนพวกคนในบริษัทก็เมิ่นเฉยไปกับเรื่องอะไรพวกนี้ไปแล้ว เพราะพวกเขารู้ว่านี่เป็นศึกระหว่างเมียน้อยกับเมียหลวง จะมีใครกล้าดีเข้าใจยุ่ง?
โจวเหว่ยเฉินสุภาพช่วงนี้ไม่ค่อยจะดี พอโมโหขึ้นแบบนี้ยิ่งทำให้อากาศทรุกลงเหมือนแมวป่วย
“ป้าชาง ผมขอโทษ คุณโจว…ขอโทษ”
และต่อหน้าโจวเจียงเฉินแบบนี้ ชางหย่ามักจะทำตัวเป็นคุณแม่ผู้มากน้ำใจและใจกว้าง เธอจะพยายามทำตัวให้เกียรติทุกคนเสมอ
เพราะเธอเป็นแบบนี้มาโดยตลอด จึงทำให้กุมหัวใจของโจวเจียงเฉินได้อยู่หมัด
แผนการของชางหย่าซ่อนคมไว้เกินหยั่งลึก เธอตระหนักดีว่าตราบใดที่เธอสามารถชนะใจของโจวเจียงเฉินได้ ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของเธอและลูกสาวของเธอเลย เนื่องด้วยหวังอาเหม่ยไม่มีเงินติดตัวมากมายอะไร เธอมาที่นี่ก็ทำได้แค่โวยวาย ด่าชางหย่าอยู่คำสองคำ และไม่มีพิศสงอะไรไปมากกว่านั้น
ในกรณีที่โจวเจียงเฉินเกิดโมโหขึ้นมา จะกลับกลายมาเป็นเธอกับลูกชายเสียเองที่โดนตำหนิ
ท้ายที่สุดนี้แม้ว่าโจวเจียงเฉินจะตายไป และทั้งสองจะไม่ได้สืบทอดสมบัติทั้งหมด แต่สิ่งที่ชางหย่ากับโจวเหว่ยซูได้ไปคือความรู้ ความสามารถและประสบการณ์ ซึ่งนี้สามารถนำไปต่อยอดได้หลังจากที่เหลือกันสองคน ถ้าโชคดีอาจจะได้เงินติดตัวไว้ไปตั้งหลัก ไม่จำเป็นต้องไปแก่งแย่งสมบัติที่เหลือทิ้งไว้ให้วุ่นวายชีวิต
ดังนั้นแล้วในเวลานี้ ชางหย่าจึงต้องเอาใจทำดีในสายตาของโจวเจียงเฉินให้มากเข้าไว้ เผื่อจะส้มล่นได้สมบัติเล็กๆน้อยๆติดตัวก่อนจากไป
โจวเจียงเฉินเหลือบมองไปที่หวังอาเหม่ยกด้วยสีหน้ามืดมนยิ่ง และกล่าวว่า
“ชอบสร้างปัญหานักใช่ไหม? จำไว้ซะถ้ายังทำตัวแบบนี้ต่อไป ในอนาคตพวกแกสองแม่ลูกจะไม่ได้เงินจากฉันเลยสักสตางค์เดียว! หัดรู้จักปรับปรุงตัวเข้ากันกับพวกเธอได้แล้ว! ตอนนี้ก็มีชีวิตสุขสบายกันดี ทำไมถึงต้องแกว่งเท้าหาเสี้ยนเล่นด้วยจริงไหม?”
หวังอาเหม่ยพ่นลมหายใจเย็นใส่เฮือกใหญ่ และหันหลังเดินจากออกไปโดยตรง
โจวเหว่ยเฉินไม่กล้าอยู่ที่นี่ต่อไปแล้วเช่นกัน จึงรีบกล่าวกับพ่อเสียงออดเสียงอ่อนอย่างรวดเร็วว่า
“พ่อ ผมจะไม่สร้างปัญหาอีกแล้ว”
โจวเจียงเฉินกล่าวตอบไปว่า
“แกรีบเรียนให้มันจบๆสักที แล้วพ่อจะพาแกเข้ามาทำงานที่นี่ ไม่ใช่วันๆเอาแต่เที่ยวเล่น เข้าใจไหม!”
โจวเหว่ยซูรีบเร่งพนักหน้าตอบกลับไปว่า
“ครับพ่อ ผมเข้าใจ ผมจะไม่สร้างปัญหาให้ป้าชางอีกแล้วในอนคต แล้วจะพยายามไม่ให้แม่มาหาเรื่องคุณป้าด้วย”
โจวเจียงเฉินพยักหน้าด้วยความพึงพอใจและกล่าวต่อว่า
“ดีมากลูกรัก ตั้งใจเรียนให้หนัก ตำแหน่งของพ่อยังต้องรอส่งต่อให้ลูก อย่าทำให้ผิดหวัง”
โจวเหว่ยเฉินพยักหน้าด้วยความหนักแน่น กลับมามีเรี่ยวแรงอีกครั้ง แล้วรีบหันหลังกลับวิ่งตามแม่ออกไปทันที
ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี ผลสุดท้ายเรื่องราวมักจะจบอีหรอบนี้เสมอ
เพราะต้องบอกเลยว่า การที่หวังอาเหม่ยมี‘ลูกชาย’ให้กับตระกูลโจวถือเป็นเรื่องโชคดีจริงๆ