ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 465: ลีจองซุก (1)
บทที่ 465: ลีจองซุก (1)
เสียงของเขาทุ้มต่ำและแหบพร่า เห็นได้ชัดเลยว่ากำลังข่มกลั้นอารมณ์เป็นอย่างมากเนื่องด้วยกลัวว่ากลุ่มผู้คุ้มกันที่อยู่ด้านนอกจะได้ยินในส่งที่ตนพูด
ภายในพระอุโบสถเงียบสงัดจนน่าขนลุก…
ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ทุกคนต่างมองไปรอบ ๆ ขณะที่ภาพเดียวกลับผุดขึ้นมาภายในหัวของพวกเขา ทั้งสามกัดริมฝีปากของตัวเองด้วยความหวาดกลัว
“และถ้าเธอคือปีศาจ แล้วทำไม..เทพเจ้าและปีศาจจะมีอยู่จริงไม่ได้?”
หลังจากผ่านไปพักใหญ่ ผู้อำนวยการคิมก็เอ่ยต่ออย่างหวาดระแวง “พวกคุณไม่ได้ติดตามข่าวที่เกิดขึ้นภายในจีนบ้างเลยหรือไง? เหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่แพร่ระบาดภายในจีนได้เริ่มดึงความสนใจจากประเทศอื่น ๆ แล้ว ผมคิดว่า…เธอจะต้องเป็นวิญญาณร้ายที่หลบหนีมาจากเงื้อมมือของยมโลกอย่างแน่นอน! ดังนั้นตราบใดที่พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ต้องการ ท่านจะต้องสามารถนำวิญญาณของเธอไปพร้อมกับตนได้แน่!”
“ดังนั้น ผมจึงขอให้พวกคุณช่วยสวดอ้อนวอนกับผมอย่างจริงจัง!” เขาประกบมือเข้าหากันอีกครั้ง และหลับตาลง “อย่าลืมว่านี่คือโอกาสที่ไม่ได้มาถึงง่าย ๆ! คุณคิดว่าพวกเราสามารถปกปิดคำสั่งพวกนี้จากสายตาของเธอเป็นเวลานานได้อย่างนั้นเหรอ?!”
ไม่มีใครลังเลอีกต่อไป พวกเขาหลับตาลงและเริ่มสวดต่อเบา ๆ แต่ทันใดนั้น เสียงบางอย่างก็ดังมาจากประตูทางเข้าของพระอุโบสถ
“เกิดอะไรขึ้น?” ผู้อำนวยการคิมลืมตาขึ้นด้วยความตื่นตระหนกและรีบหันกลับไปมอง ก่อนจะต้องพบว่า…
ปั้ง! ปั้ง! ปั้ง! ประตูทางเข้าทุกบานถูกปิดลงอย่างแรง!
และนี่ก็ไม่ใช่ฝีมือของมนุษย์เลยแม้แต่น้อย อีกนัยหนึ่งก็คือ พวกมันปิดลงด้วยตัวของมันเอง!
ฟิ้ว~…เสียงอู้อี้ของใบไม้ดังขึ้นให้ได้ยินจากด้านนอก ตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบ สายลมที่อ่อนโยนด้านนอกได้เปลี่ยนเป็นพายุที่รุนแรง และเหล่าผู้คุ้มกันที่ยืนประจำการอยู่ต่างพากันล้มลงกับพื้น!
“นี่มันอะไรกัน…” ผู้อำนวยการคิมแน่นิ่งไป ก่อนจะหันกลับมาและจ้องไปที่รูปปั้นของพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ เขารีบคุกเข่าโค้งคำนับทันที “พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ผู้เปี่ยมไปด้วยความเมตตา นี่คือคำตอบของท่านอย่างนั้นหรือ? ใช่ท่านหรือไม่?!”
ไร้ซึ่งคำตอบ...
แต่ในเสี้ยววินาทีต่อมา แสงไฟทั้งหมดภายในพระอุโบสถก็ดับลงพร้อมกัน!
ฟิ้ว!
สายลมกระโชกแรงพัดเข้ามาภายในพระอุโบสถผ่านทางช่องระบายอากาศของอาคารโบราณ มันเย็นยะเยือกกว่าปกติ และทั่งทั้งอุโบสถก็ถูกปกคลุมไปด้วยพลังหยินสีดำสนิทในฉับพลัน
อึก...!
ผู้อำนวยการคิมตัวสั่นเทาและรีบลุกยืนขึ้น ในขณะที่ชายอีกสองคนก็รีบเดินมาใกล้กับเขา ทั้งสองตัวสั่นเทาขณะจ้องมองพลังเหนือธรรมชาติที่เกิดขึ้นตรงหน้า แสงสว่างดับมืดลงพร้อมกัน รวมถึงประตูหน้าต่างทั้งหมดก็ถูกปิดลง มันเห็นได้ชัดเลยว่า…พวกเขาได้ประสบความสำเร็จในการอัญเชิญบางอย่าง!
“ไม่ต้องกลัว… พวกเรากำลังยืนอยู่ที่ใต้รูปปั้นของพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์!” ผู้อำนวยการคิมกัดฟันแน่น “ต่อให้มีบางอย่างอยู่ที่นี่กับเรา มันก็ไม่กล้าทำอะไรแน่!”
ทั้งสามมองไปรอบ ๆ ตัวด้วยความหวาดกลัว ทันใดนั้นเอง ชายที่ยืนอยู่ฝั่งซ้ายมือก็ตัวสั่นเบา ๆ ขณะที่เขาจ้อมมองไปยังรูปปั้นของพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ สามวินาทีต่อมา ฝ่ามือของเขาเปียกชุมไปด้วยเหงื่อ พร้อมกับเสียงกรีดร้องที่ดังลั่น เขาทรุดตัวคุกเข่าลงกับพื้นเสียงดัง
ผู้อำนวยการคิมรีบหันไปมองอีกฝ่ายอย่างเดือดดาลและพึมพำเสียงกระซิบ “เป็นอะไรของคุณ?! ลุกขึ้น!”
แต่ถึงกระนั้น ชายคนดังกล่าวกลับนิ่งเงียบไปโดยสมบูรณ์ หลังจากผ่านไปสองสามวินาที ในที่สุดเขาก็กลับมาได้สติ และรีบกอดขาของผู้อำนวยการคิมเอาไว้ขณะที่เอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ “ผะ ผะ ผู้อำนวยการคิม… คะ…คุณลองมองไปที่ระ…รูปปั้น!”
รูปปั้น?
ผู้อำนวยการคิมที่ได้ยินเช่นนั้นก็รีบเงยหน้าขึ้นดู และเขาก็พบว่า…
รูปปั้นของพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ได้ลืมตาขึ้นตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบ!
แต่สิ่งที่อยู่ด้านในไม่ได้ทำมาจากดินเหนียว หรือทองที่เปล่งประกายสุกใส กลับกัน มันกลับเป็นดวงตาสีดำสนิทคู่หนึ่ง!
“อ๊ากกกกกก!!!” ชายทั้งสามกรีดร้องออกมาพร้อมกันขณะที่ตะเกียกตะกายถอยหลังจนชนเข้ากับเสาที่อยู่ใกล้ ๆ ก่อนที่ะพวกเขาจะพบว่าแผ่นหลังของตัวเองเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ ผู้อำนวยการคิมกอดเสาไว้ด้วยมือทั้งสองข้างและพึมพำกับคนที่เหลือด้วยเสียงที่สั่นเทา “พวกคุณ…แน่ใจใช่ไหมว่าผู้ที่เราอัญเชิญมาคือพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์?”
แต่ก่อนที่ทั้งสองจะได้ตอบ ริมฝีปากของรูปปั้นพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ก็เปิดออกและเริ่มพูด “มนุษย์เอ๋ย…พวกเจ้าอัญเชิญข้ามาด้วยเหตุใด?”
มนุษย์?
หัวสมองของผู้อำนวยการคิมว่างเปล่าด้วยความหวาดกลัว เขากะพริบตาปริบ ๆ ไปที่รูปปั้นตรงหน้า หลายวินาทีต่อมา เขารีบพุ่งตัวไปด้านหน้าอย่างบ้าคลั่งและคุกเข่าลงเพื่อโค้งคำนับอีกครั้งขณะที่เอ่ยด้วยเสียงที่สั่นเทา
“ผู้อำนวยการและกรรมการบริหารของกลุ่มแซมซัง คิมแจฮวาน คำนับท่านเทพ!”
นี่มันปลาตัวใหญ่เลยนะ!
ตอนนี้จิตวิญญาณของเขากำลังสิงอยู่ภายในรูปปั้นของพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ ก่อนหน้านี้ ตอนที่มือของเขาสัมผัสกับหน้าจอพลังหยินตรงหน้า เขาก็รู้สึกราวกับว่าตัวเองถูกดูดมาที่นี่ด้วยแรงดึงดูดมหาศาล จากนั้นไม่กี่นาทีต่อมา เขาก็มองดูปฏิกิริยาของชายทั้งสามมาโดยตลอด…
หากพูดกันตามตรง เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองจะสามารถสื่อสารกับกลุ่มคนตรงหน้าได้อย่างไร ทว่าเมื่อครู่นี้เขาก็สังเหตุเห็นว่าทั้งร่างกายของมนุษย์ธรรมดาและรูปปั้นของพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์นั้นมีประกายแสงสีทองจาง ๆแผ่ออกมาเหมือนกัน ทันใดนั้น สัญชาตญาณบางอย่างผุดขึ้นมาภายในหัว บอกเขาว่าหากเขาสัมผัสมัน เขาจะสามารถเข้าไปอยู่รูปปั้นดังกล่าวได้
การกระทำเป็นไปตามสัญชาตญาณของตัวเอง เขาเอื้อมมือไปสัมผัส และทันใดนั้นเขาก็พบว่าตัวเองเข้ามาอยู่ในภาชนะที่เป็นรูปปั้นนี้เสียแล้ว
เพราะไม่ว่าอย่างไร เขาก็ไม่มีทางสัมผัส หรือเข้าไปอยู่ในร่างของมนุษย์ผู้ชายพวกนั้นเด็ดขาด!
แต่ถึงกระนั้น…เขาก็ต้องมึนงงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น…
กลุ่มแซมซังคือหนึ่งในเสาหลักทางเศรษฐกิจของแดฮัน ในขณะที่ผู้อำนวยการกรรมการบริหารเองก็เป็นหนึ่งในระดับสูงขององค์กรอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ทำไมพวกเขาถึงมาที่จีนและร้องขอความช่วยเหลือจากเทพต่างชาติกัน? หากพูดตามหลักเหตุผลแล้ว ไม่ใช่หลิวอวี้ควรจะเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้หรอกหรือ? เพราะว่าอีกฝ่ายเองก็นับว่าเป็นขั้นตุลาการนรกอย่างแท้จริงเช่นกัน ดังนั้น…เขาย่อมมีอำนาจในการตอบรับต่อเสียงสวดอ้อนวอนของผู้คนของตนเองอยู่แล้ว
หรือบางที…นี่อาจจะเป็นความสามารถเฉพาะของเรา? บางทีนี่อาจจะเป็นสิ่งที่อาร์ทิสเคยพูดถึงตอนที่บอกว่ามีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างที่ต้องได้รับการพูดถึงอย่างละเอียด แต่ไม่คิดเลยว่าเขาจะมีความสามารถในการได้ยินเสียงสวดภาวนาของเหล่ามนุษย์ นี่มัน…น่าทึ่งสุด ๆ ไปเลย บางที เขาควรจะสลักอนุสาวรีย์ให้ตัวเองในแดนมนุษย์ จากนั้นพร้อมด้วยราชินีน้ำแข็งในอ้อมแขนซ้าย และเด็กสาวข้างบ้านในอ้อมแขนขวา เขาก็จะดื่มด่ำไปกับความรุ่งโรจน์จากการนมัสการของเหล่ามนุษย์…ฮ่า ๆๆๆๆ!…ช่างเป็นความคิดที่สุดยอดจริงๆ…
ในขณะที่ความคิดของเขาเริ่มจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่แปลกประหลาด คิมแจฮวานก็รีบเอ่ยต่อ “นอกเหนือจากนั้น… ผมยังเป็นลูกเขยของทายาทของกลุ่มผู้ก่อตั้งกลุ่มแซมซังอีกด้วย! ดังนั้น ตราบใดที่ท่านตกลงช่วยเหลือเรา การตอบแทนในรูปแบบใด ๆ ย่อมไม่เป็นปัญหา!”
ฉินเย่เก็บความคิดของตัวเองเข้าชั้นไปครู่หนึ่งก่อนจะมองไปที่อีกฝ่าย
ขอแก้ไขสิ่งที่พูดไปก่อนหน้านี้ ชายผู้นี้เป็นปลาที่มีขนาดใหญ่กว่าที่เขาคิดเอาไว้ตอนแรกเสียอีก!
กลุ่มแซมซังคือหนึ่งในเสาหลักทางเศรษฐกิจของแดฮัน ด้วยเหตุนี้ เราจึงสามารถพูดได้เลยว่าระดับผู้บริหารของพวกเขานั้นมีอำนาจมากกว่าเจ้าหน้าที่รัฐบางคนเสียอีก นอกจากนั้น ตามบันทึกแล้ว…กลุ่มแซมซังนั้นถูกควบคุมโดยตระกูลลีมาโดยตลอด พวกเขาถูกจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก!
คิมแจฮวานคือลูกเขยของทายาทสายตรงของตระกูลลี นอกเหนือจากความสัมผัสของเขาที่มีต่อคนอื่น ๆ ในตระกูลลีแล้ว ข้อเท็จจริงที่ว่าการแต่งงานของเขาได้รับการยอมรับโดยตระกูลลีก็ได้เป็นการรับสองถึงความสามารถและศักยภาพของเขาไปในตัวอีกด้วย ไม่คิดเลยว่าคนที่มีประวัติที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้จะเดินทางมาทำการสักการะเป็นการส่วนตัวภายในวัดที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักในแผ่นดินจีน
ฉินเย่ไม่รู้ว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหน แต่มันก็คงไม่เหมาะสมเช่นกันถ้าจะเอ่ยถามออกไปตอนนี้
เพราะอย่างไรแล้ว การรักษาภาพลักษณ์ของเขาก็คือสิ่งที่สำคัญที่สุด!
ตอนนี้เขากำลังสิงอยู่ในรูปปั้นของพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ผู้สูงส่ง นั่นจะไม่ดูแย่เกินไปหรอกหรือ?
ดังนั้น เขาจึงตอบกลับไปสั้นๆ “อืม”
คิมแจฮวานสูงหายใจเข้าช้า ๆ และกัดฟันแน่นขณะเอ่ยคำขอของตนออกไปในที่สุด “ทางกลุ่มแซมซัง และตระกูลลี…อยากจะอ้อนวอนขอความเมตตาจากท่าน และขอให้ท่านโปรดลบชื่อของคน ๆ หนึ่งออกจากสมุดแห่งความเป็นตาย…”
“ใคร?”
“ลีจองซุกครับ!!” คิมแจฮวานเค้นเสียงขณะที่เอ่ยชื่อ ๆ หนึ่งออกมา “เธอเป็นปีศาจ…เป็นวิญญาณร้ายที่หลบหนีมาจากห้วงลึกของขุมนรก! เธอไม่ใช่มนุษย์! ทั้ง ๆ ที่มีชีวิตอยู่มาเป็นเวลานานแล้ว แต่เธอกลับยังดูสาวราวกับเด็กในวัยยี่สิบต้น ๆ! ผมรู้จักเธอตั้งแต่ผมยังเด็ก แต่แม้ว่าผมจะโตขึ้น และแต่งงาน จนถึงขนาดที่หลังจากลูก ๆ ของผมเริ่มโต เธอก็ยังดูเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน! นอกจากนี้…”
เขาคลำหาบางอย่างก่อนจะหยิบรูปถ่ายสีขาวดำออกมาจากกระเป๋าเสื้อและยกมันสูงขึ้นให้อีกฝ่ายได้ดูด้วยความเคารพอย่างสูง “นี่คือ…รูปถ่ายที่ผมเจอโดยบังเอิญจากบ้านของคุณปู่ ตระกูลคิมของเราผูกขาดอุตสาหกรรมต่อเรือของแดฮัน ดังนั้นพวกเราจึงรักษาความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดกับกลุ่มแซมซังมาโดยตลอด นี่คือรูปถ่ายในวันปีใหม่ของคุณปู่ของผม…”
ขณะที่พูด รูปถ่ายดังกล่าวก็ลอยขึ้นไปอยู่ตรงหน้าของรูปปั้นพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ ชายทั้งสามอ้าปากกว้างด้วยความตกตะลึง ดวงตาของพวกเขาเปล่งประกายขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
ภายในรูปเผยให้เห็นภาพของชายวัยกลางคนสองคนแย้มยิ้มอย่างจริงใจขณะที่พวกเขานั่งอยู่ที่โต๊ะกาแฟ หญิงสาวที่ดูเหมือนจะแต่งกายด้วยชุดกระโปรงสีขาวนั่งอยู่กึ่งกลางระหว่างทั้งสอง กุมมือของทั้งคู่เอาไว้ด้วยท่วงท่าที่สง่างาม
ใบหน้าเยาว์วัยดูงดงามเป็นอย่างมาก
ในไม่กี่เสี้ยววินาทีนั้น ฉินเย่พูดอะไรไม่ออก หญิงสาวในรูปดูค่อนข้างเด็ก จากการคาดเดาของเขา อีกฝ่ายน่าจะอายุใกล้ ๆ 20 เท่านั้น เหมือนกันกับเขา
ผมตรงยาวประบ่า ดวงตากลมโต และรอยยิ้มสดใสพร้อมด้วยลักยิ้มสองข้าง ใบหน้าเช่นนี้สามารถเป็นดารานักแสดงได้อย่างง่ายดาย
แต่ถึงกระนั้น เขากลับรู้สึกว่า…มันยังมีบางอย่างที่ค่อนข้างแปลกไปเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้
โดยสัญชาตญาณ เขารีบใช้ดวงตาตุลาการในการมองดูรูปของนางอีกที และทันใดนั้น ดวงตาของเขาก็แทบจะถลนออกจากเบ้า
เงาเจ็ดเงา!
มันมีเงาเจ็ดเงายืนอยู่ด้านหลังของผู้หญิงในภาพถ่าย!
อย่างไรก็ตาม…เงาพวกนั้นกลับดูพร่าเลือนจนแม้แต่ฉินเย่ก็ไม่สามารถหาความชัดเจนของมันได้ด้วยดวงตาตุลาการของตนเอง
นี่เป็นภาพถ่ายของสิ่งเหนือธรรมชาติอย่างนั้นหรือ… เขาเลิกใช้ดวงตาตุลาการและปล่อยให้รูปถ่ายดังกล่าวลอยกลับไปอยู่ในมือของคิมแจฮวานดังเดิม “นางมีเงาหรือไม่?”
“มะ…มีครับ!” คิมแจฮวานตอบ “แต่เธอจะต้องไม่ใช่มนุษย์อย่างแน่นอน! เพราะไม่ว่าอย่างไร มันก็ไม่มีใครสามารถรักษาใบหน้าของตนเองให้เหมือนเดิมได้ตลอดระยะเวลาหลายสิบปี!”
แน่นอนว่ามันมี…ยกตัวอย่างเช่น ยมทูตที่ค่อนข้างใจร้อนอย่างเช่นเขา… เดี๋ยวก่อนนะ!!
ดวงตาของฉินเย่เป็นประกายขึ้นขณะที่เขาถามต่อ “เหตุใดเจ้าจึงมาที่แผ่นดินจีน?”
ลักษณะของนางฟังดูเหมือนกับเขาเลย!
เป็นไปได้หรือไม่ว่า–… การอนุมานที่บ้าระห่ำผุดขึ้นมาภายในใจของเขา…ลีจองซุกผู้นี้…หาใช่ใครอื่นนอกจากเซี่ยจิ่นเส้อ?
ไม่เช่นนั้น ทำไมคนพวกนี้ถึงเดินทางมาที่จีนเพื่อขอความช่วยเหลือจากพระกษิติครรภโพธิสัตว์? ทำไมพวกเขาถึงไม่ไปขอความช่วยเหลือจากเทพของแดฮัน?
คิมแจฮวานเงียบไป…
เขายังคงเงียบอยู่อย่างนั้น เห็นได้ชัดว่าภายในใจกำลังลังเลเป็นอย่างมาก แต่ไม่กี่นาทีต่อ เขาก็เงยหน้าขึ้นอีกครั้งพร้อมด้วยสายตาที่ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ “เรื่องนั้นเกี่ยวข้องกับความลับของกลุ่มแซมซังครับ แต่…ในเมื่อเรื่องดำเนินมาถึงขนาดนี้ มันก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องปกปิดอีกต่อไป!”
เขาถอยหายใจเบา ๆ “ภาพถ่ายใบนี้ถูกถ่ายในเดือนธันวาคม ปี 1938 ตั้งแต่เมื่อ 80 กว่าปีก่อน ในวันที่ 1 มีนาคม 1938 อดีตประธานกลุ่มแซมซัง ลีบยอนชอล ด้วยเงิน 30,000 วอน ได้ก่อตั้งศูนย์การค้าแซมซังขึ้น นั่นคือจุดเริ่มต้นของกลุ่มแซมซังอย่างที่พวกเราทั้งหมดรู้ และมันก็เป็นตอนนั้นเองที่ตระกูลลีเริ่มทำงานอย่างใกล้ชิดกับตระกูลคิม ชายที่อยู่ทางซ้ายมือในรูปถ่ายก็คือตัวของลีบยอนชอลเอง”
“ในตอนนั้น ลีบยอนชอลได้เดินทางมาที่จีนครั้งหนึ่ง และในระหว่างการเดินทางครั้งนั้น เขาก็ได้พบโดยบังเอิญ…” เขาเหลือบมองภาพถ่ายด้วยความรังเกียจ “กับผู้ที่เรียกว่า ‘บุตรสาวแห่งโชคชะตา’”
เขาปรายตามองชายทั้งสองที่อยู่ด้านข้าง และทั้งสองก็รีบลุกขึ้นยืนและเดินออกไปด้านนอกทันที มันเป็นตอนนั้นเองที่คิมแจฮวานลดเสียงลงและอธิบายอย่างละเอียด “ผมเองก็ได้ยินเรื่องนี้หลังจากที่เข้าร่วมกับกลุ่มแซมซังแล้วเท่านั้น… ไม่สิ หากพูดให้ถูกก็คือ ผมเพิ่งได้รู้เรื่องนี้เมื่อไม่นานมานี้”
เขาเอ่ยต่อ “ในตอนนี้ คุณลีได้เดินทางไปที่เมืองเยียนจิงเพื่อทำธุรกิจ ระหว่างทาง โรงแรมที่เขานอนพักอยู่ได้เกิดไฟไหม้ขึ้น และบังเอิญลีจองซุกก็ทำงานเป็นพนักงานภายในโรงแรมนั้นพอดี และมันก็เป็นเธอนี่เอง…ที่ช่วยคุณลีเอาไว้”
“แต่เธอ–… ในเวลานั้น คุณลีเป็นคนที่เห็นกับตาของเขาเอง–!!! เขาเห็นเธอถูกไฟเผาจนไหม้เกรียม!”
เขาสูดหายใจเข้าช้า ๆ และเอ่ยต่อเสียงเบา “แต่…เมื่อนักดับเพลิงมาถึงที่เกิดเหตุ…เธอก็กลับมามีชีวิตอีกครั้งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!”
“ท่านเชื่อหรือไม่? คน ๆ หนึ่งที่ถูกเห็นว่าถูกเผาจนตายได้ฟื้นคืนชีพกลับมามีชีวิตอีกครั้ง แต่…เธอกลับจำเหตุการณ์ในอดีตเกี่ยวกับตัวเองไม่ได้เลยสักนิดเดียว!”
เห็ดเทียนสุ่ย…
ฉินเย่รู้สึกว่าปลายนิ้วของเขาสั่นเทาเล็กน้อย
มันจะต้องเป็นเห็ดเทียนสุ่ยอย่างแน่นอน! ไม่มีสิ่งไหนที่สามารถก่อให้เกิดสิ่งเหล่านี้ได้นอกจากเห็ดเทียนสุ่ย!
คลื่นความร้อนแผ่ซ่านไปทั่วทั้งหัวใจของเขาทันที
หากพูดกันตามความจริง ชื่อลีจองซุก หรือเซี่ยจิ่นเส้อนั้นแทบจะไม่ได้มีความหมายกับเขาเลยสักยิด
แต่สมุดแห่งความตายได้ระบุว่านี่คือคนที่โชคชะตากำหนดมาให้เขา และเขาจะต้องตามหาอีกฝ่าย
แต่เขาควรจะจีบคนที่ตัวเองไม่เคยเจอกันมาก่อนได้อย่างไร?
แต่เขาก็รู้ดีว่าหากมันจะมีใครสักคนบนโลกที่สามารถเข้าใจเขาได้ มันก็จะต้องเป็นเซี่ยจิ่นเส้ออย่างไม่ต้องสงสัย!
นางจะต้องเข้าใจถึงความเปลี่ยวเหงาของชีวิตอันเป็นนิรันดร์ นางจะต้องเข้าใจความรู้สึกของการที่ต้องเห็นคนใกล้ชิดของตัวเองตายจากไปทีละคน ในขณะที่นางสามารถทำได้เพียงมองดูอยู่ห่าง ๆ ถูกสาปให้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยความเยาว์วัยที่เป็นนิรันดร์ นางจะต้องเคยประสบกับการที่ได้เห็นว่าหลุมฝังศพของญาติของตนถูกขุดขึ้นมาสำหรับโครงการพัฒนาใหม่ ๆ และนางจะต้องเข้าใจถึงความโกรธและความโศกเศร้าของการที่ไม่สามารถเก็บเถ้ากระดูกของบุคคลอันเป็นที่รักของตัวเองได้อย่างแน่นอน
การมีชีวิตอันเป็นนิรันดร์ไม่ใช่สิ่งที่น่ารื่นเริงเลยสักนิด…
มันเป็นจุดที่สูงและเย็นยะเยือก สูงจนหัวใจของพวกเขาแทบจะถูกแช่แข็งไปหมด
ด้วยการถือกำเนิดของบัตรประชาชน ฉินเย่จำเป็นจะต้องย้ายถิ่นฐานไปยังที่ต่าง ๆ ในทุก ๆ 5 ปี หากไม่ใช่เพราะผลประโยชน์ที่เขาได้ในตอนนั้น เขาอาจจะกลายเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่สูญหายของสังคมไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
มันมีคำพูดมากมายที่เขาได้เก็บไว้ในใจมาเป็นเวลานาน ความคิดที่ว่าในที่สุดก็มีคนมารับฟังความรู้สึกที่อยู่ในส่วนลึกที่สุดของหัวใจนั้นเป็นความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้อย่างแท้จริง
ผสมผสานไปด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อน ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้า ๆ และเอ่ยเสียงเบา “เล่าต่อสิ…”