ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี - ตอนที่ 251 ผมจะบอกอะไรให้นะ
ตอนที่251 ผมจะบอกอะไรให้นะ
คนขับรถเสี่ยวจางรีบมองหาจางต้าเฉิงทันที เดินหารอบรถก็ไม่เจอไม่แม้แต่พบใครสักคน ในเวลานี้เขาตระหนักชัดแล้วว่า นี่ต้องมีอะไรบางอย่างไม่ปกติแล้ว จึงรับโทรแจ้งตำรวจไป
ปัจจุบัน จางต้าเฉินถูกลักพาตัวมายังสถานที่ลับไม่ใกล้ไม่ไกลจากบ้านพักของเขา พอเขาได้สติตื่นขึ้นมา ก็พบว่าตนเองกำลังโดนผ้าอุดปาก ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากพยายามร้องขอความเมตตา แถมบริเวณดวงตายังถูกผ้าปิดไว้เช่นกัน จึงไม่อาจรู้ได้เลยว่าใครเป็นคนลักพาตัวมา
“คุณจ้าวสั่งให้เรามาเล่นกับคุณสักคืน จากนี้ต่อไปหวังว่าจะทำตัวเชื่องขึ้นนะครับ อย่าคิดว่ามีเงินนิดๆหน่อยๆในกระเป๋าแล้วนะกร่างกับใครก็ได้ บางคนเขาไม่ใช่สิ่งที่คุณจะสามารถไปยั่วยุเขาได้ แต่บางคนเหล่านั้นสามารถบดขยี้คุณได้ตามต้องการ”
เพียงจางต้าเฉินได้ยินประโยคนี้เข้าไป ทันใดนั้นเขาพลันรู้สึกเจ็บแปล๊บที่ต้นขาอย่างรุนแรง ความทรมานที่แล่นโฉบผ่านเข้ามาในสมองมันเกินกว่าจะบรรยายได้แล้ว
“อ่ะ อ่ะ อ่ะ….”
จางต้าเฉินร้องคร่ำครวญออกมาเสียงดังฮึดฮัดเพราะปากถูกยัดผ้าไม่ให้พูด ซึ่งฟังดูแล้วช่างน่าเวทนาจริงๆ เพียงได้ฟังเสียงร้องแค่นี้ก็ย่อมรู้ได้ทันทีว่า เขากำลังเจ็บปวดทรมานขนาดไหน
คนที่ลักพาตัวเขามาทั้งเลือดเย็นและโหดเหี้ยม ซึ่งอีกฝ่ายไม่ได้แทงแค่ครั้งเดียว ตอนนี้จางต้าเฉินรู้สึกราวกับว่า ขาตัวเองเละเป็นเนื้อสับ ถูกกระหน่พแทงต้นขาไม่รู้แล้วกี่แผล จากความเจ็บปวดกลายเป็นชินชาจนไม่รู้สึกอีกต่อไป
ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่จางต้าเฉินถูกทิ้งร้างทั้งแบบนั้น ตำรวจก็มาพบจางต้าเฉินที่นอนสลบอยู่กับพื้นท่ามกลางกองเลือดสด และส่งตัวเขาไปโรงพยาบาลทันที
“เป็นจ้าวเฉียนที่จ้างคนมาทำร้ายผม ทั้งหมดเป็นฝีมือของจ้าวเฉียน! คุณตำรวจต้องจับมัน! ต้องจับมันเข้าคุกให้ได้! ขา…ขาของผมมันไม่มีความรู้สึกแล้ว นี่…นี่ผมจะพิการรึเปล่า…”
จางต้าเฉินกล่าวโทษจ้าวเฉียนไม่หยุดตลอดทาง พยายามบอกให้ตำรวจนำทีมไปจับจ้าวเฉียนโดยเร็วที่สุด และตะโกนสั่งคนขับให้รีบไปส่งตนที่โรงพยาบาล ถ้าช้าไปกว่านี้มีหวังเขาพิการจริงๆแน่นอน
ประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อท่ ทางตำรวจก็เดินทางไปเข้าพบจ้าวเฉียน และเชิญตัวไปสอบสวนต่อที่โรงพัก
เจ้าหน้าที่ตำรวจที่มารับผิดชอบในการสอบสวนครั้งนี้มีสองนายคือซานซูกับหยางซิง
จ้าวเฉียนเอ่ยถามด้วยความงุนงงว่า
“คุณตำรวจครับ ทำไมจู่ๆถึงพาผมมาที่นี่? จะบอกว่าคุณเชื่อคำใส่ร้ายของใครก็ไม่รู้ หาว่าผมเป็นคนจ้างวานให้ไปทำร้ายอีกฝ่าย? แล้วไหนหลักฐานเหรอครับ?”
ซานซูกล่าวตอบทันที
“จางต้าเฉินครับคือพยานบุคคล”
จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะลั่นทันทีและกล่าวว่า
“ถ้าอย่างนั้น หากผมวิ่งชนกำแพงเล่นให้บาดเจ็บ แล้วไปแจ้งความโดยบอกว่าจางต้าเฉินเป็นคนบังคับผมให้ทำ แสดงว่าผมก็คือพยานบุคคล สามารถเอาผิดอีกฝ่ายได้ทันที?”
ซานซูและหยางซิงมองหน้ากันไปมาโดยไม่เอ่ยกล่าวอันใด
จ้าวเฉียนยิ้มและพูดต่อว่า
“คุณตำรวจครับ ผมยอมรับตามตรงนะว่า ระหว่างผมกับเขามีเรื่องขัดแย้งกันจริง แต่นั้นก็เป็นเรื่องเมื่อตอนกลางวัน ซึ่งมันก็จบไปแล้ว พวกเราทั้งคู่ได้แก้ไขข้อข้องใจในจุดนั้นไปหมดเรียบร้อย ไม่อย่างนั้นเมื่อตอนบ่าย ผมคงไม่สั่งให้ทางเขตปล่อยตัวเขาออกมาเฉยๆหรอกครับจริงไหม?”
ซานซูและหยางซิงต่างรู้สึกเหมือนกันว่า คำพูดของจ้าวเฉียนมันค่อนข้างสมเหตุสมผล แต่อย่างไร ขาของจางต้าเฉินโดนทำร้ายอย่างหนัก และอาจถึงขั้นพิการได้เลย ซึ่งจะปิดคดีทั้งแบบนี้ก็คงไม่ได้ ดังนั้นทางตำรวจจำเป็นต้องสอบสวนให้ถึงที่สุด และจ้าวเฉียนที่เพิ่งมีปมความขัดแย้งกับอีกฝ่ายสดๆร้อนๆ ย่อมถูกมองเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งโดยธรรมชาติ
ซานซูและหยางซิงพูดไม่ออกบอกไม่ถูกเช่นกัน เหตุผลที่จ้าวเฉียนให้มาเมื่อคิดตามแล้วมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่รู้แล้วว่า ควรถามอะไรต่อดี
พอเห็นทั้งคู่นั่งเงียบอยู่นาน จ้าวเฉียนจึงถอนหายใจเล็กน้อยและพูดต่อว่า
“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวกลับก่อนได้ไหมครับ ถ้าคุณตำรวจมีหลักฐานอะไรเพิ่มเติมค่อยมาเรียกตัวผมไปใหม่ก็ได้ ผมจะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีครับ ไม่หนีไปไหนแน่นอน แต่ตอนนี้มันดึกมากแล้ว ผมอยากกลับไปนอน ได้ไหมครับคุณตำรวจ?”
ตามกฎระเบียบแล้ว ทางตำรวจมีสิทธิ์กุมตัวผู้ต้องหาได้นานสุด48ชั่วโมง อย่างไรเสีย พวกเขาคิดว่านี่ไม่ใช่สิ่งจำเป็นอะไรเลย หรือถ้าให้พูดกันตามตรงคือ พวกเขาทั้งคู่ไม่กล้ากุมตัวจ้าวเฉียน
ซานซูพยักหน้าตอบไปว่า
“งั้นคุณกลับไปก่อนเถอะครับ แต่ช่วงนี้คุณไม่สามารถออกนอกเมืองตงไห่ได้ หากยังไม่ได้รับอนุญาตจากทางเรา มิฉะนั้นทางเราจะขอใช้สิทธิ์กักกุมตัวคุณตามกฎหมาย”
จ้าวเฉียนพยักหน้าและเอ่ยปากสัญญากันพวกเขาทันที
“ไม่ต้องห่วงครับผมไม่หนีไปไหนแน่นอน แต่ยังไงพวกคุณก็รีบสืบสวนให้ได้ข้อสรุปโดยเร็วนะครับ อีกไม่กี่วันมันก็ถึงเทศกาลไห้วพระจันทร์แล้ว ผมสัญญากับพ่อแม่ไว้แล้วด้วยว่า จะเดินทางกลับบ้านเกิดที่หยางจิ้งเพื่อไปฉลองด้วยกัน ในวันเทศกาลแบบนี้หวังว่าพวกคุณจะไม่ห้ามผมนะครับ”
“ตกลงครับ พวกเราจะพยายามปิดคดีนี้ให้เร็วที่สุด เซ็นชื่อตรงนี้ก่อนนะครับถึงจะสามารถกลับไปได้”
จ้าวเฉียนเซ็นชื่อลงในสมุดบันทึกและจากออกไปทันที
หลังออกมาจากโรงพัก จ้าวเฉียนก็หยิบมือถือโทรหาจางต้าเฉินโดยตรง และยิ้มถามขึ้นว่า
“คุณจาง นี่คุณถูกทำร้ายเหรอครับ? เกิดอะไรขึ้น? ใครมันกล้าทำคุณถึงขนาดนี้!”
จางต้าเฉินที่ตอนนี้นอนโทรมราวกับตายไปครึ่งตัวแล้ว ได้ฟังแบบนั้นก็ตะคอกสวนกลับไปทันที
“แก! นี่มันมากเกินไปแล้ว! อย่างมากที่สุด พวกเราก็แค่ขัดแย้งทางด้านธุรกิจ แต่แกกลับจ้างวานคนมาลอบทำร้ายฉันจริงๆ!”
จางต้าเฉินแหกปากตะโกนเสียงดังลั่น หวังให้ตำรวจที่เฝ้าอยู่นอกห้องผู้ป่วยได้ยิน
แต่จ้าวเฉียนกลับไม่รู้สึกกลัวเลยแม้สักนิด ขนาดตำรวจที่พาตัวเขามาสอบสวนยังทำอะไรไม่ได้ แล้วทำไมต้องกลัวตำรวจที่อยู่ปลายสวยอีกฝ่ายด้วย?
ไม่เพียงแค่ไม่กลัว แต่จ้าวเฉียนยังกล่าวแซะอย่างเย้ยหยันกลับไปว่า
“บอกว่าอย่างมากก็แค่ขัดแย้งกันด้านธุรกิจ? แล้วทำไมเมื่อตอนบ่ายคุณยังขู่จะฆ่าผมอยู่เลย? นี่ถ่มน้ำลายรดหน้าตัวเองรึเปล่าครับเนี่ย? กรรมสนองแล้วล่ะครับ คิดร้ายกับคนอื่นไว้ สุดท้ายผลกลับตกที่ตัวเอง”
จางต้าเฉินโดนสวนกลับไปแบบนี้ถึงกับไปไม่เป็น กล่าวตอบแค่ว่า
“ฉันก็แค่ขู่เฉยๆไม่ได้ทำจริง! ไม่ใช่อย่างแกที่เล่นสกปรกลอบกัดคนอื่น! ถึงขั้นยอมจ่ายเงินจ้างพวกอันตพานมาดักทำร้าย! น่าสมเพช!”
จ้าวเฉียนไม่ได้สนใจสิ่งที่อีกฝ่ายพูดเลย
“ฮ่าฮ่า…อย่าโกรธไปเลยครับ เดี๋ยวความดันขึ้นจะแย่เอา แค่นี้นะครับ ผมกำลังเปิดขวดไวน์ฉลองพอดี ฮ่าฮ่าๆๆ…”
จ้าวเฉียนกล่าวเยาะทิ้งท้ายพร้อมเสียงหัวเราะลากยาว ก่อนจะกดวางสายไป
จางต้าเฉินโกรธจัดจนขาดสติ ขว้างโทรศัพท์ในมือแตกกระเด็นกระดอน
“แก! ไอ้บัดซบจ้าวเฉียน! มันกล้าโทรมาหยามหน้ากูจริงๆ! ถ้าชาตินี้ไม่ได้แก้แค้นแก กูก็ไม่ขอเป็นคนแล้ว!”
จางเซียวหลง ลูกชายของจางต้าเฉินก็กำลังเฝ้าอาการคุณพ่ออยู่ข้างเตียงเช่นกัน ชายหนุ่มคนนี้มีนิสัยหยิ่งผยองและเกเร โดยปกติทั่วไปแวดวงเพื่อนระดับไฮโซมักจะรู้กัน
ขาของคุณพ่ออาจจะต้องตัดทิ้ง ถ้าไม่ล้างแค้นให้คนเป็นพ่อ ในฐานะคนเป็นลูกยังมีหน้าอยู่ต่อไปได้ยังไง?
จางเซียวหลงหาข้ออ้างขอตัวออกไปข้างนอก จากนั้นก็รีบโทรหาเพื่อนคนอื่นๆให้นัดออกมารวมตัวทันที
ในวงวานของบรรดาเพื่อนพ้องระดับไฮโซไม่ค่อยมีอะไรซับซ้อน แค่ชวนออกมากินดื่มสักมื้อจะให้ช่วยอะไรย่อมคุยกันง่าย
แต่บังเอิญเหลือเกินที่พวกเขานัดเที่ยวกันที่ไหนไม่นัด ดันนัดที่บาร์ของลูกน้องหยางหู่
ระหว่างปาร์ตี้กัน จางเซียวหลงก็เริ่มเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับพ่อของตนให้บรรดาเพื่อนฟัง เพื่อร่วมหัวช่วยกันแก้แค้นจ้าวเฉียน
ไม่นานหลังจากนั้น หยางหู่ก็รู้เรื่องที่เกิดขึ้นจึงโทรไปรายงานสถานการณ์ให้จ้าวเฉียนฟังและเอ่ยถามขึ้นว่า
“คุณชายจ้าว จะให้ผมเก็บเด็กพวกนี้เลยไหมครับ?”
จ้าวเฉียนไม่อยากขยายวงศัตรูไปมากกว่านี้แล้ว แค่อยากต้องการแก้ไขปัญญาที่ตัวต้นเหตุ ดังนั้นเขาจึงกล่าวกับหยางหู่ไปว่า แค่ส่งคนไปสั่งสอนจางเซียวหลงก็พอ
ขณะที่จางเซียวหลงกำลังออกสเต็ปเต้นกับเพื่อนๆของเขา ทันรใดนั้นก็มีบางคน เดินตรงเข้ามากระแทกร่างจนล้ม เนื่องด้วยฤทธิ์แอลกอฮอลส่วนหนึ่ง เขาจึงชี้หน้าด่าขึ้นทันทีว่า
“ไอ้เวร! มึงตาบอดรึไงวะ!”
จางเซียวหลงไม่ใช่พวกคนขี้กลัวกับเรื่องอะไรแบบนี้ ถ้าเป็นฝ่ายตนที่โดนเอาเปรียบ มีหรือที่เขาจะยอมปล่อยไปทั้งแบบนี้?
ทันทีใดนั้นเอง บรรดาเพื่อนพ้องของจางเซียวหลงก็ตรงเข้ามาล้อมกรอบชายคนดังกล่าวโดยตรง
ทว่าชายคนนั้นกลับไม่กลัวแม้แต่น้อย แถมยังเอ่ยปากเตือนด้วยท่าทีแสนเย้ยหยันว่า
“หมาหมู่งั้นเหรอ? ผมจะบอกอะไรให้นะ ต่อให้มีหมาจรแบบพวกคุณอีกสักร้อยตัว มันก็ไม่คนามือผมอยู่ดี เข้ามาพร้อมกันให้ผม ถือซะว่าผมต่อให้แล้วกัน!”
โดนดูถูกขนาดนี้ไม่ต่างอะไรกับโดนตีนลูบหน้า เขาเป็นถึงลูกชายของจางต้าเฉิน ถ้ายอมทนรับความอัปยศแบบนี้ แล้วเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?