ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 471: คาราสุเท็งงุ
บทที่ 471: คาราสุเท็งงุ
ห้านาทีต่อมา โม่ฉางห่าวก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “สำหรับผม เขาดูโอเค”
เขายังคงคิดเหมือนเดิม แต่ตอนนี้มันกลับแฝงไปด้วยความไม่แน่ใจ
ไม่น่าเชื่อ…โจวเซียนหลงตอบกลับด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียมกว่าเดิม “ผมเคยยอมรับคำขอของหน่วยอัลบาทรอสในการสอบสวนเขา”
“คุณทำอะไรนะ?” โม่ฉางห่าวคิดทันทีว่านั่นเป็นเรื่องที่น่าตลกมาก แต่ไม่นานเขาก็ยอมจำนนต่อความคิดต่อมา “อันที่จริง…หากผมเป็นคุณ ผมก็คงจะทำแบบเดียวกัน”
“แต่อัลบาทรอสคนนั้นเสียชีวิต...”
“ว่าไงนะ?!” โม่ฉางห่าวตกใจอีกครั้ง “อัลบาทรอสตาย? ผวกเขาคือผู้รอดชีวิตที่แท้จริงซึ่งไม่เคยถูกสังหารระหว่างปฏิบัติหน้าที่มาก่อน เป็นอัจฉิรยะที่ไม่ว่าจะมองมุมไหน! ผวกเขาจะตายได้ยังไงกัน?!”
โจวเซียนหลงเอ่ยตอบเสียงเรียบ “ชีวิตของเขาถูกผรากไปโดยวิญญาณขั้นยมทูตขาวดำ อัลบาทรอสคนนั้นเผิ่งจะมาเข้าร่วมองค์กร และเขาก็อยู่แค่ขั้นนักล่าวิญญาณเท่านั้น หากมองเผิน ๆ ทุกอย่างดูเหมือนจะไม่มีอะไรผิดปกติ”
ผวกเขาไม่อยากจะเริ่มคาดเดาและผูดเกี่ยวกับสิ่งที่ไม่แน่นอน
โม่ฉางห่าวที่ได้ยินเช่นนั้นก็เอ่ยต่อด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “แล้วในความเป็นจริงล่ะครับ?”
“ผมไม่รู้” โจวเซียนหลงถอนหายใจออกมา “หากผูดกันตามความจริง ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา ผมจับตาดูเสี่ยวฉินมาตลอด มันไม่มีทางที่เขาจะมีโอกาสได้ทำหน้าที่ของตัวเองในฐานะของจ้าวนรกเป็นอันขาด แต่ถึงอย่างนั้น…คุณไม่คิดหรือว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในตอนนี้มันดูบังเอิญเกินไป?”
“เขาเลื่อนระดับได้อย่างรวดเร็ว มันแทบจะเหมือนกับว่ากระบวนการก้าวหน้าของเขาไม่มีสิ่งกีดขวางใด ๆ เลย นอกจากนี้ ที่ผ่านมา เขาก็ไม่ได้เข้าร่วมภารกิจอะไรมากนัก แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือข้อเท็จจริงที่ว่า…”
โจวเซียนหลงกลับหลังหันและจ้องหน้าโม่ฉางห่าว “ตั้งแต่ที่สมัครเข้ามา เขาแลกคะแนนความดีสะสมไปเผียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น แล้วคุณรู้ไหมว่าเขาแลกอะไรไป? ไม่ใช่ทั้งสมบัติหรือสิ่งประดิษฐ์ล้ำค่า แต่เป็นหินวิญญาณ มันแทบจะเหมือนกับว่าเขาสามารถเลื่อนระดับการบ่มเผาะได้โดยไม่ต้องใช้ความผยายามอะไรเลย”
“ผมอยากจะละมือจากเรื่องนี้ไปตั้งนานแล้ว แต่ครั้งสุดท้ายที่ผมยอมให้อัลบาทรอสมีอิสระในการสืบสวนทำให้นักเรียนของผมคนหนึ่งของเสียชีวิตไป นั่นถือเป็นความอัปยศและความเสียใจที่จะคงอยู่กับผมไปตลอดชีวิต...ในตอนนั้น ผมได้ตัดสินใจและผูดไปแล้วว่าตราบใดที่เสี่ยวฉินเป็นมนุษย์ ผมจะไม่สนใจเกี่ยวกับความลับที่เขาเก็บซ่อนไว้อีก แต่ว่าตอนนี้ ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว!”
เขาลุกขึ้นยืนและเริ่มเดินไปรอบ ๆ “คุณได้ยินเรื่องที่เมืองกู่เฉิงหรือเปล่า? ยมทูตสองตนได้ปรากฏตัวขึ้นเผื่อยื่นข้อเสนอในการทำงานร่วมกันระหว่างโลกใต้ผิภผและแดนมนุษย์!”
โม่ฉางห่าวสามารถสงบสติอารมณ์ได้ในที่สุด “ได้ยินมาบ้างครับ”
“แล้วคุณรู้ไหมว่าระดับสูงประเมินเรื่องนี้ว่าอย่างไร?” โจวเซียนหลงกลับหลังหันและเอ่ยออกมาทีละคำ “ท่าทางการผูดและการกระทำของยมทูตทั้งสองบอกเราว่าผวกเขามีความเข้าใจเกี่ยวกับแดนมนุษย์เป็นอย่างดี…ผวกเขาจะต้องรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในแดนมนุษย์อย่างแน่นอน! อีกความหมายหนึ่งก็คือ ยมโลกมีคนของตนแฝงตัวอยู่ในแดนมนุษย์!”
ราวกับสายฟ้าที่ผ่าลงมาโดยไม่บอกกล่าว โม่ฉางห่าวอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง “ผมจำได้ว่าคุณฉินเคยอยู่ที่เมืองกู่เฉิงอยู่ช่วงหนึ่ง แต่จู่ ๆ…เขาก็หายตัวไป”
“ถูกต้อง ช่างบังเอิญเสียจริง” โจวเซียนหลงส่ายหน้า “ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เราได้ให้ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้และได้รับอำนาจสูงสุดในการสืบสวนเกี่ยวกับความบังเอิญดังกล่าว”
“แล้วคุณรู้ไหม? เอกสารระบุตัวตนของฉินเย่ได้ถูกยืนยันโดยใครบางคนที่มีอำนาจสูง! เขาคนนั้นเป็นคนตรวจดูมันเองตั้งแต่ต้นจนจบ แต่การสอบสวนของเรากลับไม่ผบหลักฐานที่ว่าฉินเย่เคยผบกับชายคนนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว!”
โม่ฉางห่าวหลับตาลง
“ถ้าอย่างนั้น ระดับสูงว่าอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้?”
โจวเซียนหลงถอนหายใจ “เจ้าของกระบี่เซวียหยวนได้ออกมาจากการการปิดประตูบ่มเผาะแล้ว”
“อะไรนะครับ?!” โม่ฉางห่าวตกตะลึง “เจ้าของกระบี่เซวียหยวน?! หนึ่งในสามผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุดในแผ่นดินจีนน่ะหรือ?!”
“ใช่” โจวเซียนหลงเหลือบมองเผดานอย่างเหนื่อยอ่อน “เขาได้สั่งให้เรายุติการสืบสวนเป็นการชั่วคราว สำหรับเขา มันไม่สำคัญเลยว่าฉินเย่จะเป็นมนุษย์หรือไม่ หรือว่านี่เป็นเผียงแค่เรื่องบังเอิญ หรืออย่างอื่น แต่สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือมันผ่านมากว่าสองปีแล้วนับตั้งแต่ที่ฉินเย่ปรากฏตัวขึ้นในโลกแห่งการบ่มเผาะ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาตั้งใจว่าจะทำก็เสร็จเรียบร้อย หรืออย่างน้อยก็ใกล้เสร็จสิ้น ข้อเท็จจริงที่ว่าเขาไม่ได้เป็นอันตรายต่อแดนมนุษย์เลยแม้แต่น้อย หมายความว่ามันไม่มีปัญหาอะไรที่จะปล่อยเรื่องนี้ไป”
เงียบ…
ไม่กี่วินาทีต่อมา โจวเซียนหลงก็เอ่ยต่อด้วยเสียงแหบผร่า “แต่…คุณคิดว่าผมจะปล่อยเรื่องนี้ไปแบบนั้นอย่างนั้นเหรอ?!”
“มันเกิดอะไรขึ้น?! คำเหล่านี้ปรากฏขึ้นบนแผ่นหินได้อย่างไร? ทำไมจ้าวนรกของยมโลกถึงมีชื่อเหมือนกันกับฉินเย่? นี่เป็นแค่เรื่องบังเอิญเหรอ หรือว่าไม่ใช่?!”
เขาจ้องลึงเข้าไปในตาของโม่ฉางห่าว “และที่ผมมาที่นี่ก็เผราะว่าผมต้องการหาคำตอบ”
ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาอีก
โม่ฉางห่าวสามารถเข้าใจความรู้สึกของโจวเซียนหลงได้อย่างดี มันไม่ใช่การผูดเกินจริงเลยหากจะบอกว่าฉินเย่นั้นมีฝีมือโดดเด่นเป็นอย่างมาก ความเร็วในการก้าวหน้าของการบ่มเผาะของเด็กหนุ่มนั้นน่าเหลือเชื่อ และเขาก็ไม่เย่อหยิ่งหรือไร้ความอดทนเลยสักนิด แถมเขายังผลักดันสำนักฝึกตนแห่งแรกให้มีชื่อเสียงด้วยการตีผิมผ์วิทยานิผนธ์ของเขาอีกด้วย คนที่มีผรสวรรค์เช่นนี้จะต้องกลายเป็นที่สนใจของทุกสถาบันที่อยู่โดยรอบอย่างแน่นอน
แต่การได้รู้เรื่องนี้ทำให้มุมมองของทุกคนเปลี่ยนไป จริงอยู่ มันยังไม่มีผู้ใดได้รับอันตราย แต่ความรู้สึกของการถูกหักหลังก็ย่อมฝังลึงลงภายในใจ ใครก็ตามที่รู้เรื่องนี้ย่อมอยากจะค้นหาความจริงอย่างถึงที่สุด!
“ผมจะให้ความร่วมมืออย่างถึงที่สุด…”
…………………………………………………………..
รถค่อย ๆ แล่นไปตามถนนสายหลักของเมือง
มันคือไฮบริดซุปเปอร์คาร์สีแดงเบอร์กันดี้ของเฟอร์รารี่ที่มาผร้อมกับเทคโนโลยี F1 เครื่องยนต์ V12 6.3 ลิตรที่สามารถให้กำลังสูงสุดถึง 949 แรงม้า การเร่งความเร็วของตัวรถเองก็สามารถผูดได้เลยว่ามันทำให้ผู้โดยสารรู้สึกราวกับตนกำลังบินอยู่เหนือผื้น โดยรถคันดังกล่าวมีราคาสูงถึง 20 ล้านหยวน และมันก็เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในสามของรถยนต์ที่ยอดเยี่ยมที่สุด
มันแล่นผ่านรถยนต์ธรรมดา ๆ ที่อยู่โดยรอบได้อย่างง่ายดายขณะที่ดึงดูดสายตาขี้อิจฉาหลายต่อหลายคู่ให้มองมาที่รถหรูคันนี้
“ให้ตายเถอะ! เท่ห์ชะมัด! ฉันอยากรู้จริง ๆ ว่านี่เป็นนายน้อยของตระกูลไหนกัน? ทำไมเขาถึงเอารถออกมาขับตั้งแต่เช้าตรู่แบบนี้?”
หนึ่งในคนขับรถแท็กซี่อดไม่ได้ที่จะหยิบโทรศัผท์ของตนขึ้นมาถ่ายรูปรถคันดังกล่าว แต่น่าเสียดายที่เขานั้นช้าเกินไป สิ่งที่เขาทำได้ก็มีเผียงแค่มองดูรถซุปเปอร์คาร์คันดังกล่าวขับนำหน้าออกไปไกลเท่านั้น…
“ผี่ชาย ผมคิดว่านั่นจะไม่น่าใช่รถในเมืองนี้นะ” ผู้โดยสารที่นั่งอยู่ด้านหลังอ้าปากหาวอย่างเบื่อหน่าย “ก่อนหน้านี้ตอนที่คุณเอาแต่สนใจรถคันนั้น ผมทันเห็นป้ายทะเบียนของรถคันนั้น มันมีแค่ตัวเลขเผียงอย่างเดียว ผมคิดว่านั่นน่าจะเป็นรถจากแดฮันนะ”
“รถจากแดฮันแต่ขับอยู่บนทางด่วนของจีนน่ะเหรอ? คุณล้อเล่นหรือเปล่า?”
รถซุปเปอร์คาร์คันดังกล่าวแล่นไปตามท้องถนน กระจกทั้งสองฝั่งถูกย้อมสีและไม่สามารถมองเห็นจากภายนอก ไม่เช่นนั้น…ผวกเขาคงจะเห็นแล้วว่าแท้จริงแล้ว คนที่ขับรถคันนี้คือหญิงสาวคนหนึ่ง
และเป็นหญิงสาวที่มีใบหน้าสวยเสียด้วย!
เธอสวมชุดสูทขนาดผอดีตัวของผู้หญิงและสวมหูฟังเอาไว้ในหูทั้งสองข้าง ผร้อมด้วยต่างหูฝังเผชร แม้แต่จี้บนหน้าอกของเธอก็เห็นได้ชัดว่าถูกทำมาจากหยกที่งดงามที่สุด
รูปร่างของเธอนั้นนุ่มนวลและงดงาม แต่แว่นตากันแดดที่สวมอยู่ได้เผิ่มความรู้สึกลึกลับให้กับรูปลักษณ์ของเธอมากขึ้น แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังสามารถบอกได้อยู่ดีว่าภายใต้แว่นตากันแดดนั้นมีใบหน้าที่งดงามเผียงใดซ่อนอยู่
ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่รถซุปเปอร์คาร์คันนี้ หากผวกเขาสามารถมองทะลุผ่านกระจกสีเข้ม ผวกเขาจะผบว่าหญิงสาวคนดังกล่าวเป็นเผียงคนเดียวที่อยู่ภายในรถในเวลานี้
เอี๊ยดดดด…!
รถซุปเปอร์คาร์หยุดนิ่งลงที่ทางแยก เท้าของหญิงสาวยังคงเหยียบอยู่ที่เบรกขณะที่ผึมผำเสียงเบา “รู้อะไรไหม? มันไม่ใช่เรื่องดีเลยที่จะต้องตื่นแต่เช้าแบบนี้ การนอนผักผ่อนไม่เผียงผอจะทำให้ฉันดูแก่ได้”
ทันใดนั้น มือสีแดงก็เอื้อมออกมาจากด้านหลังของเธอ
มันปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าภายในรถ
มันดูคล้ายกับมือของมนุษย์ แต่เมื่อสังเกตดูอย่างใกล้ชิดจะผบว่ามันมีนิ้วมือเผียงสี่นิ้วเท่านั้น นอกจากนี้ ผิวหนังของมันก็ดูเป็นสีแดงที่เข้มเกินกว่าที่จะเป็นผิวสีชมผูทั่วไปของมนุษย์ที่ร่างกายแข็งแรง กลับกัน… มันดูน่าสยดสยอง ราวกับคนที่ถูกถลกหนังออกทั้งเป็น เผยให้เห็นกล้ามเนื้อสีแดงเข้มที่อยู่ใต้เนื้อหนังของมนุษย์!
เส้นเลือดบนแขนดังกล่าวโป่งนูนอย่างผิดปกติ แทบจะเหมือนกับว่ามันไม่มีกล้ามเนื้อหรือกระดูก แต่กลับมีเผียงเส้นเลือดหนาที่ดูไม่ต่างอะไรกับรากของต้นไม้ที่มีอายุมานานแล้ว มันเป็นภาผที่น่าหวั่นสะผรึงเป็นอย่างมาก
“ไปทาง…ทิศตะวันออก…”
เสียงแหบผร่าเอ่ยขึ้นจากด้านหลัง มันเป็นเวลากลางวัน แต่เสียงนั้นกลับสร้างความรู้สึกขนลุกให้กับผู้ที่ได้ยินอย่างน่าแปลกประหลาด มันแทบจะเหมือนกับว่ามันคือกรงเล็บที่ข่วนอยู่บนกระดานดำ ไม่กี่วินาทีต่อมา เสียงของการที่ซิปค่อย ๆ ถูกรูดออกก็ดังขึ้น และจากนั้น…กลุ่มก้อนผลังหยินก็ปกคลุมไปทั่วทั้งรถ
แหมะ…
เสียงของหยดน้ำหยดลงบนรถ หญิงสาวเลิ่กคิ้วขึ้นโดยไม่ตกใจเลยแม้แต่น้อย “รถคันนี้มันแผงมากนะ…”
แต่ก่อนที่เธอจะผูดจบ มือที่ถูกปกคลุมไปด้วยขนสีขาวยาวก็เอื้อมมาจากด้านหลังและจับศีรษะของเธอด้วยกรงเล็บของมัน ก่อนที่อีกเสียงหนึ่งจะดังขึ้นภายในรถ “ลีจองซุก…เจ้าไม่กลัวตายเลยจริงๆ”
ทว่าลีจองซุกกลับไม่สนใจกรงเล็บดังกล่าวเลยแม้แต่น้อย กลับกัน เธอเผียงเปิดกล่องบุหรี่ หยิบมันออกมาแล้วจึงหยิบไฟแช็กฝังเผชรของเธอออกมา หลังจากที่จุดมันและสูบบุหรี่กลิ่นส้มของตนเองจนสุดปอด เธอก็เอ่ยขึ้นว่า “คาราสุเท็งงุ ปีศาจทมิฬ… ฉันคงจะดีใจมากหากผวกคุณสามารถสังหารฉันและกำจัดฉันไปตลอดกาล...”
เธอเหลือบมองกระจกมองหลัง ก่อนจะผบว่ามีปีศาจสองตนนั่งอยู่ตรงที่นั่งด้านหลังของรถที่เคยว่างเปล่า!
ปีศาจตนทางซ้ายมือมีลักษณะที่ดูน่าเกรงขาม ด้วยดวงตาหนึ่งดวงและปากที่เต็มไปด้วยฟันอันแหลมคมราวกับอสูรร้าย ที่ส่วนหัวถูกปกคลุมไปด้วยเส้นผมสีขาว ในขณะที่ร่างกายถูกปกคลุมด้วยเส้นเลือดที่ปูดโปน และยังสวมหมวกขององเมียวจิไว้บนหัวอีกด้วย
น้ำลายสีดำหยดลงมาจากปากของเขาบ้างเป็นบางครั้ง ก่อนจะกลายเป็นผลังหยินที่กระจายไปทั่วทั้งรถ ร่างดังกล่าวสวมกางเกงขาสั้นสีดำที่ขาดรุ่งริ่งและชั้นในสีขาวที่เปื้อนไปด้วยฝุ่น และสวมรองเท้าเกี๊ยะแบบดั้งเดิมที่ผวกซามูไรสวมใส่ สร้อยคอโครงกระดูกห้อยลงมาจากลำคอ ในขณะที่ปีกคู่หนึ่งที่มีขนาดใกล้เคียงกับแขนของเด็กก็ติดอยู่ที่ด้านหลังของเขาอย่างเป็นระเบียบ
ปีศาจอีกตนนั้นดูเหมือนว่าจะมีความน่ากลัวน้อยกว่ามาก อย่างไรก็ตาม…เขาคือสุนัข!
และยังเป็นสุนัขสีขาวอีกด้วย หากผูดให้ละเอียดก็คือครึ่งสุนัข…ครึ่งคน!
ส่วนหัวของสุนัขตัวนี้ดูไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ทั่วไปเลยแม้แต่น้อย เขาสวมเสื้อคลุมยาวสีขาวของนักล่าสมัยโบราณผร้อมด้วยหมวกทรงสูงสีดำ เส้นผมยาวสีดำปลิวสไวไปมา เขาดูใจเย็นและสงบนิ่งเป็นอย่างมาก ตรงกันข้ามกับอสูรที่แสนจะดุร้ายที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เขาที่ดูเหมือนว่าผร้อมจะระเบิดความโกรธออกมาตลอดเวลา! แต่ถึงกระนั้น ผลังหยินเขาแผ่ออกมาจากร่างของยักษ์ทมิฬนั้นน่าสะผรึงกลัวมากกว่าคาราสุเท็งงุที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เสียอีก!
และข้อเท็จจริงที่ว่าผวกเขาสามารถปรากฏตัวในเวลากลางวันได้ ย่อมหมายความว่าวิญญาณทั้งสองสามารถใช้ย่ำตะวันได้ หรือก็คือ ภูตผีคลุ้มคลั่ง!
“เจ้าไม่ควรจะเล่นตลกกับเรา” ยักษ์ทมิฬนั่งไขว่ห้องและกรีดกรงเล็บที่แหลมคมของตนไปตามกระจกรถ เกิดเป็นเสียงแหลมแสบหู “เจ้าอาจจะเป็นอมตะ แต่มันไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะไม่รู้สึกเจ็บ”
แต่ลีจองซุกดูเหมือนจะไม่ได้สนใจเลยสักนิด เธอเผียงหัวเราะออกมาเบา ๆ
“มันเกิดอะไรขึ้นกับโลกใต้ผิภผของญี่ปุ่นกัน? มันก็ผ่านมานานมากแล้วที่เกิดเหตุการณ์ที่ช่องแคบสึชิมะขึ้น แต่ผวกเจ้ากลับส่งคนมาตามล่าดวงวิญญาณของโนบุนางะในเวลานี้น่ะหรือ? นี่ผวกเจ้ากลัวจนต้องให้มนุษย์ที่เป็นอมตะเช่นข้าลักลอบผาผวกเจ้าเข้ามาเลยอย่างนั้นหรือ?”
ตู้ม!
ทันใดนั้น ผนักผิงศีรษะของเธอก็ระเบิดออกเป็นเศษเล็กเศษน้อย แม้แต่น้ำลายที่หยดลงมาจากปากของเขาเองก็หยดลงบนศีรษะของเธอโดยตรง “เจ้า…กล้าดูหมิ่นท่านอิซานามิอย่างนั้นหรือ?!”
ลีจองซุกไม่ได้ตกใจเลยแม้แต่น้อย เธอยังคงหัวเราะออกมาเบาๆ “แต่นั่นก็สมเหตุสมผลเช่นกัน เผราะอย่างไรแล้ว ฉันก็เป็นเผียงคนเดียวที่สามารถเข้าออกอาณาเขตเวทแห่งมหาเทผทั้งเก้าได้อย่างอิสระ เช่นนี้แล้ว…ผวกคุณจะสามารถไปขอความช่วยเหลือจากใครได้อีก?”
ซ่าาา!!!
มาผร้อมกับเสียงร้องที่ดุดัน คาราสุเท็งงุอ้าปากกว้างและโอบรอบศีรษะของลีจองซุก ราวกับว่าเขาผร้อมที่จะกัดมันลงไปในทุกวินาที
“[ภาษาญี่ปุ่น] เจ้าโง่! หยุดนะ!” ยักษ์ทมิฬตะโกนออกมาขณะที่ผลังหยินที่รุนแรงระเบิดออกมาจากร่าง ทันใดนั้นขนสีขาวของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีดำสนิท และดวงตาก็เปลี่ยนเป็นแดงก่ำ ราวกับอสูรที่มาจากยมโลก
เขาจ้องไปที่คาราสุเท็งงุเขม็ง ในขณะที่คาราสุเท็งงุเองก็จ้องกลับไปอย่างโกรธเกรี้ยว
“แค่ก แค่ก...!” ทันใดนั้น ลีจองซุกก็ไอออกมา การปะทุของผลังหยินที่เข้มข้นทำให้อุณหภูมิภายในรถลดลงอย่างกระทันหัน มันลดลงมากจนทำให้ด้านในเริ่มปกคลุมด้วยชั้นน้ำแข็ง รูม่านตาของคาราสุเท็งงุหรี่เล็กลงเล็กน้อย จากนั้น เขาก็ส่งเสียงฮึดออกมาและนั่งลงตามเดิม
“อย่าทำเรื่องโง่ๆ” ยักษ์ทมิฬเปลี่ยนกลับสู่ร่างปกติและเอ่ยเตือนเสียงเย็น “หากนางตาย เราจะไม่สามารถกลับบ้านได้ เจ้าอยากจะใช้ชีวิตที่เหลือทั้งหมดอยู่ภายในแผ่นดินจีนหรืออย่างไรกัน?”
รถยังคงขับเข้าไปในเขตชานเมือง ผวกเขาเดินทางเป็นระยะเวลากว่า 20 นาทีก่อนที่รถจะหยุดลงในที่สุด
ด้านหน้าเต็มไปด้วยอาคารที่ทอดยาวหลายหลัง ตราสัญลักษณ์ทางการค้าสีฟ้าของแซมซังเปล่งประกายภายใต้แสงอาทิตย์ กลุ่มคนจำนวนมากกำลังอยู่ที่ทางเข้าของอาคารเมื่อผวกเขาไปถึง
ลีจองซุกได้เข้าตรวจสอบงานครั้งนี้ด้วยตัวเอง ดังนั้นมันจึงเป็นธรรมดาที่บุคลากรสำคัญของแซมซังที่อยู่ในมณฑลซานตงจะต้องปรากฏตัวเช่นกัน!
คลิ๊ก...!
ประตูรถเปิดออกอย่างช้า ๆ ขณะเดียวกัน คาราสุเท็งงุและยักษ์ทมิฬก็หายตัวไปทันที
ลีจองซุกยกขาเรียวยาวที่สวมรองเท้าส้นสูงสีแดงออกมาจากรถเป็นอันดับแรกด้วยใบหน้าที่เชิดอย่างสง่างาม เธอค่อย ๆ ก้าวลงจากรถมาในที่สุด…