ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 458: ความตกตะลึงของเหล่าผู้สอบสวน
บทที่ 458: ความตกตะลึงของเหล่าผู้สอบสวน
“ครับ โชคยังเข้าข้างผม” ฉินเย่พยายามเอ่ยออกมาให้ธรรมดาที่สุดเท่าที่สามารถทำได้
ระวัง ! ไม่ว่าอย่างไร… เขาต้องทำให้แน่ใจว่าตัวตนในที่สาธารณะของตัวเองจะต้องเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง !
ฉินเย่รู้ดีว่าตัวเองมีรูปลักษณ์ของชายที่อยู่ในช่วงวัยรุ่นตอนปลาย หรืออาจจะยี่สิบต้น ๆ เท่านั้น หากเขาไม่วางตัวให้ดี เขาจะไม่สามารถได้รับความเคารพอย่างที่สมควรจะได้รับได้ นี่คือเหตุผลว่าทำไมเด็กหนุ่มถึงมักจะระมัดระวังตัวในเรื่องของตัวตนในที่สาธารณะอยู่เสมอ
ฉินเย่ขมวดคิ้วเล็กน้อย “เกิดอะไรขึ้นในเมืองหวู่หยางครับ ? มันมีสัญญาณอะไรแจ้งเตือนก่อนที่เหตุการณ์เหนือธรรมชาติพวกนี้จะเกิดขึ้นบ้างหรือเปล่า ?”
“ไม่มีเลยครับ” เลขาหม่าถอนหายใจออกมาเบา ๆ และส่ายหน้า “และมันก็เป็นเพราะเหตุผลนี้เองที่ทำให้มันดูแปลกประหลาดมาก หากพูดกันโดยทั่วไป พวกเรามักจะเห็นสัญญาณบางอย่างก่อนที่จะมีการก่อตัวขึ้นของเขตไล่ล่าและเขตนักล่าต่าง ๆ แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป จู่ ๆ เหตุการณ์เหนือธรรมชาติก็เกิดขึ้นโดยไม่มีสัญญาณเตือนใด ๆ และความรุนแรงของการแพร่ระบาดของมันก็แทบจะคล้ายกับเขตนักล่าไม่มีผิด พวกเรากำลังพูดถึง 12 ชีวิตในระยะเวลากว่าสิบชั่วโมง – นั่นแทบจะเป็นหนึ่งคนต่อหนึ่งชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ ! นี่มันเกินความสามารถของพวกเรา มันเป็นเพราะเหตุผลนี้เองที่ทำให้เราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากขอความช่วยเหลือจากคุณ….”
ฉินเย่พยักหน้าเบา ๆ…
หากนี่เป็นวิญญาณที่หลบหนีจากสนามรบที่ขงโม่และราชาผีแห่งพิภพอสูรกำลังปะทะกันอยู่ เช่นนั้นก็หมายความว่ามันมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นที่นั่น !
ความเป็นไปได้ที่ 1 : ขงโม่มีอำนาจที่สามารถเป็นภัยคุกคามได้แม้แต่กับขั้นฝู่จวิน และไม่มีทางเลือกอื่นนอกจาก ความเสียหายจากการโจมตีดังกล่าวย่อมส่งผลให้วิญญาณขั้นยมทูตขาวดำหลบหนีเข้ามาในเมื่อง
ความเป็นไปได้ที่ 2 : ราชาผีแห่งพิภพอสูรนั้นฉลาดพอที่จะพิจารณาถึงสถานการณ์ของขงโม่ หากราชาผีรู้ถึงข้อเท็จจริงที่ว่าขงโม่ได้สูญเสียนครเผิงชิวให้กับยมโลก ดังนั้น แทนที่จะตั้งรับอยู่เฉย ๆ ราชาผีจะต้องใช้โอกาสนี้ในการผลักดันให้ขงโม่ไปยังหน้าผาที่ไม่อาจหวนกลับอย่างแน่นอน และการโจมตีอันรุนแรงนั้นก็ได้สร้างความหวาดกลัวให้กับเหล่าวิญญาณที่อยู่บริเวณใกล้เคียง ส่งผลให้พวกเขาต้องหลบหนีเพื่อรักษาชีวิต
เมื่อเลขาหม่าสังเกตเห็นว่าฉินเย่กำลังจมอยู่ในความคิดของตัวเอง เขาก็กระแอมออกมาแห้ง ๆ เพื่อดึงความสนใจจากอีกฝ่าย “คุณฉิน… เราเข้าไปคุยกันด้านในดีไหมครับ ?”
ฉินเย่พยักหน้า และเดินตามคนทั้งหมดเข้าไปในศาลากลางทันที โดยหลังจากที่เด็กหนุ่มเดินเข้าไปด้านในแล้วนั่นเองที่กลุ่มชายในเครื่องแบบลายพรางค่อย ๆ เดินออกมาจากที่ซ่อนของตนอย่างเงียบ ๆ
มันเหมือนกับว่าพวกเขาได้ซ่อนตัวและเฝ้าดูมาเป็นระยะเวลานานมากแล้ว
เครื่องแบบลายพรางของพวกเขาคือเครื่องแบบที่พวกทหารมักจะใส่ อย่างไรก็ตาม มันเห็นได้ชัดเลยว่าพวกเขาไม่ใช่คนกลุ่มนั้น เพราะอย่างไรแล้ว ทหารจะไม่มีหมุดปักอยู่บริเวณคอเสื้อ แต่พวกเขากลับมี พวกมันคือหมุดที่แสดงถึงธงชาติสีแดงของประเทศจีน อินทรธนูของพวกเขาเองก็เผยให้เห็นภาพของมือที่กำหมัดแน่น ซึ่งแตกต่างไปจากสิ่งที่พวกทหารสวมอยู่อย่างชัดเจน
“ท่านครับ…” หนึ่งในชายที่สวมเครื่องแบบลายพรางเดินเข้ามา เขาคือชายหนุ่มที่เอ่ยด้วยใบหน้าแดงก่ำ “เราแน่ใจแล้วหรือครับว่าเขาอยู่ขั้นตุลาการนรกจริง ๆ?”
อู๋เหวินชิ่งยังคงเงียบขณะที่หันไปมองยังทางเข้าของศาลากลางที่ฉินเย่เพิ่งเดินเข้ามา
หลังจากผ่านไปไม่นาน ชายหนุ่มคนดังกล่าวก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยด้วยเสียงที่ดังขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย “ท่านครับ เขาอยู่ขั้นนั้นจริง ๆ หรือครับ ?! ”
อู๋เหวินชิ่งที่ได้ยินเช่นนั้นก็เอ่ยตอบออกมาในที่สุด “คุณสัมผัสเองไม่ได้หรือไง ?! ”
“คะ… แค่รัศมีพลังของเขาผมก็กลัวจนไม่สามารถขยับตัวได้ หากพูดกันตามความจริง ผมแทบจะไม่สามารถหายใจได้ด้วยซ้ำ จริงเหรอครับ ?! เขาอยู่ขั้นตุลาการนรกแล้วจริงเหรอ ? ขั้นตุลาการนรกเดียวกันกับหัวหน้าของพวกเราที่ฉีโจวน่ะเหรอครับ ?”
อู๋เหวินชิ่งพยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะเลื่อนสายตากลับไปยังศาลากลางอีกครั้ง ภายในใจของเขาปั่นป่วนเป็นอย่างมาก และมันก็ใช้เวลานานกว่าที่เขาจะถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน “ขั้นตุลาการนรกที่อายุ 19 ปี… สวรรค์เถอะ… ผมเองก็คงจะไม่เชื่อเรื่องนี้หากไม่ได้เห็นมันด้วยตาของตัวเอง ตอนนี้ผมก็ใกล้จะ 45 แล้ว แต่กลับยังอยู่แค่ขั้นนักล่าวิญญาณอยู่เลย…”
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็กลับหลังหัน พร้อมที่จะสั่งการ แต่เขาก็พบว่าผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งหมดต่างกำลังจดจ่ออยู่กับโทรศัพท์ภายในมือของตัวเอง
ชายวัยกลางคนขมวดคิ้วทันที “นี่พวกคุณทำอะไรกัน ?”
“เพิ่มเพื่อนกับเขาน่ะสิครับ !” ชายหนุ่มในเครื่องแบบลายพรางมองอู๋เหวินชิ่ง จากนั้นก็เหมือนเขาจะตระหนักได้ถึงบางอย่าง “อ้อ ใช่ ! หัวหน้า… คุณไม่ชอบเพิ่มเพื่อนกลุ่มเพื่อนนี่ครับ คุณ…”
“เจ้าพวกโง่ ! ” อู๋เหวินชิ่งเอ่ยออกมาขณะที่แย่งโทรศัพท์มาจากมือของชายหนุ่ม ก่อนที่จะพบว่าชายหนุ่มได้โพสต์ข้อความที่เป็นสาธารณะไปแล้ว “สุดยอด ! ได้เป็นสักขีพยานการถือกำเนิดของขั้นตุลาการนรกคนใหม่ ! ขั้นตุลาการนรกที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์จีน !”
ในไม่กี่วินาทีต่อมา ความคิดเห็นมากมายหลายสิบก็ปรากฏขึ้น ในขณะที่ไลก์มีจำนวนมากกว่าเสียอีก
“นายอยู่ในเมืองหวู่หยางเหรอ ?”
“เรามีขั้นตุลาการนรกคนใหม่แล้วจริง ๆ น่ะเหรอ ? พระเจ้า… นี่จะต้องเกิดความวุ่นวายทางสมดุลอำนาจทางการเมืองอีกครั้งแน่”
“ขั้นตุลาการนรกคนใหม่อย่างนั้นเหรอ... แล้วทำไมฉันถึงยังอยู่ขั้นยมเทพอีกเนี่ย ?! เมื่อไหร่ฉันจะได้กลายเป็นขั้นตุลาการนรกบ้าง ?!”
“นี่มันถึงเวลานอนแล้ว !”
“รีบลบเดี๋ยวนี้ !” อู๋เหวินชิ่งโยนโทรศัพท์กลับไปและเอ่ยคำเตือนกับคนทั้งหมด “ผู้เชี่ยวชาญขั้นตุลาการนรกนั้นเทียบได้กับรองผู้อำนวยการของหน่วยสอบสวนพิเศษ ! สถาบันเก่าของเขา สำนักฝึกตนแห่งแรก จะต้องยืนยันสถานะของเขาและอัพเดทประวัติของเขาด้วยตัวเอง อีกไม่นานคนจากฉีโจวเองก็กำลังจะมาที่นี่ พวกเราจะต้องทำการประชาสัมพันธ์ให้สมกับฐานะของแผนกสอบสวนพิเศษ สาขาเมืองหวู่หยาง และไม่เปิดเผยข้อมูลพวกนี้เป็นการส่วนตัว ! นอกจากนี้ มันยังมีเครือข่ายผู้ฝึกตน รวมถึงแจ้งทางหนังสือพิมพ์และนิตยสารผู้ฝึกตนอีกหลายแห่ง ! ท้ายที่สุด มันยังต้องรอการยืนยันจากทางสำนักงานใหญ่เกี่ยวกับความจริงของข่าวสารที่เราจะปล่อยออกไปด้วย ! แล้วคุณคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน ?! คุณคิดว่าตัวเองสามารถหลีกเลี่ยงขั้นตอนทั้งหมดที่ถูกจัดตั้งขึ้นมาตั้งแต่ก่อนที่คุณเกิดได้อย่างนั้นเหรอ ?!”
ชายหนุ่มลังเลอยู่ครูหนึ่ง ก่อนจะรีบลบโพสต์ของตัวเองทันที แต่ถึงกระนั้น สีหน้าของเขาก็ยังดูบูดบึ้งอย่างเห็นได้ชัด
นี่คือโอกาสที่จะทำให้เขาได้มียอดไลก์มากมาย… น่าเสียดายจริง ๆ …บางทีเราอาจจะปรับให้ข้อความนี้สามารถมองเห็นได้เฉพาะกลุ่มเพื่อนสนิท แทนที่จะเป็นสาธารณะ…
คนอื่น ๆ ที่ได้ยินคำเตือนดังกล่าวเองก็รีบลบข้อความของตัวเองทันที อู๋เหวินชิ่งส่งเสียงฮึดฮัดอีกครั้งแล้วเดินจากไป “สำหรับตอนนี้เราก็ตามพวกเขาเข้าไปก่อน ฟังที่ขั้นตุลาการนรกพูด และวิเคราะห์มันอย่างละเอียด มันอาจจะชี้ทางที่ถูกต้องให้พวกเราในอนาคต”
คุณยังสามารถทำอะไรแบบนั้นได้อีกเหรอ ?
ทุกคนรีบตามไปติด ๆ แต่หัวใจของพวกเขากลับอยู่ที่อื่นอย่างเห็นได้ชัด และที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าพวกเขายังคงยุ่งอยู่กับการกดโทรศัพท์ของตัวเอง
สมาคมผู้ฝึกตนแห่งเมืองหวู่หยาง
“ข่าวด่วน ! คุณฉินได้ทะลุคอขวดเป็นขั้นตุลาการนรกแล้ว ! เขาออกจากการปิดประตูบ่มเพาะแล้ว !”
“นั่นสุดยอดไปเลย ! ในที่สุดเมืองหวู่หยางก็มีขั้นตุลาการนรกสักที ! พระเจ้า …ฉันไม่คิดเลยว่าวันแบบนี้จะมาถึง !”
ข้อความมากมายเริ่มที่จะปรากฏขึ้นในกลุ่มแชทของสมาคม แม้แต่จำนวนสมาชิกกลุ่มที่ไม่เคยปรากฏตัวมาก่อนก็ถูกลากออกมาจากที่ซ่อนโดยข่าวที่น่าเหลือเชื่อนี้
“นี่มันฝันหรือเปล่า ?! คุณฉิน ! คนที่มาประจำการที่นี่ ก่อนจะทำการปิดประตูบ่มเพาะเป็นเวลาห้าเดือนน่ะเหรอ ? เราสามารถทะลุคอขวดไปสู่ขั้นตุลาการนรกได้แล้วจริงๆน่ะเหรอ ?! พระเจ้าช่วย !!” — ดอกไม้ผลิบาน
“ผมได้ยินมาว่าขั้นตุลาการนรกสามารถรับรองชีวิตของผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาได้หากเขาต้องการ แบบนี้มันก็ไม่ได้หมายความว่าภารกิจที่พวกเราต้องทำในเมืองหวู่หยางจะปลอดภัย 100% หรอกเหรอ ? ทั้งหมดที่พวกเราต้องทำมีเพียงขอความช่วยเหลือให้ถูกเวลาใช่ไหม ?” — ความฝันอันเก่าแก่
“คุณกำลังจะบอกว่า… พวกเราจะได้รับเกียรติให้ทำงานภายใต้ผู้บังคับบัญชาระดับสูงขนาดนั้นเลยเหรอ ? เมืองระดับสี่อย่างเราจะไม่ต่างอะไรกับเมืองใหญ่อย่างตงไห่หรือเยียนจิงเลยเหรอ ?!!!” – เลียตัวเองจนกว่าจะพอใจ
“กรุณาคำนึงถึงชื่อที่คุณใช้ด้วยครับ พักหลังมานี้ทางผู้ดูแลของกลุ่มเข้มงวดขึ้นมาก คุณอาจจะถูกบล็อกได้ อย่างไรก็ตาม ผมขอสอบถามได้ไหมว่าหัวหน้าอู๋จะยกเลิกการบรรยายการศึกษาในอุดมคติประจำเดือนตั้งแต่นี้เป็นต้นไปหรือเปล่า ?” — ใบหน้ารูปม้า
“ได้โปรด ! ยกเลิกทีเถอะ !”
เห็นได้ชัดว่าฉินเย่ไม่ได้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นลับหลังของเขาเลยแม้แต่นิดเดียว เขารู้ดีกว่าการถือกำเนิดของขั้นตุลาการนรกในแดนมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่จะได้รับการตรวจสอบอย่างละเอียด แต่ถึงกระนั้น เขาก็ไม่ได้คิดอะไรมากกับความสำเร็จของตัวเอง
เขาเพิ่งอยู่แค่ขั้นตุลาการนรกเท่านั้น…
ในขณะที่ศัตรูของเด็กหนุ่มอยู่ขั้นฝู่จวิน หรือแม้กระทั่งขั้นพระยม ! และเขายังเพิ่งค้นพบหอกเงินที่เป็นของหนึ่งในราชันย์วิญญาณทั้งหก จูล่ง ไปอีกด้วย…
ขั้นตุลาการนรกนั้นแทบจะไม่ได้โดดเด่นอะไรเลย…
ใช่แล้ว ! โจวเซียนหลง ผมกำลังพูดถึงคุณ !!
เมื่อใดก็ตามที่เขานึกถึงช่วงเวลาอันแสนน่าสังเวชในตอนที่เขาทรมานเกือบตายในตอนที่อยู่ที่สำนักฝึกตนแห่งแรก เขามักจะอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าอยากสู้กับโจวเซียนหลง – มาเลย ! สิบคนก็มา !
แต่เขาก็รีบระงับความรู้สึกดังกล่าวเอาไว้และรักษาใบหน้านิ่งเรียบที่เหมาะสมกับขั้นตุลาการนรกขณะที่เดินตามเลขหม่าเข้าไปในห้องประชุม นี่คือห้องที่อู๋เหวินชิ่งมักจะเป็นประธานในการประชุม แต่ถึงกระนั้น อู๋เหวินชิ่งกลับขยับไปนั่งที่โต๊ะด้านข้างอย่างรู้หน้าที่ และผายมือเชิญฉินเย่ให้นั่งที่หัวโต๊ะแทน
เด็กหนุ่มไม่ได้ปฏิเสธการตัดสินใจของอีกฝ่ายเช่นกัน ขณะที่เขากำลังจะนั่งลง ชายและหญิงหลายคนที่แต่งกายด้วยเครื่องแบบลายพรางก็เดินเข้ามาในห้อง
“!!!!” เลขาหม่าตกตะลึง
“นี่คือหัวหน้าของหน่วยสอบสวนพิเศษประจำสาขาของเมืองหวู่หยาง” อู๋เหวินชิ่งอธิบาย “ทุกอย่างเกิดขึ้นกระทันหันมาก แต่การประเมินสถานการณ์ของคุณอาจจะเป็นการชี้แนะที่ดีสำหรับพวกเขาทั้งหมด นั่นคือเหตุผลว่าทำไมผมถึงอยากจะขอให้พวกเขาเข้ามานั่งฟังด้วยในขณะที่คุณสรุปสถานการณ์ ได้หรือไม่ครับ ?”
ฉินเย่พยักหน้าอนุญาต หลังจากที่ได้เป็นประธานการประชุมต่อหน้าวิญญาณกว่าสิบล้านตนที่ซึ่งเขาจะต้องทำการตัดสินใจที่ยากลำบากในการกระจายจำนวนประชากรของนครเผิงชิวไปสู่เมืองย่อยต่าง ๆ มันก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล
หลังจากนั้น ทุกคนก็นั่งประจำที่ของตนอย่างเงียบ ๆ ลมหายใจของคนทั้งหมดเริ่มถี่ขึ้น ในขณะที่ฉินเย่สัมผัสได้ถึงสายตาที่เร่าร้อนมากมายที่จ้องมองมายังตนขณะที่ค่อย ๆ เดินเข้ามาโดยไม่สนใจคนทั้งหมด ฉินเย่หันไปหาอู๋เหวินชิ่งและพยักหน้าให้กับอีกฝ่าย อู๋เหวินชิ่งรีบลุกขึ้นและเดินไปยังหลังห้องที่มีแผนที่ของค่าพลังหยินจากทั่วทั้งเมืองแสดงอยู่ ว่าเมืองหวู่หยางถูกปกคลุมไปด้วยจุดสีส้มมากมาย
“หืม ?” ฉินเย่ขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย สีส้ม… นี่แสดงถึงเขตเตือนภัย ตอนนี้เมืองทั้งเมืองล้วนอยู่ในสถานะเตือนภัยอย่างนั้นเหรอ ?
ในเมื่อนี่เป็นครั้งแรกที่เขาเป็นประธานการประชุมในเมืองหวู่หยาง เขาจึงตัดสินใจที่จะเข้าเรื่องทันที “มันเคยเป็นแบบนี้มาก่อนหรือเปล่าครับ ?”
“ไม่ครับ” สีหน้าของคนทั้งหมดเคร่งขรึมขึ้นขณะที่อู๋เหวินชิ่งส่ายหน้า “ก่อนเที่ยงวันนี้ พื้นที่ส่วนใหญ่ของเมืองเรายังคงปกคลุมด้วยสีเขียว ในขณะที่มีบางส่วนเป็นเพียงสีเหลืองเท่านั้น มันแทบจะสามารถพิจารณาได้ว่าปลอดภัย แม้ว่าจะมีเขตไล่ล่าอยู่บ้างเล็กน้อยก็ตาม”
ฉินเย่พยักหน้าเบา ๆ อย่างนี้นี่เอง…
เขาประมาทเกินไป….
มันยังมีวิญญาณอีกจำนวนมากที่เข้ามาภายในเมืองพร้อมกันกับวิญญาณขั้นยมทูตขาวดำทั้งสาม !
หลังจากที่ได้คลุกคลีอยู่กับวิญญาณจำนวนมากมาตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา เขาก็มองข้ามการมีอยู่ของวิญญาณธรรมดาทั่วไปในแดนมนุษย์โดยไม่รู้ตัว มีเพียงวิญญาณขั้นยมทูตขาวดำและสูงกว่านั้นเท่านั้นที่จะดึงความสนใจจากเขา แต่ใครจะไปคิดว่าบางสิ่งบางอย่างที่ไม่เป็นที่น่าสนใจอย่างวิญญาณธรรมดา ๆ จะสามารถซ่อนตัวอยู่ภายใต้สัญญาณตรวจจับได้ ?
แต่นั่นก็ค่อนข้างสมเหตุสมผล… หากการคาดเดาของเขาถูกต้อง เช่นนั้น…การเผชิญหน้ากันระหว่างขงโม่และราชาผีแห่งพิภพอสูรก็จะต้องส่งผลกับวิญญาณอีกจำนวนมากเช่นกัน วิญญาณขั้นยมทูตขาวดำทั้งสามอาจเป็นแกนนำในการหลบหนี แต่วิญญาณธรรมดาส่วนใหญ่ก็คงจะใช้โอกาสนี้ในการผูกมัดตัวเองกับขั้นยมทูตขาวดำและหลบหนีไปพร้อมกับพวกเขา ตอนนี้วิญญาณเหล่านั้นอาจยังเป็นเพียงแค่วิญญาณเร่ร่อน แต่ด้วยความหนาแน่นของวิญญาณที่อยู่โดยรอบ มันเป็นเรื่องของเวลาเท่านั้นก่อนที่พวกเขาจะกลายเป็นภูตผีคลุ้มคลั่ง…
เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้เขาเข้าใจเกี่ยวกับโลกของหยินและหยางมากขึ้น
การเผชิญหน้ากันระหว่างราชาผีและขงโม่จะต้องเกิดขึ้นที่ลิมโบอย่างไม่ต้องสงสัย….
แต่ในเมื่อมันเป็นคนละมิติกัน มันก็ไม่ควรที่จะส่งผลกับแดนมนุษย์ใช่ไหม ?
ผิดแล้ว การต่อสู้ระดับนี้เกี่ยวข้องกับทหารวิญญาณจำนวนนับล้านจะทำให้เกิดการแพร่ขยายออกไปเป็นวงกว้างโดยไม่สนว่าจะเป็นโลกหรือมิติไหน ยกตัวอย่างเช่น แม้ว่าจะอยู่ในโลกที่แตกต่างกัน แต่วิญญาณส่วนมากที่อยู่บริเวณใกล้เคียงต่างก็หวาดกลัวที่จะถูกถึงเข้าไปร่วมสงครามระหว่างกองกำลังที่แข็งแกร่งทั้งสอง และด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้พวกเขาต้องกระจัดกระจายไปตามเมืองอื่น ๆ ราวกับเซลล์มะเร็ง หากมันไม่ถูกจัดการให้เรียบร้อย สิ่งต่าง ๆ ในมณฑลซานตงจะไม่สามารถควบคุมได้อีกต่อไป
ในขณะนั้นเอง เขาก็นึกขึ้นได้ถึงโฆษณาที่ตัวเองสังเกตเห็นตอนที่อยู่ที่สำนักฝึกตนแห่งแรก – ไม่… ทุกสิ่งทุกอย่างได้เริ่มอยู่เหนือความควบคุมแล้ว…
ราชาผีและขงโม่ต่างแข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ ก่อนหน้านี้ ที่ทุกอย่างดูราวกับว่ายังอยู่ภายในการควบคุมก็เพราะว่าวิญญาณส่วนใหญ่รวมตัวกันอยู่ในบริเวณใกล้เคียงของเมืองเผิงชิวและยอมจำนนต่อการควบคุมของกลุ่มพันธมิตรแห่งความมืด เนื่องจากเขามาจากตระกูลขงของยมโลก ขงโม่จะต้องรู้ถึงความสำคัญของการรักษาสมดุลในแดนมนุษย์และการป้องกันทุกอย่างไม่ให้ตกอยู่ในความโกลาหลเป็นอย่างดี นี่เป็นหนึ่งในผลประโยชน์ของการให้โลกใต้พิภพอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลเพียงรัฐบาลเดียว อย่างไรก็ตาม การมาถึงของราชาผีเป็นเหมือนกับตัวเร่งปฏิกิริยาที่เร่งการเผาไหม้ มันใช้เวลาไม่นานเลยก่อนที่วิญญาณระดับล่างและวิญญาณระดับกลางจำนวนนับไม่ถ้วนเริ่มออกมาจากรอยแยกของลิมโบและเข้าสู่แดนมนุษย์
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการคาดเดาจากส่วนของเขาเท่านั้น และมันก็ถูกตั้งขึ้นมาจากข้อสันนิษฐานที่ว่าวิญญาณขั้นยมทูตขาวดำทั้งสามและวิญญาณที่ตามพวกเขามานั้นคือวิญญาณที่หลบหนีจากการเผชิญหน้าของกองกำลังทั้งสองฝ่ายทั้งสิ้น
แต่นี่ก็เป็นข้อสันนิษฐานที่สามารถพิสูจน์ได้อย่างง่ายดาย….
“หัวหน้าอู๋ ช่วยแจ้งให้ผมทราบถึงตำแหน่งที่เกิดเหตุการณ์เหนือธรรมชาติและเวลาที่มันเกิดขึ้นให้ผมที”
“ได้ครับ” อู๋เหวินชิ่งสูดหายใจเข้าช้า ๆ และชี้ไปที่เสาพลัง “เหตุการณ์เหนือธรรมชาติเหตุการณ์แรกนั้นเกิดขึ้นตอน 10 โมงตรง และมันก็เกิดขึ้นที่ชานเมือง บริเวณเขตกวงหมิง”
“ถนนเส้นนี้เป็นถนนสายยาวที่พุ่งตรงผ่านเมืองหวู่หยางทั้งเดือน และเชื่อมต่อโดยตรงกับทางหลวง”
ฉินเย่มองดูหน้าจอ LED ที่อู๋เหวินชิ่งกำลังชี้อยู่ มันดูเหมือนจะตั้งอยู่บนเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างเมืองสองเมือง ซึ่งก็คือเมืองหวู่หยางและเมืองตงขุย !
ตำแหน่งของที่เกิดเหตุทำให้เขาแทบจะมั่นใจกับการคาดเดาของตัวเอง !
แต่เขายังคงเงียบ และที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะ… เขาสังเกตเห็นว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่ผิดปกติ…. !!
ย่ำตะวัน ? ทำไมกันล่ะ ?
เกิดความเงียบที่น่าอึดอัดขึ้นภายในห้อง แต่มันก็ถูกทำลายลงโดยเสียงเคาะโต๊ะเบา ๆ ของเด็กหนุ่ม
มันมีบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง !
ต่อให้การต่อสู้เกิดขึ้นที่เมืองตงขุย แต่มันมีเหตุเร่งด่วนอะไรที่ต้องเร่งรีบขนาดนี้ ?!
หรือต่อให้เป็นเช่นนั้นจริง แค่การหนีออกจากเขตแดนของเมืองตงขุยก็น่าจะเพียงพอแล้ว มันไม่จำเป็นที่จะต้องเดินทางในเวลากลางวันเลยแม้แต่น้อย นี่มันให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าพวกเขากำลังหยายามหลบหนีผ่านเมืองหวู่หยางไม่มีผิด !
แม้แต่สมรภูมิรบที่รุนแรงก็ไม่สามารถกระตุ้นให้เกิดการตอบสนองเช่นนี้ได้
แล้วสิ่งใดกันที่สร้างความตื่นตระหนกเช่นนี้ภายในใจของพวกเขา ?
มันแทบจะเหมือนกับว่า… บางสิ่งบางอย่างกำลังไล่ตามพวกเขาอยู่ ?