ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 462: ไร้เงา (1)
บทที่ 462: ไร้เงา (1)
นักสะสมวิญญาณ?
ฉินเย่เลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัยกับชื่อที่ไม่เคยได้ยิน
แต่อย่างไรก็ตาม เขารีบนึกถึงมัจจุราชแห่งยมโลกที่ตัวเองเคยเจอที่เมืองชิงซี ในตอนนั้นมันเห็นได้ชัดเลยว่ามัจจุราชแห่งยมโลกพวกนี้พอจะรู้เรื่องบางอย่างเกี่ยวกับช่างฝีมือทั้งเจ็ดแห่งโลกใต้พิภพ ข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขามีข้อมูลที่บ่งบอกว่าผู้ที่เคยเผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านี้ในชีวิตจะไม่มีทางลืมพวกมัน แม้ว่าจะตายไปแล้วก็ตาม…
บางที…นักสะสมวิญญาณอาจจะมาจากหนึ่งในพวกนี้?
“เหตุใดพวกเขาถึงพยายามจับตัวเจ้า? แล้วข้าจะระบุตำแหน่งของพวกเขาได้อย่างไร?” ฉินเย่ถาม
นักสะสมวิญญาณ…เขามั่นใจว่าตัวเองสามารถรู้เรื่องเกี่ยวกับเมืองชางหลานจากปากของอีกฝ่ายได้!
ตราบใดที่ขงโม่ยังมีชีวิต มณฑลซานตงก็ยังไม่สามารถถูกพิจารณาได้ว่าอยู่ภายใต้การควบคุมของยมโลกอย่างแท้จริง เพราะถึงอย่างไรแล้ว เขาก็จะต้องระวังหลังของตัวเองอยู่เสมอ เพื่อดูว่าอสรพิษที่ซ่อนตัวอยู่ในสนามหญ้าหลังบ้านของเขาและกองกำลังทหารนับล้านของมันจะวกกลับมาโจมตีเขาหรือไม่ แต่ยมโลกจะสามารถทุ่มเวลาและความใส่ใจในการฟื้นฟูตัวเองไปกับภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างไร? กองกำลังชายแดนจะสามารถทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างเต็มที่โดยที่ยังมีอุปสรรคพวกนี้อยู่ได้อย่างไร?
แต่เรื่องที่ว่าเขาจะกำจัดมะเร็งเนื้องอกนี้อย่างไรนั้น… ฉินเย่พอจะคิดเอาไว้แล้ว…
“ขะ…ข้าไม่รู้…” ชายสูงวัยกัดฟันแน่น “พวกเราเองก็ไม่เข้าใจพวกเขาเช่นกัน มันแทบจะดูเหมือนว่ามันเป็นส่วนหนึ่งในตัวตนของพวกเขาเหมือนกับการที่ใช้วัตถุหยินที่น่าสะพรึงกลัวเพื่อกระตุ้นการตอบสนองของพวกเรา เราเองก็สัมผัสได้ถึงพลังของขั้นตุลาการนรกหลายตนในตอนที่เริ่มหนีเพื่อเอาชีวิตรอด วิญญาณขั้นตุลาการนรกเลยนะ…! พวกเขาคือเหล่าวิญญาณที่ไม่ได้มีให้เห็นบ่อยๆ…”
ดวงตาของฉินเย่หรี่ลงเล็กน้อย กลุ่มพันธมิตรแห่งความมืดถูกก่อตั้งขึ้นโดยพันธมิตรของขั้นตุลาการนรก 12 ตน รวมถึงขงโม่ กองกำลังของยมโลกได้กำจัดพวกเขาไปสามตนตอนอยู่ที่นครชฺวีฟู่ ทำให้อีกฝ่ายเหลือกันอยู่เพียงแค่เก้าตน แต่ทั้งเก้าตนนี้ก็ไม่มีผู้ใดถูกเรียกว่านักสะสมวิญญาณได้เลย และยิ่งกว่านั้น ขงโม่ก็คงไม่ส่งนักสะสมวิญญาณไปไล่ล่าเหล่าวิญญาณที่หลบหนีเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่รู้ข่าวเกี่ยวกับการล่มสลายของนครเผิงชิว รวมถึงในแง่ที่ถูกล้อมรอบด้วยกองกำลังอันไร้ขอบเขตของราชาผี
อีกความหมายหนึ่งก็คือ นักสะสมวิญญาณพวกนั้นจะต้องเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังของราชาผี…
กลุ่มพันธมิตรแห่งความมืดมีขั้นตุลาการนรก 12 ตนที่ทำหน้าที่ปกครองมณฑลซานตงและมณฑลเจียงซู หากราชาผีจะเดินทางผ่านสามมณฑลทางตะวันออกจริง ๆ มันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จำนวนของขั้นตุลาการนรกที่อยู่ภายใต้อำนาจของเขาจะน้อยไปกว่ากลุ่มพันธมิตรแห่งความมืด! ด้วยการควบคุมของขั้นฝู่จวินอยู่ที่กองกำลังแนวหน้า เขาสามารถส่งขั้นตุลาการนรกมาไล่ล่าเหล่าวิญญาณที่หลบหนีได้อย่างแน่นอน…
มณฑลซานตงอย่างนั้นหรือ หึหึ…ผู้ใดจะไปคาดคิดว่าขั้นตุลาการนรกกว่า 20 ตนและขั้นฝู่จวินจะมารวมตัวกันอยู่ในสนามรบเพียงสนามเดียว ช่างเป็นความขัดแย้งที่รุนแรงจริงๆ
“ส่วนการระบุตำแหน่งของเขา…” ชายสูงวัยกัดฟันแน่นอย่างอารมณ์เสียขณะที่ดึงเสื้อคลุมที่สวมอยู่ออก เผยให้เห็นสายโซ่ที่ลากผ่านหน้าอกของเขา
ปลายของสายโซ่มีลักษณะคล้ายกรงเล็บที่ลุกโชนด้วยเปลวไฟนรก ในขณะที่ส่วนที่เหลือของมันเจาะลึกเข้าไปในร่างของชายสูงวัย รอยย่นบนร่างของเขาเกิดจากกรงเล็บที่จิกแน่นซึ่งดูราวกับคมเขี้ยวของอสูร
น่าสนใจ… น่าประหลาดใจอย่างไม่น่าเชื่อ ฉินเย่ยกเสื้อคลุมขึ้นและมองดู ก่อนจะพบว่ามันมีรูสีดำขนาดใหญ่ปรากฏอยู่บนอก แทบจะเหมือนกับว่ามีใครบางคนได้ดึงส่วนหนึ่งของมันออกไป กลุ่มก้อนพลังหยินดูเหมือนจะแผ่ออกมาจากช่องว่างนั้น ในขณะที่รูดังกล่าวหมุนวนช้า ๆ ไม่ต่างอะไรกับประตูมิติที่นำไปสู่ความว่างเปล่าอันกว้างใหญ่…
แต่ฉินเย่กลับมองเห็นภาพมายาของโซ่ที่ถูกกระตุกเป็นครั้งคราว สายโซ่พุ่งตรงเข้าไปยังหลุมมิติที่อยู่บนอกของชายสูงวัย และดูเหมือนว่าจะหายไปในความมืดมิดของความว่างเปล่านั้น แทบจะเหมือนกับว่ามันถูกเชื่อมไว้กับบางอย่าง
“ข้าไม่รู้เลยสักนิดว่าสิ่งนี้คืออะไร…” ชายสูงวัยสวมเสื้อกลับดังเดิมและเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ข้าสัมผัสได้ว่าโซ่นี้เชื่อมเข้ากับดวงวิญญาณของข้าโดยตรง ในขณะที่อีกปลายหนึ่งของโซ่นั้นอยู่ภายในมือของนักสะสมวิญญาณ เขาสามารถระบุตำแหน่งของพวกเราได้ด้วยวิธีนี้…”
“พวกเรา?” ฉินเย่เอ่ยแทรกขึ้น ชายสูงวัยเอ่ยตอบด้วยความเคารพทันที
“ถูกต้องแล้ว… เขาถือโซ่อยู่ในมือมากกว่าหนึ่งเส้น และวิญญาณที่หลบหนีทั้งหมดก็ล้วนอยู่ขั้นนักล่าวิญญาณเป็นอย่างต่ำ ซึ่งทุกคนก็ล้วนถูกล่ามด้วยโซ่นี้ทั้งสิ้น ข้าไม่รู้ว่าเขาสามารถทำแบบนี้ได้อย่างไร แต่วิธีการของขั้นตุลาการนรกนั้นอยู่เหนือความเข้าใจของข้า ตราบใดที่ท่านจับโซ่นี้เอาไว้ เขา…จะต้องตามท่านมาอย่างแน่นอน”
นี่คือทักษะที่ต้องใช้ความรู้เชิงมิติ… ความคิดนี้เองก็แวบเข้ามาในหัวของเขาในตอนที่เห็นถุงเอกภพ โลกใต้พิภพและแดนมนุษย์อาจจะดูคล้ายกัน แต่ความจริงของเรื่องนี้ก็คือพวกมันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง หากเขาสามารถเชี่ยวชาญความรู้พวกนี้ เขาก็อาจจะสามารถสร้างวัตถุหยินที่น่าทึ่งอย่างพระราชวังแห่งการสะท้อนเงาได้… ฉินเย่ลูบคางของตัวเองขณะที่คิดภายในใจ – ศาสตร์แห่งยันต์เป็นแกนหลักของยมโลก เหมือนกับอะตอมและเซลล์ การเชี่ยวชาญศาสตร์พวกนี้จะช่วยปลดล็อกคลังแสงของโลกให้สามารถใช้งานได้ในประสิทธิภาพสูงสุดอย่างแน่นอน...
เขามองไปยังชายสูงวัยอีกครั้ง ฉินเย่สามารถบอกได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ปกปิดอะไรจากตนแม้เพียงนิดเดียว หากพูดกันตามตรง เขาสามารถเข้าใจความคิดของชายสูงวัยผู้นี้ได้อย่างชัดเจน เพราะอย่างไรแล้ว หากไม่ใช่เพราะข้อเท็จจริงที่ว่านักสะสมวิญญาณกำลังไล่ล่าเอาชีวิตของพวกเขา ชายสูงวัยก็คงจะไม่มีทางหลบหนีมาไกลถึงเมืองหวู่หยางเป็นแน่ และหากวิญญาณตรงหน้าไม่ทำเช่นนั้น เขาก็คงไม่ได้มาพบกับฉินเย่ อีกทั้งตอนนี้ ความเกลียดที่มีต่อนักสะสมวิญญาณก็ชัดเจนเสียจนเขาไม่ต้องการอะไรไปมากกว่าการยืมมือของฉินเย่ในการกำจัดนักล่าวิญญาณไปจากโลกนี้…หรือไม่ก็สังหารฉินเย่โดยใช้นักล่าวิญญาณ…
นี่คงเป็นการแก้แค้นครั้งสุดท้ายของเขา แม้ว่าจะตายไปแล้วก็ตาม!
“ส่งเขาไปตามทาง” ฉินเย่ลุกขึ้นยืนและโบกมือ ทันใดนั้น วิญญาณห้วงมิติก็กลืนร่างของชายสูงวัยเข้าไปภายในคำเดียว ช่วงกรามของเขาโป่งพองเหมือนถุงเนื้อขนาดใหญ่อีกครั้ง แต่ครั้งนี้วิญญาณห้วงมิติกลับสูดหายใจเข้าช้า ๆ และถุงเนื้อที่โป่งพองก็กระชับแน่นขึ้นราวกับงูที่กำลังรัดรอบร่างของเหยื่อ วิญญาณห้วงมิติเริ่มบดขยี้และย่อยเหยื่อของตนอย่างช้าๆ
กลุ่มก้อนพลังหยินมากมายรั่วไหลออกมาจากร่างของเขา ราวกับช่องระบายอากาศของหม้อความดันที่เพิ่งถูกเปิดออก ชายสูงวัยไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะกรีดร้องออกมาขณะที่ดวงวิญญาณของเขากลับไปสู่ยมโลก
…………………………………………………….
กรุ๊งกริ๊ง…กรุ๊งกริ๊ง…
เสียงกระดิ่งอันแผ่วเบาดังขึ้นท่ามกลางท้องถนนที่เงียบสนิท แทบจะเหมือนกับว่ามันเป็นการโหมโรงสู่เวลาเที่ยงคืน…
ร่างสองร่างยืนอยู่ ณ ด้านบนสุดของอาคาร 15 ชั้นที่อยู่ติดกับจัตุรัสกลางเมือง สวมชุดเครื่องแบบลายพรางที่มีตราสัญลักษณ์ของหน่วยสอบสวนพิเศษปักอยู่ ชายคนหนึ่งเอียงศีรษะไปด้านข้างและตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะขมวดคิ้วและหันไปหาเพื่อนร่วมงานของตน “เธอได้ยินไหม?”
“ไม่” คู่หูของเขาคือหญิงสาวผมดำที่มีใบหน้าอ่อนเยาว์ แต่ถึงกระนั้น ชุดลายพรางที่เธอสวมอยู่กลับทำให้เธอดูจริงจังมากขึ้น
จากจุดที่พวกเขาอยู่ พวกเขาสามารถมองเห็นพื้นที่โดยรอบได้ทั้งหมด ต้นไม้ในพื้นที่บริเวณใกล้เคียงพริ้วไหวไปกับสายลมยามค่ำคืน ราวกับคลื่นน้ำในทะเล
อาคารมากมายกระจายอยู่ระหว่างต้นไม้ดังกล่าว แทบจะเหมือนกับว่าพวกมันคือสุสานที่ตั้งอยู่ในค่ำคืนที่มืดมิด หนาวเหน็บ และเปลี่ยวเหงา
ชายคนดังกล่าวส่ายศีรษะไปมา…นี่เขาหูฝาดไปหรอกเหรอ? ไม่น่าใช่นะ เขาสาบานได้เลยว่าเมื่อครู่นี้ตัวเองได้ยินเสียงกระดิ่งดังคลอมากับสายลม
“หรือเราจะหลอนไปเอง?” เขาส่ายหน้าและถอนหายใจออกมาขณะที่มองไปรอบ ๆ อย่างหวาดระแวง
มันเป็นคืนที่พระจันทร์เต็มดวง แสงจันทร์อ่อน ๆสาดส่องลงมายังพื้นดินด้านล่าง แต่การปรากฏตัวของแสงก็ทำให้เกิดความมืดและเงา ซึ่งตัวตนลึกลับมากมายสามารถซ่อนตัวอยู่…ไม่ใช่!
วินาทีนั้น รูม่านตาของเขาหดเล็กลง ในที่สุดเขาก็สังเกตเห็นแล้วว่าสิ่งใดกันที่ผิดปกติ! เงาที่อยู่โดยรอบหายไปอย่างรวดเร็ว! ราวกับคลื่นน้ำที่ลดลง ความมืดหายไป ทิ้งไว้เพียงโครงสร้างอาคารสีซีด ไม่มีอาคารหลักไหนที่มีเงาดำหลงเหลืออยู่เลย!
กรุ๊งกริ๊ง…กรุ๊งกริ๊ง…
แต่ก่อนที่เขาจะสามารถร้องออกมาด้วยความตกใจ เสียงที่น่าขนลุกของกระดิ่งก็ดังขึ้นอีกครั้ง ในวินาทีนั้น ความหวาดกลัวแผ่ซ่านไปทั่ว เขารู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างกำลังซ่อนตัวอยู่ในโลกที่ไร้เงานี้ และกำลังจ้องมองมาที่เขา!
สัญญาณเตือนดังขึ้นภายในหัวของเขา และเขาก็รีบตะโกนออกมาโดยปราศจากความลังเล “วิ่ง!!!” แต่น่าเสียดาย เขากลับพบว่าร่างของตัวเองกับถูกยึดอยู่กับที่
พร้อมกับเสียงฉึกเบา ๆ สายโซ่ยาวแทงทะลุอกคู่หูของเขา เวลาดูเหมือนจะเดินช้าลงอย่างกระทันหัน เขาเห็นทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ รวมถึงรายละเอียดของสายโซ่เงิน ปลายโซ่มีลักษณะเหมือนกับกรงเล็บ และมันก็พุ่งมาจากจุดที่ห่างออกไปหลายร้อยเมตรราวกับสายฟ้า พลังปราณของคู่หูของเขาสั่นคลอนขณะที่เธอค่อย ๆ ก้มมองที่อกของตัวเองด้วยความตกตะลึง
ในเสี้ยววินาทีต่อมา พร้อมกับเสียงดังสนั่น ราวกับถูกจับไว้ด้วยมือยักษ์ที่มองไม่เห็นและลากไป! เท้าของเธอลอยขึ้นจากพื้น แขนและขากางออก เส้นผมสยายไปตามสายลม ในวินาทีนั้น สายโซ่ที่ดูเล็กและอ่อนแอกลับดูมีน้ำหลักหลายพันปอนด์ขณะที่ดึงร่างของเธอพุ่งออกไปกลางอากาศ!
“ช่วยด้วย!!” เสียงกรีดร้องดังมาจากชั้นดาดฟ้า ชายหนุ่มพุ่งตัวไปข้างหน้าสุดแรง แต่เขากลับไม่สามารถคว้ามือของเธอเอาไว้ได้สำเร็จ…
ไม่นาน ร่างของหญิงสาวก็หายวับไป ทิ้งไว้เพียงรั้วที่หักลงมาบนดาดฟ้าของอาคาร
ตกตะลึง
กึก กึก กึก…
ไม่กี่วินาทีต่อมา ชายหนุ่มรู้สึกว่าฟันของเขากำลังกระทบกันอย่างไม่สามารถควบคุมได้ แม้แต่คนโง่ก็รู้ดีว่านี่มันหมายความว่าอย่างไร…มันคือการปรากฏตัวของวิญญาณร้ายที่ทรงพลัง!
“บัดซบ!! วิญญาณร้ายที่ทรงพลังขนาดนี้มาปรากฏตัวใจกลางเมืองได้อย่างไร?!”
ด้วยฟันที่กัดแน่น เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาและเริ่มกดหมายเลขโทรศัพท์ขณะที่วิ่งกลับไปยังประตูที่อยู่ด้านหลัง แต่ทันทีที่เขาเปิดมันออก เขาก็ต้องสะดุ้งตัวโยน
มีคน…
มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังยืนจ้องมาที่เขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย!
มันเป็นสายตาที่เขาไม่เคยประสบพบเจอมาก่อน สายตาที่ดูเหมือนจะไร้ซึ่งแนวคิดเกี่ยวกับความเป็นหรือความตาย มันรู้สึกราวกับว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องมองคนที่ตายไปแล้วไม่มีผิด
“คุณ…คุณคือ…” เขารู้สึกคุ้นกับเด็กหนุ่มตรงหน้า แต่ขณะที่เขากำลังจะเอ่ยตัวตนของอีกฝ่ายออกไป ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกถึงความเจ็บที่แผ่ซ่านจากบริเวณลำคอ จากนั้นทุกอย่างตรงหน้าของเขาก็มืดลง และชายหนุ่มก็หมดสติไป
“พูดกันตามความจริง ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวระหว่างความเป็นกับความตายก็คือวินาทีแห่งความเจ็บปวด เจ้าไม่จำเป็นจะต้องหวาดกลัวขนาดนั้น” ฉินเย่จับร่างของชายหนุ่มพิงกับกำแพง ก่อนจะหันไปยังดาดฟ้าอีกครั้ง “แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องดีหากเจ้าเลือกที่จะสร้างความวุ่นวายภายในแดนมนุษย์หลังจากที่ได้ตายแล้วครั้งหนึ่ง”
“และก็โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับวิญญาณอย่างเจ้า เจ้ารู้บ้างหรือไม่ว่าตัวเจ้าที่เป็นเพียงโครงกระดูกนั้นน่าเกลียดเพียงใด?”
ขณะที่ฉินเย่เอ่ยออกไป ดอกไม้สีดำสนิทดอกหนึ่งก็เบ่งบานขึ้นจากพื้นอย่างเงียบๆ
หากพูดให้ถูกก็คือ มันไม่ใช่ดอกไม้
กลับกัน มันคือเสื้อผ้าสีดำสนิทที่ดูเก่าอย่างไม่น่าเชื่อ มันคือเสื้อผ้าที่ถูกฝังมานานหลายปีแล้ว ขณะที่มันค่อย ๆ คลายตัวออกราวกับดอกไม้สีดำที่เบ่งบาน เศษฝุ่นที่เกาะอยู่บนเสื้อผ้าก็ค่อย ๆ กระจายตัวไปในอากาศ พร้อมกับกลิ่นเหม็นเน่าของความตายและเนื้อที่เน่าเปื่อยฟุ้งกระจายไปทั่ว แขนขาของร่างนั้นค่อย ๆ ผุดขึ้นจากใจกลางของเสื้อผ้าที่พริ้วไหว พยุงร่างของตัวเองด้วยไม้ค้ำ
เขามีรูปร่างที่ผอม ผอมอย่างผิดปกติ ราวกับว่าทั้งตัวมีเพียงผิวหนังที่หุ้มกระดูกเอาไว้เท่านั้น เปลวไฟนรกในดวงตาของเขาเองก็ริบหรี่จนแทบจะมองไม่เห็น แต่งกายด้วยเสื้อคลุมยาวสีดำ เขาถือตะเกียงไฟที่ลุกโชนไปด้วยเปลวไฟนรกไว้ภายในอ้อมแขน ที่จับของตะเกียงดังกล่าวถูกเชื่อมต่อกับสายโซ่จำนวนมากที่พุ่งออกมาจากในแขนเสื้อ
สายโซ่อีกอย่างน้อย 6-7 เส้นพุ่งออกจากแขนเสื้ออีกข้างหนึ่ง พุ่งออกไปยังความว่างเปล่า จนกระทั่งหายไปจากสายตา
ชายสูงวัยไม่มีเงาเลยแม้แต่น้อย
และใบหน้าของเขาก็ประดับด้วยรอยยิ้มบางเบาเท่านั้น
มันเป็นรอยยิ้มแห้ง ๆ คนปกติมักจะยิ้มด้วยกล้ามเนื้อทั้งหมดบนใบหน้า แต่ชายสูงวัยตรงหน้ากลับไม่ใช่ ริมฝีปากของเขาเพียงเผยอออกจากกันเล็กน้อยขณะที่เขายื่นนิ้วที่เหี่ยวย่นของตัวเองและดึงสายโซ่เอาไว้
เคร้ง…! หนึ่งในสายโซ่ส่งเสียงเบา ๆ ปลายด้านหนึ่งของมันต่อเข้าไปในแขนเสื้อของชายสูงวัย ในขณะที่ปลายอีกด้านหนึ่ง…ยังคงถูกมือของฉินเย่จับเอาไว้แน่น
“เจ้ากล้าที่จะจับสายโซ่ของนักสะสมวิญญาณอย่างนั้นหรือ? หึหึ บนโลกนี้ช่างมีผู้คนมากมายเหลือเกินที่ไม่หวั่นเกรงต่อความตาย…” ชายสูงวัยเผยรอยยิ้มเย้ยหยันออกมา ขณะที่ร่างของเขาเริ่มส่งเสียงกร๊อบ ๆ ราวกับซอมบี้ที่ข้อต่อต่าง ๆ ในร่างแข็งไปหมด “ข้าคือผู้ไร้เงา ผู้เลี้ยงวิญญาณของมัจจุราชแห่งยมโลก นามนี้ข้าได้รับมอบมาจากราชาผีแห่งพิภพอสูร และข้าก็มาที่นี่ในนามของเขาเพื่อที่จะส่งเจ้าไปยังชีวิตหลังความตาย!”
เสียงที่เอ่ยออกมานั้นแหลมแสบหู…
แต่ถึงกระนั้นฉินเย่กลับไม่ได้ตอบอะไรออกไป เขาเพียงกระพริบตาปริบ ๆ สถานการณ์ในตอนนี้ทำให้เขารู้สึกอยากจะแสดงบทบาทสมมุติสักเล็กน้อย
“เจ้า…รู้จักชายผิวสีที่ชื่อลูเซี่ยน หรือที่รู้จักกันในชื่อว่าโอบาม่าบ้างหรือไม่?” [1]
“ข้าหมายถึง…เจ้ารู้หรือไม่ว่าตัวเองแตกต่าง…คล้ายกับพวกผู้เชี่ยวชาญ? นั่นเจ้ากำลังกวัดแกว่งเคียวของตัวเองอยู่หรือเปล่า?”
ผู้ไร้เงาชะงักไป…
มันเป็นคำพูดเปิดที่ชวนโมโห นี่คือบทสนทนาระหว่างขั้นตุลาการนรกทั้งสองจริง ๆ น่ะหรือ?
“ข้าอาจจะไม่รู้ว่าเจ้ากำลังพูดเรื่องอะไรอยู่ แต่…” ชายสูงวัยดึงโซ่ของตัวเองเบา ๆ “ข้ารู้ดีว่าดวงวิญญาณของขั้นตุลาการนรกของแดนมนุษย์ที่อายุน้อยเช่นนี้ช่างควรค่าแก่การสะสมยิ่งนั่ง…ข้าเชื่อว่าราชาผีจะต้องพึงพอใจเป็นอย่างมาก...”
ฉินเย่ยิ้ม “ข้าเองก็คิดเช่นนั้น แต่อย่างไรก็ตาม มันมีสิ่งหนึ่งที่ข้าจะต้องเตือนเจ้าเอาไว้ก่อน”
“หืม?”
ฉินเย่ปิดประตู และมองไปด้านหลัง “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงต้องทำให้เขาหมดสติไปเสียก่อน?”
“ขออภัย” ไร้เงาหันไปมองยังท้องฟ้ายามค่ำคืน “แต่ข้าไม่ชอบพูดเรื่องไร้สาระ”
แต่แล้วทันใดนั้น เขาก็ต้องหันกลับไปมองฉินเย่ด้วยความตกตะลึง ก่อนจะจ้องเขม็งไปที่เด็กหนุ่มด้วยแววตาที่ลุกโชน
เขาเพิ่งสังเกตเห็นทะเลพลังหยินที่ไหลวนอยู่รอบ ๆ ร่างของฉินเย่ ในขณะที่แผ่นยันต์มากมายได้ปิดผนึกพื้นที่โดยรอบเอาไว้!
“เจ้า…ไม่ใช่มนุษย์อย่างนั้นหรือ?!”
“เจ้ามีลักษณะของมนุษย์ที่ยังมีชีวิต แต่ร่างของเจ้ากลับปล่อยพลังหยินออกมา?! และ…ยังเป็นพลังหยินที่หนาแน่นและบริสุทธิ์อีกด้วย…เจ้าเป็นใครกันแน่?!”
แต่ฉินเย่กลับไม่สนคำถามเหล่านั้น กระแสน้ำวนพลังหยินห่อหุ้มร่างของเขาเอาไว้ขณะที่เขาเอ่ยต่อจากจุดที่ค้างเอาไว้ “ข้าจะบอกความลับอะไรเจ้าอย่าง พอดีว่าตัวข้านั้นเป็นคนที่ค่อนข้างพิเศษน่ะ…”
“เฮ้อ…วิญญาณร้ายที่เพิ่งตายมาเมื่อไม่กี่ปีนั้นช่างไม่รู้อะไรเลยจริงๆ”
“เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงทำตัวสูงส่งและยิ่งใหญ่เฉกเช่นยมทูตที่อยู่ในระดับขั้นพลังเดียวกัน? คงเบื่อที่จะใช้ชีวิตมากสินะ?!”
[1] อ้างอิงถึงแชมเปี้ยนในเกม LoL เขามักจะถูกเอ่ยถึงในหมู่ผู้เล่นว่าโอบาม่า