ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี - ตอนที่ 119 คุณไม่มีคุณสมบัติมาสนทนากับผม
ตอนที่119 คุณไม่มีคุณสมบัติมาสนทนากับผม
ที่จริงแล้วไม่จำเป็นต้องดูเอกสาร จ้าวเฉียนก็เดาได้ในทันทีว่า จางหยางไม่ได้มอบหมายบริษัทที่ง่ายต่อการรับมือแน่นอน
พอจ้าวเฉียนเปิดเอกสารขึ้นมาก็อดยิ้มไม่ได้ ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมจางหยางถึงดูร่าเริงขนาดนั้น ปรากฏว่าบริษัทที่เขามอบหมายหน้าที่ให้จ้าวเฉียนไปดิลด้วยก็คือ บริษัทหวนโหย้ว คู่แข่งของซิงหยวน
อำนาจอิทธิพลของหวนโหย้วเทียบเท่าได้กับซิงหยวน แต่บริษัทนี้ไม่ได้เป็นของบริษัทหยานจิงโอเชี่ยนเวลท์ กรุ๊ป ถ้าต้องการดิลกับคู่ค้ารายนี้ให้สำเร็จ เขาจำเป็นต้องใช้เวลาเล็กน้อย
แต่นี่ไม่ใช่ปัญหาสำหรับจ้าวเฉียนเท่าไหร่ ถือเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำที่เขาจะได้วอมมือเล็กน้อย
จางหยางกำลังจิบกาแฟอย่างมีความสุขในห้องทำงาน พร้อมรอยยิ้มประดับใบหน้า
ในเวลานั้นเองหวังเฉียงก็เคาะประตูเดินเข้ามาและเอ่ยถามว่า
“ผู้จัดการจาง ส่งเอกสารไปให้หมอนั่นรึยัง?”
“เรียบร้อยแล้ว”
“แล้วมันว่ายังไงบ้าง?”
“มันไม่ได้มองด้วยซ้ำ แต่บอกกับฉันว่าไม่มีปัญหา”
“ฮ่าฮ่า…ไอ้หมอนี่ถูกอีโก้บังตาไปหมดแล้วจริงๆ ! หยิ่งได้หยิ่งไปเถอะ! หวงโหย้วไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะติดต่อด้วยเลย คราวนี้ผมขอดูมันสักหน่อยว่า หลังจากล้มเหลวกลับมา มันจะแก้ตัวยังไง!”
“ฉันบอกมันไปว่า ถ้าทำไม่ได้ก็รับโทษแล้วลาออกไปซะ เจ้าหมอนั่นก็ยังยิ้มร่าไม่รู้ร้อนรู้หนาว ฮ่าฮ่า…รอฟังข่าวดีได้เลย”
“ฮ่าฮ่าๆๆ …”
ทั้งหมดคือแผนการที่ทั้งสองวางเอาไว้ ตั้งใจจะปั่นหัวจ้าวเฉียนให้สิ้นหวังและบีบให้ต้องออกไปเอง
ประมาณบ่ายสามโมงเห็นจะได้ หยางหมิงพากลุ่มคนจำนวนหนึ่งเข้ามาในออฟฟิศฟางนี่ นี่คือการต่อสู้ศึกใหญ่ หยางหมิงขนช่างเทคนิคมืออาชีพนับสิบคนมาตรวจสอบโปรเจคเกมที่มอบหมายให้ทางบริษัทฟางนี่พัฒนาขึ้นโดยละเอียด
หวันชวงรู้สึกประหม่าอย่างยิ่ง ถึงขั้นกลัวจนมือไม้สั่นไปหมด ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง วันที่หยางหมิงพาคนมาประเมินโปรเจคอีกครั้ง
“นายน้อยหยาง…สวัสดีครับ…”
“ไปให้พ้นหน้าฉัน อย่ามาขวาง!”
หยางหมิงไม่เห็นแก่หน้าใครทั้งสิ้น หวันซวงที่โดยตะคอกถึงกลับไม่กล้าปริปากกล่าวอะไรขึ้นอีกเลย
หลังจากที่ตะคอกออกไป หยางหมิงก็เดินตรงมาหาจ้าวเฉียน ระเบิดหัวเราะเสียงเย็นกล่าวขึ้นว่า
“ฉันได้ยินมาว่า นายกลายมาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทนี้แล้วเหรอ? แต่เสียใจด้วยนะ…ถึงจะเป็นผู้ถือหุ้นแต่ถ้าไม่มีกำไร ก็เท่ากับซื้อหนี้สินมาแบกเล่นไว้บนบ่า!”
จ้าวเฉียนเหลือบมองไปที่หยางหมิง แทบจะกลั้นขำไม่อยู่เมื่อเห็นผ้าก๊อชพันหัวของอีกฝ่าย ดูยังไงก็โคตรตลกเลย
หยางหมิงทราบทันทีว่าจ้าวเฉียนกำลังหัวเราะเยาะเรื่องอะไร จึงตะคอกสวนตอบไปทันที
“หัวเราะหาบิดาแกเหรอ? พาฉันไปประเมินเดี๋ยวนี้! ขอดูหน่อยว่าพอถึงตอนนั้นยังมีหน้าหัวเราะอยู่อีกรึเปล่า?”
จ้าวเฉียนไม่ได้สนใจอีกฝ่ายเลย เอ่ตอบไปเพียงว่า
“มาประเมินได้นะ แต่ผมกังวลว่าคุณจะมาก่อปัญหามากกว่า”
หยางหมิงกัดฟันแน่นไม่พูดไม่จา แต่ท่าทางการแสดงออกดูยังไงก็รู้ว่าหงุดหงิดขนาดไหน เขาหมุนตัวกลับเดินไปที่แผนกพัฒนาทันทีเพื่อนำช่างเทคนิคไปประเมินโปรเจค
ทั้งฟางนี่, จางหยางและหวังเฉียง ต่างคนต่างรีบวิ่งออกมาถามจ้าวเฉียนทันทีว่า เกิดอะไรขึ้น
จ้าวเฉียนเอนหลังพิงเก้าอี้อย่างสบายใจ พลางเอ่ยตอบน้ำเสียงสุดแสนจะใจเย็นว่า
“พวกคุณไม่ต้องกังวลกันหรอก หยางหมิง ไม่สามารถสร้างปัญหาได้แน่นอน”
หวังเฉียงตอบสวนกลับไปทันทีว่า
“ก็เพราะอีกฝ่ายอยู่ที่นี่ จะไม่ให้เรากังวลได้ยังไง? ที่จริงแล้วโปรเจคเดิมพวกเราทำตามข้อกำหนดของอีกฝ่ายหมดแล้ว แต่นายนั่นแหละที่มีปัญหาส่วนตัวกับอีกฝ่าย จนทำให้เขาจงใจมาก่อปัญหาที่นี่ แค่เขาบอกว่าประเมินไม่ผ่าน เราก็ต้องเสียเงินชดเชยแล้ว! ถ้าเกิดอะไรขึ้นนายจ่ายไหวไหม?”
จางหยางกล่าวเสริมต่อว่า
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าระหว่างพวกนายมีเรื่องข้องใจอะไรกัน แต่คิดว่าตัวเองเก่งนักรึไง? ถึงไปมีปัญหากับทายาทผู้สืบทอดเฟยอวี่ กรุ๊ป? แล้วนายเป็นแค่พนักงานตัวเล็กๆ มีคุณสมบัติอะไรไปมีปัญหากับเขาห่ะ?”
หวันชวงรีบทิ้งจ้าวเฉียน และกล่าวเห็นด้วยกับทั้งสองทันที
“เดิมทีบริษัทของเราสามารถทำกำไรได้มหาศาลจากโปรเจคนี้ แต่ปัจจุบันบริษัทอาจต้องขาดทุนครั้งใหญ่ก็เพราะนาย! แล้วอย่ามาปัดความรับผิดชอบให้ฉันด้วย หัดรู้จักโทษตัวเองน่ะเป็นไหม?”
ฟางนี่กังวลว่า คำพูดของจางหยางและคนอื่นๆ จะทำให้จ้าวเฉียนโกรธ จึงเข้ามาขัดจังหวะบทสนทนาของพวกเขาโดยไว
“โอเค เลิกโทษกันเองได้แล้ว จ้าวเฉียนบอกว่าไม่มีปัญหาก็คือไม่มีปัญหา ปล่อยให้เขาจัดการนั่นแหละ”
จางหยางเอ่ยถามขึ้นเจืออย่างไม่สบายใจว่า
“ทำไมเธอต้องไปช่วยมัน? สร้างปัญหาซ้ำๆ ซากๆ ให้บริษัท แล้วเธอยังจะกล้าเชื่อใจมันอีก?”
ฟางนี่อธิบายไม่รู้กี่ครั้งแล้ว และเธอขี้เกียจมาอธิบายอะไรซ้ำซาก ดังนั้นเธอจึงตอบไปว่า
“ฉันรู้จักเขาดีกว่าคุณ และฉันเชื่อว่าเขาสามารถแก้ปัญหาได้”
หลังพูดจบ ฟางนี่ก็เดินกลับไปยังห้องทำงานของเธอเอง จางหยางรู้สึกเศร้าใจอย่างมาก เขาไล่ตามเธอไปทันทีและถามไปตามตรงว่า เธอยังเห็นเขาเป็นสามีคนนึงอยู่ไหม? ทำไมต้องปฏิบัติต่อเขาแบบนี้?
“ฟางนี่ ผมคิดว่าพวกเราต้องเปิดอกคุยกันอย่างจริงๆ จังๆ สักครั้งแล้ว ถ้ายังไม่เข้าใจกันแบบนี้ มันจะส่งผลกระทบถึงความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราในอนาคตได้นะ”
“โอเค คุณอยากคุยอะไรว่ามาเลย?”
“ผมรู้สึกว่า ความรู้สึกที่คุณมีให้จ้าวเฉียนมันเกินคำว่า เจ้านายกับลูกน้องไปแล้ว คุณเชื่อทุกอย่างที่เขาพูด เชื่อยิ่งกว่าผมที่เป็นสามีคุณอีก! เห็นได้ชัดว่าครั้งนี้เขาผิด แต่คุณก็ยังเลือกที่จะเชื่อใจเขา! บอกมาเลยดีกว่าว่าคุณรู้สึกยังไงกับจ้าวเฉียนกันแน่?”
“จางหยาง นี่ฉันอธิบายให้คุณฟังไม่รู้กี่รอบแล้ว ฉันเชื่อในความสามารถของจ้าวเฉียน โดยไม่มีความรู้สึกส่วนตัวใดๆ เข้าไปพัวพันเลย นอกจากนี้ถ้าคุณมีวิธีที่ทำให้บริษัทของฉันไปต่อได้โดยไม่ต้องพึ่งพาเขาก็บอกมาสิ ไม่ใช่ไม่ช่วยแล้วยังสร้างปัญหาอยู่แบบนี้ ถ้าบริษัทซิงหยวนตัดขาดความร่วมมือของเราอีกครั้ง บริษัทนี้คงไปต่อไม่ได้แน่ ถ้าฉันเลือกที่จะไม่เชื่อใจจ้าวเฉียน แล้วคุณมีศักยภาพเพียงพอที่จะแทนที่เขาไหม?”
ข้อต้องห้ามร้านแรงสำหรับบรรดาผู้ชายคือ การเปรียบเทียบตนกับชายอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการที่ภรรยานำสามีไปเปรียบเทียบกับผู้ชายคนอื่น และกล่าวหย่ามในเชิงด้อยกว่า ซึ่งในเรื่องนี้เอง จางหยางย่อมรับไม่ได้โดยธรรมชาติ
“ดี! ผมจะพิสูจน์ให้คุณเห็นเองว่า ผมมีดีกว่ามันหลายเท่า! ผมจะไปดิลกับบริษัทที่ใหญ่กว่าซิงหยวนให้ดู! เพื่อจะให้คุณเลิกหลงในตัวของไอ้หมอนั่นสักที!”
คล้อยหลังพูดจบ จางหยางก็เดินจากไปด้วยความโกรธส่องสุมอยู่แน่นอก เขาเรียกหวังเฉียงเข้ามาคุยในห้องทำงานตนทันที และเริ่มปรึกษาหารือว่าจะทำยังไงให้จ้าวเฉียนตกกระป๋อง
อีกสองชั่วโมงต่อมา หยางหมิงนำช่างเทคนิคกลุ่มใหญ่ออกจากแผนกพัฒนา และตรงเข้าห้องทำงานของฟางนี่ สีหน้าการแสดงออกดูไม่พอใจอย่างที่สุด
ฟางนี่รู้สึกตัวทันทีว่าต้องมีบางอย่างไม่ถูกต้อง เธอจึงยิ้มถามไปว่า
“นายน้อยหยาง ประเมินโปรเจคเสร็จสิ้นแล้วเหรอค่ะ? เป็นยังไงบ้าง พอใจกับผลการพัฒนาของบริษัทเรารึเปล่า?”
หยางหมิงรวนหัวเราะเล็กน้อย ก่อนทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้และกล่าวน้ำเสียงขรึมไปว่า
“ไปเอาความมั่นใจขนาดนั้นมาจากไหนครับ? ยังกล้าถามอีกเหรอว่าผมพอใจไหม? เลิกพูดเรื่องไร้สาระกันดีกว่า ตามสัญญาระบุไว้ว่าทางคุณต้องจ่ายค่าชดเชยเป็นจำนวนสามเท่า รีบๆ จ่ายค่าชดเชยมาเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นเรื่องถึงศาลแน่นอน!”
ฟางนี่ตระหนักดีว่า คุณภาพของผลิตภัณฑ์บริษัทตนเองเป็นยังไง หยางหมิงตั้งใจหาเรื่องอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่สนเลยว่าเกมที่พัฒนาออกมาจะดีแค่ไหน จุดหมายที่มาในวันนี้มาเพื่อเรียกร้องค่าชดเชย
ฟางนี่โต้หยางหมิงชนิดไม่มีเกรงกลัว เค้นน้ำเสียงทุ้มต่ำกล่าวขึ้นว่า
“นายน้อยหยางจะอ้างสิทธิ์ชดเชยโดยไร้ซึ่งเหตุผลไม่ได้นะคะ ถ้าอยากจะได้ค่าชดเชยจริงๆ ทางคุณจำเป็นต้องระบุปัญหา และสิ่งที่ไม่พอใจมารายจุด ถ้ามาเรียกร้องทั้งๆ แบบนี้ ดิฉันเองก็สามารถฟ้องกลับได้นะคะ”
เนื่องจากหมางหมิงไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับซอฟแวร์ ดังนั้นเขาจึงเรียกช่างเทคนิคข้าง ๆ มาตอบแทน นี่เป็นช่างเทคนิดที่หยางหมิงเลี้ยงดูมาอย่างดี ถึงในความเป็นจริงโปรเจคดังกล่าวแทบจะไม่มีปัญหาอะไรเลยก็จริง แต่ท้ายที่สุดเขาก็ยกปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ขึ้นมาติเตียนได้อยู่ดี ทั้งยังทิ้งท้ายไปอีกว่า ผิดปัญหาเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ พนักงานของบริษัทฟางนี่ไร้ประสิทธิภาพ
พอได้ยินว่าพวกหยางหมิงทำแบบประเมินเสร็จสิ้น และกำลังเจรจากับฟางนี่อยู่ในห้องทำงาน จางหยางและหวังเฉียงก็ตามเข้ามาฟังด้วย และได้ยินจังหวะที่ช่างเทคนิคของหยางหมิงกำลังระบุปัญหาพอดี
จางหยางและหวังเฉียงไม่ค่อยมีความรู้เรื่องซอฟแวร์เท่าไหร่เช่นกัน แต่เท่าทีสังเกตจากท่าทางการแสดงออก คงไม่ได้กล่าวชมอยู่แน่นอน
จางหยางยังพอมีไหวพริบ จึงเร่งเข้ามาและพยายามแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าทันที
“นายน้อยหยาง พูดตามตรงเลยนะครับ ผมว่าทางคุณจงใจหาเรื่องให้พวกเราจ่ายค่าชดเชยมากกว่า แม้บริษัทของเราจะสู้เฟยอวี่ กรุ๊ปไม่ได้เลยก็ตาม แต่ก็ใช่ว่าจะมารังแกกันง่ายๆ แบบนี้นะครับ ผมไม่เชื่อว่าศาลจะตัดสินเรื่องนี้โดยฟังความของคุณแค่ฝ่ายเดียว”
สุ้มเสียงหัวเราะของหยางหมิงเปล่งดังขึ้นพร้อมท่าทีหยามเหยียดดูแคลน เขาไม่ได้หวาดกลัวฟางนี่แม้สักนิด แล้วนี่นับประสาอะไรกับหจางหยาง?
“คิดยังไงถึงกล้าขู่ผมแบบนี้? ทำไม? พอผมข่มขู่เมียคุณหน่อยถึงกับออกมาปกป้องแทน? ขอโทษนะครับ คุณไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะสนทนากับผมด้วยซ้ำ
ต้องถูกทำให้อับอายต่อหน้าภรรยาและลูกน้องตัวเองแบบนี้ จางหยางผู้ซึ่งมองตัวเองสูงส่งกว่าคนอื่นเสมอ โดยธรรมชาตินี่ถือเป็นเรื่องอัปยศอย่างที่สุด
“คุณ…คุณ…นี่เราทำธุรกิจกันนะ ผมพัฒนาเกมให้คุณ ส่วนคุณก็จ่ายค่าตอบแทนกลับมา ผมไปขอเงินคุณตอนไหนถึงมีสิทธิ์มาดูถูกกันแบบนี้!”
“ฮ่าฮ่าๆๆ …อยากจะหัวเราะให้ตายแม่งไปข้างจริงๆ ! แค่ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผมก็สูงเหยียบหัวคุณมิดแล้ว คนชนชั้นล่างแบบคุณยังกล้าออกความคิดเห็นกับผมอีกงั้นเหรอ?”
หลังจากหยางหมิงพูดจบ ก็เหลือบหางตามองจางหยางด้วยสีหน้าสุดเย้ยหยัน ขาทั้งสองข้างยกขึ้นมาวางบนโต๊ะทำงานเหยียดปลายเท้าใส่หน้าฟางนี่ด้วยท่าทีแสนหยิ่งผยอง
ความอัปยศอดสูเกินพรรณนานี้ มันเกินกว่าที่จางหยางจะรับได้ไหวแล้ว
“ไสหัวออกไป! นี่ยังไม่ถึงเวลาส่งมอบโปรเจคตามกำหนด! เมื่อถึงเวลานั้นถ้าคุณไม่พอใจก็ค่อยเจอกันในชั้นศาล! เราจะเอาผิดกับคุณให้ถึงที่สุด!!”
หยางหมิงคลี่ยิ้มกว้าง ทว่ารอยยิ้มนั้นกลับค่อยๆ เย็นยะเยือกลง เขาวางขาลงจากโต๊ะ พร้อมหยิบมือถือขึ้นมาโทรทันที
“พวกแก! เข้ามาได้เลย!”