ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี - ตอนที่ 162 เซ็นสัญญา
ตอนที่162 เซ็นสัญญา
ไม่นานหลังจากที่จ้าวเฉียนกลับถึงบ้านไป ฟางนี่ก็โทรหาเขา
“ฮาโหลจ้าวเฉียน สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง คุณเหลียวพูดอะไรรึเปล่า?”
ฟางนี่เอ่ยถามพร้อมความรู้สึดผิดภายในใจ
“พรุ่งนี้ผมจะคุยกับเธออีกครั้งและพยายามดิลให้สำเร็จครับ เธอขอให้ผมเข้าร่วมงานเลี้ยงรุ่นม.ปลาย ถ้าไม่ยอมตกลงตามนี้เธอจะไม่ยอมให้ความร่วมมือครับ ยังไงผมจะต้องคิดดูก่อน”
จ้าวเฉียนเอ่ยตอบไปถามความจริง
ฟางนี่กล่าวตอบทันทีว่า
“ไม่เป็นไรนายไปเข้าร่วมได้เลย ค่าใช้จ่ายทั้งหมดในวันนี้สามารถนำมาเบิกกับบริษัทได้เต็มจำนวน ตราบใดที่สามารถร่วมมือกับหัวโหย้วได้ นี่ก็คุ้มค่าแล้วที่จะจ่าย”
จ้าวเฉียนตอบกลับด้วยความไม่พอใจว่า
“แต่ประเด็นคือ ผมไม่อยากเข้าร่วมไงครับ ทั้งไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ ทั้งนั่งเฝ้ารอเธอเรียนที่มหาลัย แถมยังงานเลี้ยงรุ่นอีก มันถึงขีดจำกัดผมแล้วจริงๆ ผมไม่อยากไปไหนอีกแล้ว”
ฟางนี่รีบปลอบโยนทันทีว่า
“แต่นายมีหุ้นส่วนบริษัทเราถึง32%ในมือนะ ถ้าครั้งนี้นายทำได้สำเร็จ เงินปันผลสในส่วนของนายก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ไม่ต้องเห็นแก่หน้าฉันก็ได้ แต่เห็นแก่บริษัทของเราเถอะนะ”
จ้าวเฉียนถอนหายใจเฮือกหนึ่งและตอบไปว่า
“ผมจะลองคิดดูนะครับ แต่ผู้จัดการจางกับรองผู้จัดการหวังเอง ก็เพิ่มเซ็นสัญญาร่วมมือกับอีกบริษัทไม่ใช่เหรอ? ถึงทางผมจะไม่สำเร็จก็ไม่เห็นมีอะไรต้องกังวล?”
“สัญญาลงนามอย่างเป็นทางการพรุ่งนี้ แต่ยังไงก็ต้องหารือเกี่ยวกับส่วนแบ่งอีกรอบ นายก็ควรดิลคู่ค้ารายนี้ให้สำเร็จนะ ผลตอบแทนที่ได้รับจะได้เพิ่มขึ้นเท่าตัวไง”
ฟางนี่รีบอธิบายอย่างรวดเร็ว
“โอเคครับ แล้วมีอะไรอีกไหม? ผมจะไปอาบน้ำแล้ว”
“ไม่มีแล้ว นายไปพักผ่อนเถอะ ฉันจะรอฟังข่าวดีนะ”
หลังจากอาบน้ำเสร็จสิ้น จ้าวเฉียนก็วิดีโอคอลไปหาพ่อของเขาทันที รอเพียงไม่นานจ้าวฝู่ก็รับสาย
“ไอ้ตัวแสบ คิดยังไงวีดีโอคอลมาหา?”
จ้าวฝู่เอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม
เป็นเวลานานแล้วที่จ้าวฝู่ไม่ได้เห็นหน้าลูกชายตัวเอง ดวงตาคู่นั้นของเขาจับจ้องไปที่ใบหน้าของลูกชาย เพื่อดูเสียหน่อยว่า อีกฝ่ายซูบผอมลงหรือไม่?
จ้าวเฉียนยิ้มตอบไปว่า
“ผมสบายดีครับ พ่อนั่นแหละ รู้สึกว่า…หล่อขึ้นรึเปล่า?”
“ฮ่าฮ่า…ประจบเก่งเหมือนเคยนะ แล้วโทรมาหาเวลาแบบนี้มีเรื่องอะไรรึเปล่า?”
“พ่อก็คือพ่อวันยังค่ำจริงๆ ไม่มีอะไรสามารถหลบสายตาพ่อได้เลย หยางหู่กำลังมีเรื่องกับแก๊งเหล่ยอู่ แต่เขาไม่กล้าบอกพ่อ ดังนั้นผมเลยต้องมาแจ้งกับพ่อเป็นการส่วนตัวน่ะ”
จ้าวเฉียนเข้าเรื่องไม่อ้อมค้อม
จ้าวฝู่ระเบิดหัวเราะเสียงดังและตอบไปว่า
“ไม่มีอะไรที่ใช้เงินแก้ปัญหาไม่ได้ ใครก็ตามที่กล้าแตะต้องลูกชายของจ้าวฝู่ มันต้องไม่ตายดี!แต่จะว่าไป ไม่ใช่ว่าลูกทำงานอยู่ในบริษัทเกมหรอกเหรอ? เดี๋ยวพ่อซื้อบริษัทเหล่ยอู่ให้เลยดีไหม?”
วิธีแก้ไขปัญหาของคนรวยมักง่ายและไม่ซับซ้อน นั้นคือใช้เงินซื้อปัญหามันไปเลย
อย่างไรก็ตาม จ้าวเฉียนไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ การซื้อกิจการบริษัทเหล่ยอู่ต้องใช้เวินจำนวนหลายร้อยล้านหยวน ถ้าเขาซื้อในตอนนี้มันจะขัดกับสถานะในปัจจุบันของเขาอย่างยิ่ง และอาจทำให้ความแตกได้
“อพ่อ ผมจะไม่สามารถแถให้คนอื่นฟังได้ว่า ผมเอาเงินมามากขนาดนั้นมาจากไหนในการซื้อเหล่ยอู่ ผมยังไม่อยากเผิดเผยตัวตนตอนนี้ เพราะนี่อาจเป็นอันตรายกับตัวเองได้”
จ้าวเฉียนกล่าวปัด
จ้าวฟู่ระเบิดหัวเราะลั่นและตอบกลับไปว่า
“อันที่จริงที่ลูกต้องการ พ่อสามารถจัดการให้ได้ทันที เอาแบบนี้ดีไหม พ่อจะสั่งให้ประธานฟู่ไฮ่ อินเวสเม้นต์ไปที่บริษัทลูก เพื่อหารือเกี่ยวกับการซื้อกิจการดังกล่าวมา ด้วยวิธีนี้มันจะเป็นของลูกได้โดยไม่มีใครรู้ ส่วนเรื่องแผนการค่อยว่ากันอีกที ขอแค่ลูกเห็นด้วยหรือไม่แค่นั้น”
จ้าวเฉียนครุ่นคิดอยู่สักหนึ่ง แต่อย่างไรเขารู้สึกว่า ตอนนี้มีเฟยอวี่อยู่ในกำมืออยู่แล้ว เขาไม่จำเป็นต้องมีบริษัทเกมแห่งที่สองอย่างเหล่ยอู่ในกำมือก็ได้ มันไม่ได้จำเป็นขนาดนั้น
“เดี๋ยวผมลองคิดดูอีกทีแล้วกัน ถ้าสนใจ ผมจะโทรหาพ่อใหม่ ยังไงก็เถอะพ่อ นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว ไม่ใช่ว่านั่งทำงานไม่ยอมนอนหรอกนะ? แล้วยังงี้จะอายุยืนพอจะได้เห็นหน้าหลานชายไหมเนี่ย?”
“ฮ่าฮ่า…เข้าใจแล้วน่า เข้าใจแล้ว เดี๋ยววางกลยุทธ์โมเดลธุรกิจนี่เสร็จ เดี๋ยวพ่อจะเข้านอนทันทีเลย แกก็เหมือนกัน ถ้าเจอผู้หญิงที่ถูกใจแล้วก็รีบบอกชอบไปเถอะ อย่าลืมทิ้งท้ายด้วยล่ะว่าแกเป็นลูกของจ้าวฟู่คนนี้!ฮ่าฮ่าๆ … อ่อจะว่าไป ชางเจียกงที่ไปรับช่วงต่อห้างแห่งนั้น ค่อนข้างน่าพอใจเลย ให้เขาดูแลต่อไปนั่นแหละดีแล้ว”
จ้าวฝู่กล่าวตอบอย่างมีความสุข
จ้าวเฉียนไม่มีอะไรพูดต่อแล้ว เพราะพ่อของเขาเล่นพูดมาซะขนาดนี้
“โอเคครับ งั้นผมไปนอนแล้ว ฝันดีพ่อ”
“ฝันดีไอ้ลูกชาย”
พอวางสายเสร็จ จ้าวเฉียนก็รีบเข้านอนพลางผล็อยหลับไป
ตื่นมาในเช้าวันรุ่งขึ้นที่แสนสดใส จ้าวเฉียนนั่งเคี้ยวขนมปังปิ้งอันหอมกรุ่นพร้อมดื่มนมแก้วหนึ่งในมื้อนี้ เป็นเวลาสิบโมงแล้ว เขากำลังออกเดินทางไปที่บริษัทหัวโหย้ว เพื่อไปหาเหลียวเซียวหยุน แต่ทันใดนั้นเสียงเรียกเข้าในมือถือพลันดังขึ้น ปรากฏว่าเป็นจางหยางที่โทรมา
“ฮาโหลครับ ผู้จัดการจางมีอะไรหรือเปล่า?”
“นี่แกยังกล้ามาถามฉันอีกเหรอ!แกไปมีปัญหากับใครไว้อีกห่ะ!?”
จ้าวเฉียนกลอกตาอย่างช่วยไม่ได้และตอบกลับน้ำเสียงเฉื่อยชาไปว่า
“ผู้จัดการจางหาเรื่องผมแต่เช้าเลยเหรอครับ? ไม่มีอะไรทำขนาดนั้นเหรอ? อีกอย่างคุณเป็นถึงผู้จัดการนะครับ เวลาคุยกับลูกน้องก็ช่วยทำน้ำเสียงให้มันดีๆ หน่อยไม่ได้เลยเหรอครับ?”
จางหยางถูกจ้าวเฉียนเหน็บแนมไปขนาดนี้ น้ำเสียงของเขาพลันอ่อนลงโดยไม่ทันรู้ตัว และกล่าวว่า
“พูดตรงๆ เลยนะ หยุดทำให้ฉันขายหน้าได้แล้ว!บริษัทฟางนี่เป็นของฉัน มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะไล่นายออก แต่ก่อนอื่น นายมีอะไรจะสารภาพไหม? ไปมีเรื่องกับนายน้อยของบริษัทเหล่ยอู่มาใช่ไหม?”
สิ่งที่จ้าวเฉียนเป็นกังวลในที่สุดก็เกิดขึ้นจริงจนได้ จ้าวเฉียนกล่าวตอบกลับไปอย่างช่วยไม่ได้ว่า
“มีปัญหากับฟู่เอ๋อร์นิดหน่อย เกิดอะไรขึ้นดหรอครับ?”
“มีคนรู้ว่าบริษัทของเรากำลังร่วมมือกับพวกเขา จู่ๆ ทางนั้นก็ยกเลิกการเซ็นสัญญาความร่วมมือไปเฉยๆ ทั้งหมดเป็นเพราะแกคนเดียว!แล้วรู้ไหมว่าโปรเจคนี้มีมูลค่าเท่าไหร่!? ห้าล้านเชียวนะ!ห้าล้าน!แต่พอรู้ว่าบริษัทนี้มีนายทำงานอยู่ ทางนั้นกลับยกเลิกความร่วมมือทันที!”
จ้าวเฉียนคาดเดาถึงสิ่งที่เกิดขึ้นได้ทันที แต่อย่างไรเขาก็ยังไม่เป็นกังวลเท่าไหร่
“เดี๋ยวผมจะแก้ไขปัญหาเองครับ ไม่ต้องห่วง”
จ้าวเฉียนกล่าวปลอบโยน
“แก้ไข? น้ำหน้าอย่างแกแก้ไขปัญหาอะไรได้!ฉันกำลังเรียกทุกคนมาประชุมเพื่อขับไล่นายออก!”
จากนั้นจางหยางก็ตัดสายทิ้งไปทันที
จ้าวเฉียนรู้ได้ทันทีว่า ต่อให้เขาไปยืนหน้าบริษัทเหล่ยอู่ มันก็ไม่มีที่ว่างสำหรับเขาในการเจรจาต่อรอง
ดังนั้นจึงเหลือแค่ทางเดียวคือ ปล่อยให้พ่อของเขาซื้อบริษัทเหล่ยอู่มา
จ้าวเฉียนต่อสายโทรหาพ่อของเขาโดยตรงและกล่าวว่า
“พ่อ ผมคิดๆ ดูแล้ว ผมควรซื้อบริษัทเหล่ยอู่มาเป็นของตัวเองเลยดีกว่า แต่ผมไม่อยากให้พวกนั้นได้เงินมากเกินไปเช่นกัน พ่อพอจะมีวิธีไหม?”
“อืม…ถ้าอย่างงั้นต้องใช้วิธีสกปรกหน่อยแล้ว เดี๋ยวพ่อโทรหาหยางหู่แล้วปล่อยให้เขาจัดการเอง ลูกรอฟังข่าวดีได้เลย”
จ้าวฝู่เอ่ยตอบอย่างใจเย็น
จ้าวเฉียนกดวางสายบไปพร้อมฮัมเพลงอย่างสบายอารมณ์ ก่อนจะเดินทางไปที่หัวโหย้วเพื่อไปพบกับเหลียวเซียวหยุนตามที่นัดไว้
ซึ่งเหลียวเซียวหยุนเองก็มารอจ้าวเฉียนตั้งแต่เช้าแล้วในบริษัท
พอจ้าวเฉียนมาถึง พนักงานในแผนกต้อนรับก็รับพาจ้าวเฉียนไปที่ห้องทำงานของเหลียวเซียวหยุนทันที
“กว่านายจะมาได้นะ ทำไมถึงช้าจัง?”
เหลียวเซียวหยุนบ่นเล็กน้อย
จ้าวเฉียนรีบอธิบายโดยไวว่า
“สองวันที่ผ่านมาผมเหนื่อยมากจริงๆ มาเจรจาเรื่องข้อตกลงกันเถอะ จะได้ไม่เสียเวลาคุณด้วย”
เหลียวเซียวหยุนที่ได้ยินแบบนั้นก็กล่าวขอโทษทันทีว่า
“ฉันขอโทษนะ ที่พานายออกไปเหนื่อยแบบนี้ หลังจากเซ็นสัญญาเสร็จ วันสองวันนี้ก็ไปพักผ่อนตามสบายเลย ฉันสัญญาว่าจะไม่รบกวนนายระหว่างนั้นแน่”
จ้าวเฉียนยิ้มพลางส่ายหัวตอบไปว่า
“เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวอะไรกับคุณเลย พอดีมีธุระอื่นที่ต้องทำด้วยน่ะ เอาล่ะนะ โครงการที่เราจะร่วมมือกันเป็นเกมแนวนี้…”
จากนั้นจ้าวเฉียนก็เข้าเรื่องโปรเจค อธิบายให้เหลียวเซียวหยุนฟังโดยละเอียด
ทางฝั่งเธอเองก็พยักหน้าฟังไปสักพักหนึ่ง ก่อนเรียกพนักงานฝ่ายพัฒนามาฟังแบบแผนการสร้างเกมต่อ
ไม่ถึงหกโมงเย็น จ้าวเฉียนก็ออกจากบริษัทหัวโหย้วโดยถือสัญญาที่เพิ่งเซ็นกับเหลียวเซียวหยุนอยู่ในมือ
“เห้อ…ในที่สุด…”
จ้าวเฉียนถอนหายใจเฉฮือกใหญ่ หลังจากที่เขาใช้ความพยายามทุ่มเทถึงสองวันเต็ม สุดท้ายก็เห็นผลลัพธ์เสียที
อย่างไรก็ตาม กลับมีเงื่อนไขเพิ่มเติมเข้ามาคือ ในวันศุกร์นี้ที่เป็นเทศกาลไหว้พระจันทร์ เขากับเหลียวเซียวหยุนจะต้องไปร่วมงานเลี้ยงรุ่นม.ปลาย และเขาจะต้องรับบทแกล้งเป็นแฟนเธอเหมือนเดิม
เวลาผ่านไป นี่ก็หกโมงเย็นกว่าแล้ว จ้าวเฉียนยังไม่กลับบริษัท หวังค่อยบอกข่าวดีกับเพื่อนร่วมงานในวันพรุ่งนี้
แต่ทันใดนั้นสายเรียกเข้าจากฟางนี่ก็ดังขึ้น
“ฮาโหลครับ ประธานฟางมีอะไรรึเปล่า?”
ฟางนี่ไม่ได้ตอบกลับทันที เธอเงียบอยู่พักใหญ่ ก่อนเอ่ยกล่าวน้ำเสียงอ่อนว่า
“นาย…ช่วยกลับมาในบริษัททีสิ”
สุ่มเสียงของฟางนี่ดูแย่อย่างมาก น่าจะต้องเกิดเรื่องอะไรแน่นอนภายในบริษัท
“โอเคครับ ผมจะรีบไป”
จ้าวเฉียนรีบขึ้นรถขับกลับไปยังบริษัททันทีโดยเร็ว