ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี - ตอนที่ 2 บริษัทนี้ ฉันขอ
ตอนที่2 บริษัทนี้ ฉันขอ
จ้าวเฉียนนั่งแท็กซี่กลับบ้านไปเอาสิ่งของที่จำเป็นและกลับไปยังบริษัท ระหว่างทางเขายังส่งอีเมลไปถึงเจ้านายที่บริษัทฟางนี่
กลับไปถึงที่บริษัท ทันทีที่ผลักประตูสำนักงานเปิดออกไป เขาก็เห็นจางหยวนกำลังเก็บข้าวเก็บของที่โต๊ะทำงานของเขา
“ใครสั่งให้นายมาย้ายข้าวของบนโต๊ะฉัน?”
จ้าวเฉียนตะโกนเสียงดังลั่นด้วยความโกรธจัด
เจวียงหยวนเหลือบมองกลับมาเล็กน้อย พร้อมกล่าวตอบด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าว่า
“ผู้จัดการหวังวานให้ฉันช่วยเก็บของบนโต๊ะนาย เพราะนายถูกไล่ออกแล้ว!”
“ถูกไล่ออก? ฮ่าฮ่าๆ…ไม่มีบริษัทไหนในโลกไล่ฉันออกได้!”
ทันทีที่สิ้นเสียงของจ้าวเฉียน ก็เป็นเสียงของหวังเฉียงที่ดังขึ้นต่อเนื่องในทันที
“โอ้! โวยวายเสียงดังอะไรขนาดนั้น! นายนี่มันขี้โม้ขึ้นมากจริงๆหลังจากที่ออกไปข้างนอกมา!”
จ้าวเฉียนเหลือบมองหวังเฉียงปรายหางตาเล็กน้อย และถามขึ้นว่า
“ประธานฟางเป็นประธานของที่นี่ แล้วนายมีสิทธิ์อะไรมาไล่ฉันได้?”
“ก็แผนงานที่นายมอบให้กับบริษัทซิงหยวน ทำให้พวกเขาไม่พอใจอย่างมากและตอนนี้ก็ได้ยกเลิกความร่วมมือกับเราไปแล้ว สถานการณ์การเงินในปัจจุบันของบริษัทตอนนี้ก็ไม่ดีเท่าที่ควร ประธานฟางคาดหวังกับผลกำไรที่ได้จากการร่วมมือครั้งนี้มาก แต่นายก็ทำให้เธอผิดหวัง ตอนนี้ไม่เพียงแค่โกรธเป็นเฟือนเป็นไฟ แต่ยังโทรศัพท์หาฉัน ให้ไล่นายออกไปทันที!”
“เป็นไปไม่ได้ ฉันแก้ไขแผนงานตามคำขอของอีกฝ่ายควบถ้วนสมบูรณ์ดี พวกเขาจะไม่พอใจได้ยังไง? แล้วถึงทางนั้นจะไม่พอใจ พวกเขาก็ควรติดต่อมาทางฉันก่อน แล้วทำไมจู่ๆก็มายกเลิกกลางคันแบบนี้?”
หลังจากที่กล่าวไป หวังเฉียงก็เหล่มองจ้าวเฉียนอย่างดูถูกดูแคลน
จ้าวฉินยิ้มตอบและเดินตรงเข้าไปในสำนักงานของบริษัทฟางนี่โดยตรง
“ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!…”
จ้าวเฉียนเคาะประตูห้องทำงานของประธานฟาง
“เข้ามา!”
เขาเปิดประตูและเดินเข้าไปทันที
เมื่อฟางนี่เห็นว่าอีกฝ่ายคือจ้าวเฉียน สีหน้าของเธอก็พลันมืดตกลงทันที
“แกยังมีหน้ามาที่นี่อีกเหรอ? แกโดนไล่ออกไปแล้ว นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป แกไม่ใช่พนักงานของบริษัทแห่งนี้ ไสหัวไปซะ!”
หากมองท่าทางการแสดงออกของฟางนี่ในตอนนี้ เธอดูโกรธอย่างมากและความผิดครั้งนี้ที่ทำให้ชื่อเสียงบริษัทถูกทำลายไป ก็เป็นเธอที่รับไปเต็มๆทั้งๆที่เป็นความผิดของจ้าวเฉียน และทุกคนจะยิ่งทวีความโกรธไปมากกว่านี่หากตำแหน่งของเธอถูกคนอื่นแทนที่
แต่จ้าวเฉียนกลับรวนหัวเราะเสียงเบา ตอบกลับไปว่า
“ประธานฟาง ที่ขับไล่ไสส่งฉันไปขนาดนี้ คงไม่ต้องการเงินสามล้านแล้วมั้ง?”
ดวงตาคู่นั้นของฟางนี่สว่างไสวขึ้นทันควัน เธอถามกลับไปทันที
“เธอรู้เรื่องคู่ค้ารายใหญ่ที่จะมาลงทุน… ไม่สิ…เธอรู้เรื่องเงินสามล้านได้ยังไง?”
จ้าวเฉียนยิ้มกว้างตอบต่อไปว่า
“เพราะผมนี่แหละที่เป็นคนส่งอีเมลไปหา ผมคือคู่ค้ารายใหญ่ที่ต้องการลงทุนกับบริษัทแห่งนี้”
ฟานนี่เบิกตาโตแทบถล่นออกมา สืบเนื่องความประหลาดใจนี้ทำให้เธอแทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่จ้าวฉินพูดไป
“ไม่จริง…เธอไม่มีแม้แต่เงินไปกินข้าวเย็นกับคนอื่นด้วยซ้ำ ที่สำคัญโทรศัพท์พังๆของเธอยังไม่มีเงินซื้อเปลี่ยน! ฮ่าๆ…จะบอกว่าเธอมีเงินสามล้านมาร่วมลงทุนกับเรา? ฮ่าฮ่าฮ่าๆๆ….”
ทำทุกวิถีทางเพื่อขออยู่ในบริษัทกินเงินเดือนต่อแ ถึงขั้นงัดเหตุผลไร้ยางอายแบบนี้ออกมา?
“เธอนี่มันไร้สาระจริงๆ ไสหัวออกไปได้แล้ว ใครจะไปเชื่อว่ายากจกอย่างเธอมีเงินสามล้าน ฮ่าๆๆ…”
“โอ้? ลงทุนด้วยไม่ได้เหรอ? เป็นคนมีเงินจะใช้ชีวิตประหยัดไม่ได้รึไง?”
ฟางนี่ระเบิดหัวเราะจนท้องแข็งไปหมดแล้ว จากนั้นไม่นานเธอก็พยายามกลั้นเสียงขำ เอ่ยปากถามจ้าวเฉียนว่ามีหลักฐานอะไรหรือไม่ ที่พิสูจน์ได้ว่าเขามีเงินสามล้านจริงๆ
จ้าวฉินไม่สนใจคำดูถูกของอีกฝ่ายเลยสักนิด และโยนเช็คใบหนึ่งลงบนโต๊ะทำงานของเธอ
“นี่คือเงินสามล้านตามที่ระบุเอาไว้ ผมต้องการหุ้นส่วนของบริษัทแห่งนี้จำนวน51% ถ้าเห็นด้วยก็รับเช็คใบนี้ไปขึ้นเงินได้เลย แต่ถ้าไม่ผมคงตัดสินใจไปหาบริษัทอื่นที่ดีกว่านี้!”
ฟางนี่กลืนน้ำลายอึกใหญ่และเอ่ยปากถามจ้าวเฉียนไปว่า
“นี่เธอเขียนเช็คขึ้นมาเองรึเปล่า? รู้ไหมว่าการทำแบบนี้มันผิดกฎหมาย!”
จ้าวเฉียนกรอกตาไปมาอย่าเบื่อหน่ายและพูดไปว่า
“หากเป็นเช็คปลอม คุณก็แค่โทรไปตรวจสอบกับธนาคาร ผมไม่ได้มีเวลาว่างพอมานั่งเขียนเช็คปลอมมาหลอกคุณ!”
ฟางนี่ที่ได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกว่า วิธีนี้สมเหตุสมผลที่สุดแล้ว หลังจากวางหูจากธนาคารเสร็จ เธอก็ไม่พูดพล่ำทำเพลง รีบลุกขึ้นยืนขึ้นด้วยรอยยิ้ม และเชิญให้จ้าวเฉียนย้ายไปนั่งที่ของเธอแทน
คนรวยกว่าคือผู้ที่เหนือกว่าเสมอ จากที่ดูเย็นชาในตอนแรก ขณะนี้ใบหน้าของเธอยิ้มแย้มแจ่มใส รอคุกเข่าเลียแข้งเลียขาจ้าวเฉียนแทบไม่ไหว
“ประธานฟาง นี่ดูจะไม่เหมาะสมเกินไปหน่อยเหรอ?”
“ยังต้องกังวลอะไรอีกท่าน ตอนนี้ท่านถือเป็นเจ้าของบริษัทแห่งนี้ถึงครึ่งหนึ่ง เดี๋ยวฉันจะย้ายไปนั่งข้างนอกเอง ต่อจากนี้ไปที่นี่คือห้องทำงานของท่านค่ะ”
จ้าวเฉียนโบกมือปัดเล็กน้อยอย่างเบื่อหน่ายและพูดว่า
“ฉันยังชอบที่จะทำงานร่วมกับทุกคนในออฟฟิศ ส่วนเธอก็อยู่ที่นี่ต่อไปนั้นแหละ อย่างไรก็ตาม ฉันมีข้อแม้ว่า ห้ามไม่ให้เธอเปิดเผยเกี่ยวกับสถานะของฉันในปัจจุบัน รวมไปถึงผู้ร่วมทุนด้วย ไม่อย่างนั้น…ฉันจะถอนเงินลงทุนกลับมา”
“เข้าใจแล้วค่ะท่าน”
“หุหุ…ตอนนี้เธอก็เข้าใจแล้ว แต่ฉันยังมีคำถามจะถามเธอ ถ้าหวังเฉียงต้องการขับไล่ฉันออกจากบริษัทแห่งนี้ ฉันควรทำยังไงดี?”
“แน่นอนค่ะ! ฉันจะไล่เขาออกทันทีและเลื่อนตำแหน่งผู้จัดการให้กับท่าน”
จ้าวเฉียนที่ได้ยินดังนั้นก็โบกมือปัดทันที และกล่าวว่า
“ไม่จำเป็น ปล่อยให้เจ้านั้นอยู่ที่นี่ต่อไป ฉันยังไม่ได้เล่นสนุกกับมันเลย ฮิฮิ…พอฉันเบื่อเมื่อไหร่ เดี๋ยวถีบมันทิ้งไปเอง”
จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นขอตัวลาและเดินออกจากห้องไป
ฟางนี่พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง ไม่ว่าจะเป็นคำสั่งแบบไหนเธอก็ทำได้แค่ก้มหน้าทำตามคำสั่ง
หวังเฉียงและเจวียงหยวน กำลังรอให้จ้าวเฉียนออกมา เมื่อใดที่เห็นเขาออกมาจากห้องก็เตรียมถ่มถุยได้เต็มที่!
แต่ขณะที่ทั้งสองกำลังจะเอ่ยปากขึ้น จ้าวเฉียนก็เหลือบมองเจ้าสองคนนั้นด้วยสายตาแสนเหยียดหยาม และกล่าวขึ้นทันทีว่า
“ฉันบอกแล้วว่า ไม่มีบริษัทไหนไล่ฉันออกไปได้!”
“ทำไมแกยังคิดว่าตัวเองมีโอกาสยังอยู่ที่นี่ได้? หรือตำแหน่งแกสูงกว่าประธานฟางรึไง? ฮ่าๆๆ…!”
สำหรับคำพูดของหวังเฉียน ฟานนี่เธอได้ยินเต็มสองรูหู
“เอะอะอะไรหน้าห้องฉัน!”
ทันทีที่ได้ยินเสียงของฟางนี่ดังขึ้นมาจากด้านหลัง หวังเฉียงพลันรู้สึกเสียวาบ รีบหันไปกล่าวขอโทษด้วยความกลัวว่า
“ขอโทษครับประธานฟาง ผมจะไม่…”
“ฉันไม่สน แล้วใครที่ไหนมีอำนาจในการไล่คนในบริษัทของฉันออก? ทำไมนายถึงร้องเรียนไปแบบนั้น?”
หวังเฉียงตกใจอย่างมากเมื่อได้ยิน และรีบตอบกลับไปทันทีโดยไว
“จ้าวเฉียนทำผิดคำสั่งของบริษัท แล้วประธานฟางเองก็บอกให้ไล่เขาออก!”
ในขณะเดียวกัน จ้าวฉินที่กำลังจะเดินจากไปพลันฉะงักหยุดโดยพลัน
“ประธานฟาง ผมได้แก้ไขงานตามที่อีกฝ่ายขอให้ปรับเปลี่ยนไปแล้ว ถึงเขาจะไม่พอใจ แต่ก็ไม่ควรยกเลิกสัญญาความรวมมือกระทันหันขนาดนี้ ผมว่าเรื่องนี้มันไม่สมเหตุสมผล…จริงไหม?”
ฟางนี่ทราบดีว่า จ้าวเฉียนที่ลงเงินไปมาถึงสามล้านหยวนให้แก่บริษัท และเขาไม่มีทางทำเรื่องเสียๆหายๆให้แก่บริษัทแน่นอน คนรวยแบบนี้ไม่ปล่อยให้สิ่งที่ตนเองลงทุนไปพังลงง่ายๆแน่นอน
ดังนั้นเธอจึงเอ่ยขึ้นว่า
“ฉันเองก็คิดว่ามีบางอย่างผิดปกติกับเรื่องนี้ เดี๋ยวฉันจะไปตรวจสอบอีกทีหลังจากนั้นค่อยว่ากันใหม่”
หวังเฉียงไม่กล้ากล่าวคำพูดหักล้างใดๆ ได้แต่พยักหน้าตอบตกลงไป
เจวียงหยวนเห็นท่าว่าสถานการณ์ไม่ค่อยสู้ดีนัก จึงเดินกลับไปประจำตำแหน่งตัวเองอย่างเงียบๆ เขาในตอนนี้ใจเสียหนัก เพราะแผนการที่จะขับไล่จ้าวเฉียน เป็นเขาที่แอบไปมีส่วนได้ส่วนเสียกับพนักงานของบริษัทซิงหยวน หากฟางนี่ไล่สืบเรื่องนี้ละก็ มีความเป็นไปได้สูงมาดที่จะค้นพบความจริงในข้อนี้ แล้วนั้นไม่นับว่าเป็นหายนะของเขาเลยงั้นเหรอ?
“เร็วเข้า! นำข้าวของบนโต๊ะจ้าวฉิงกลับไปจัดเรียงดังเดิม! มาย้ายข้าวของของคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต น่ารังเกียจสิ้นดี!”
ฟางนี่เอ่ยปากดุหวังเฉียงอีกยกใหญ่ ก่อนจะหันหลังกลับไปยังห้องทำงานของตัวเอง หวังเฉียนไม่กล้าขัดคำสั่ง รับยกข้าวของจ้าวเฉียนกลับไปวางที่เดิมโดยทันที
“จ้าวเฉียน แกกล้ารายงานเรื่องของฉันต่อหน้าท่านประธานฟางเหรอ? ได้! ได้! แกยังทำงานภายใต้การควบคุมของฉัน แล้วเราจะได้เห็นดีกัน!”
จ้าวเฉียนรวนหัวเราะดังลั่นราวกับได้ฟังเรื่องตลก ก่อนปริปากกล่าวอย่างไม่เกรงกลัวเลยว่า
“เฮ้…ฉันยังอยู่ที่นี่กับนายตลอด ไม่ต้องกังวลว่าฉันจะหนีนายไปไหน!”
“แก…หมาจรอย่างแก ท่านประธานฟางอยู่คุ้มกะลาหัวได้อีกไม่นานหรอก! เหอะ!”
หวังเฉียงเดินหยิบของทุกอย่างกลับไปวางบนโต๊ะของจ้าวเฉียนเรียบร้อยด้วยความไม่เต็มใจนัก
บรรยากาศในออฟฟิศ ณ ขณะนี้ค่อนข้างหดหู่ดูกดดันอย่างบอกไม่ถูก ทุกคนไม่กล้าคุยเล่นกันเพราะกล่าวว่าเจ้านายจะโกรธ
อีกไม่นานก็ใกล้เวลาเลิกงานแล้ว จ้าวเฉียนลุกขึ้นยืนพลางบิดขี้เกียจเล็กน้อย และหันมาพูดกับทุกคนว่า
“คืนนี้ฉันจะรักษาสัญญา ทุกคน เจอกันที่โรงแรมตงไห่ ตอนหนึ่งทุ่ม”
ทุกคนที่กำลังนั่งทำงานต่างตกตะลึงแทบสะดุ้งเมื่อได้ยิน ไม่มีใครคิดเลยว่า เจ้านั้นจะรักษาสัญญาจริงๆ! ขอเพียงทำตามสัญญา แค่ไปเลี้ยงอาหารข้างทางถูกๆก็เพียงพอแล้ว แต่นี่ถึงขนาดพาไปที่โรงแรมตงไห่ ซึ่งเป็นโรงแรมระดับห้าดาวที่ดีที่สุดของเมือง เขามีเงินไปที่นั่นจริงๆเหรอ?
จ้าวเฉียนไม่เปิดโอกาสใดๆให้พวกเขาทุกคนได้เอ่ยถาม จากนั้นก็หยิบข้าวของตนเองและจากไป
เพื่อนร่วมงานกำลังลังเลใจว่าจะไปดีหรือไม่ไปดี
“นายจะไปไหม?”
“ไปสิ! มีคนรักษาสัญญาใครจะไม่ไป!”
“แต่เจ้านั้นบอกว่าให้ไปเจอที่โรงแรมตงไห่ ไม่ใช่ว่าพอจะจ่ายเงินจริงมันจะชักดาบ แล้วให้พวกเรารวมเงินกันจ่ายแทนหรอกนะ? มันคงแค้นไม่ใช่น้อยที่พวกเราทำไว้กับมัน! ถ้ามันกล้าทำแบบนั้นจริงๆ ฉันขอดูหน่อยสิว่า มันจะมีหน้ามาทำงานที่นี่ต่อได้ยังไง!”
เจวียงหยวนครุ่นคิดกับตัวเองครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากเสียงดังขึ้นว่า
“หาโอกาสได้ยากที่คุณชายจ้าวนะเลี้ยงอาหารมื้อเย็นเรา หากพลาดโอกาสนี้ไปคงไม่มีโอกาสอีกแล้วในอนาคต ทุกคน ลองเชื่อใจคุณชายจ้าวนั้นสักครั้ง อีกอย่าง…มันบอกว่าโรงแรมตงไห่เชียวนะ! มันคงมีปัญญาจ่ายไหว ไม่อย่างนั้นคงไม่ชวนพวกเราเพื่อเอาหน้าแบบนี้หรอก!”
ทุกคนที่ได้ฟังดังนั้นล้วนรู้สึกสมเหตุสมผลกับคำพูดนี้ แม้ว่าจ้าวเฉียนจะยากจนไม่มีเงิน แต่เขาเองก็ไม่ได้โง่ หากไม่มีเงินขนาดนั้น มีเหรอจะกล้าไปที่โรงแรมตงไห่?
คิดได้ดังนั้น ทุกคนจึงรีบเก็บข้าวเก็บของและขึ้นรถรับส่งของบริษัทมุ่งหน้าไปยังโรงแรมตงไห่ในทันที