ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 452: ราชสารลับ
บทที่ 452: ราชสารลับ
อาร์ทิสเอ่ยด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมอย่างไม่สามารถหาที่เปรียบได้ ส่งผลให้ฉินเย่ต้องหุบยิ้มลงเช่นกัน ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีดำ และเขาก็หันไปมองที่ม้วนกระดาษอีกครั้ง แต่แล้วก็ต้องรู้สึกเจ็บที่ดวงตาของตัวจนต้องงอตัวและย่อตัวนั่งลงอีกครั้ง
“ฝ่าบาท!” หยางเหยียนเจารีบขยับไปตรงหน้าของฉินเย่และยกมือขึ้นขณะที่มองไปรอบๆอย่างหวาดระแวง หอกพลังหยินก่อตัวขึ้นกลางอากาศทันที
“ไม่เป็นไร…” ไม่กี่วินาทีต่อมา ฉินเย่กัดฟันและเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ดวงตาของเขากลับเป็นปกติ แต่พลังหยินจำนวนมากกลับหลั่งไหลออกมาจากร่างของเขาอย่างต่อเนื่อง อาร์ทิสเอ่ยถามเสียงเบา “ท่านเห็นสิ่งใด?”
ฉินเย่ปาดเหงื่อเย็นบนหน้าผากของตัวเอง หัวใจของเขายังคงเต้นแรง เพราะเมื่อครู่ เขาเห็น…ร่างขนาดใหญ่!
มันสูงและมีขนาดใหญ่อย่างไม่น่าเชื่อ แทบจะเหมือนกับศูนย์รวมของสวรรค์และโลก หากพูดกันตามตรง มันคงจะไม่ใช่การพูดเกินจริงเลยหากจะบอกว่าสิ่งที่เขาเห็นคือศูนย์กลางของจักรวาล!
มันไม่ใช่มนุษย์
เขาเคยเห็นการฉายภาพมายาของส่องตี้หวาง พระยมแห่งพระตำหนักที่ 3 ของยมโลกมาก่อน อย่างไรก็ตาม ร่างที่เขาเพิ่งเห็นเมื่อครู่นั้นน่ากลัวกว่าส่องตี้หวางเองเสียอีก!
มันแตกต่างกันอย่างมาก หากส่องตี้หวางเปรียบเสมือนกับสายน้ำ เช่นนั้นร่างที่ฉินเย่เห็นเมื่อครู่ก็คงจะเป็นมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ อย่างน้อยที่สุด เขาก็ยังสามารถมองเห็นแผ่นหลังของส่องตี้หวางได้ในตอนที่ได้พบกับอีกฝ่ายก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้…เขาไม่สามารถมองเห็นจุดเริ่มต้นและจุดจบของร่างตรงหน้าได้เลยแม้แต่น้อย!
ช่างน่าสะพรึงกลัวจริงๆ…เขาหลับตาลงและยกมือขึ้นทาบไปยังหัวใจที่เต้นรัวของตนเอง มันใช้เวลาหลายนาทีก่อนที่เขาจะสามารถรวบรวมคำพูดได้อีกครั้ง แต่ถึงกระนั้น เสียงที่เอ่ยออกมากลับแหบพร่าและสั่นเทา “เขาคือใคร?”
ทว่าคนที่ตอบคำถามกลับไม่ใช่อาร์ทิส แต่เป็นหยางเหยียนเจา “ท่านจ้าวนรกองค์ที่สองของยมโลกพ่ะย่ะค่ะ”
หอกในมือของเขาเปลี่ยนกลับเป็นกลุ่มก้อนพลังหยินที่สลายไปอย่างรวดเร็ว ตลอดเวลาที่ผ่านมา แววตาของเขาเต็มไปด้วยความเคารพ – บางทีอาจจะเป็นความคลั่งไคล้ – ขณะที่จ้องมองไปยังม้วนกระดาษตรงหน้า!
“นี่คือราชสารลับพ่ะย่ะค่ะ” เขาอธิบายออกมาอย่างรวดเร็ว “มันคือเอกสารที่สามารถถูกส่งได้โดยหน่วยทางเดินสวรรค์ ซึ่งเป็นผู้คุ้มกันลับของท่านจ้าวนรกองค์ที่สอง ตัวกระหม่อมรู้จักเพียงแค่ชื่อของพวกเขาเท่านั้น แต่ไม่มีผู้ใดเคยเห็นพวกเขามาก่อน ไม่มีผู้ใดรู้ชื่อของพวกเขาเหล่านี้ แต่…ในตอนที่ท่านจ้าวนรกองค์ที่สองยังคงปกครองอยู่ การปรากฏตัวเพียงครั้งคราวของพระองค์ในราชสำนักมักจะมาพร้อมกับราชสารลับเหล่านี้เสมอ และมันก็มีแนวโน้มเป็นอย่างมากที่จะเป็นต้นเหตุของการเกิดหายนะ! [2]
“เดี๋ยวก่อน” ฉินเย่ยกมือขึ้น “การปรากฏตัวเพียงครั้งคราว?”
“พ่ะย่ะค่ะ…” หยางเหยียนเจาหัวเราะขมขื่น “ท่านจ้าวนรกองค์ที่สองของยมโลกทรงเกลียดการปรากฏตัวในราชสำนักเป็นอย่างมาก หากพูดกันตามตรง พระองค์ทรงไม่ต้องการที่จะเป็นผู้สืบทอดของท่านจ้าวนรกองค์แรกด้วยซ้ำ น่าเสียดาที่ท่านจ้าวนรกองค์แรกได้หลอกล่องพระองค์และทำให้พระองค์ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยินยอมสืบทอด กระหม่อมรู้ดีว่านี่ไม่ใช่แค่ข่าวลือ เนื่องจาก...”
เขากระแอมออกมาเบาๆ “เมื่อใดก็ตามที่ท่านจ้าวนรกองค์ที่สองทรงตรัสถึงท่านจ้าวนรกองค์แรก พระองค์มักจะบ่นเกี่ยวกับจ้าวนรกองค์แรกเป็นเวลากว่าสิบนาทีก่อนที่จะเริ่มเข้าเนื้อหาสำคัญของสิ่งที่พระองค์ต้องการจะพูด…”
ปัญญาอ่อนเสียจริง… ฉินเย่เม้มปากเพื่อกลั้นหัวเราะ – ระดับขั้นการบ่มเพาะของท่านนั้นสูงเสียดฟ้า แต่ท่านกลับจบลงโดยการถูกท่านจ้าวนรกองค์ที่หนึ่งหลอก? นี่มันเห็นได้ชัดเลยนะว่าท่านนั้นมีกล้ามเนื้อแต่ไม่มีสมอง…เอ๊ะ? เดี๋ยวก่อนนะ…ข้าเองก็ดูเหมือนจะถูกจ้าวนรกองค์ที่สองหลอกให้ยอมรับการสืบทอดเช่นกัน… หรือว่านี่คือธรรมเนียมในการรับสืบทอดบัลลังก์ของยมโลก? ไม่…เดี๋ยวก่อน! ไม่ใช่ว่านี่หมายความว่าข้าอยู่ส่วนล่างสุดของหัวโซ่อาหารแห่งความโง่นี้?!
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง ฉินเย่ก็เงียบปาก และหันไปสนใจสิ่งที่สำคัญกว่าแทน
เอาล่ะ นั่นอธิบายแล้วว่าทำไมม้วนกระดาษที่ดูธรรมดาถึงน่าขนลุกขนาดนี้ สิ่งที่ผิดปกติเกี่ยวกับมันก็คือข้อเท็จจริงที่ว่าราชสารลับนั้นถูกส่งให้ท่านจ้าวนรกองค์ที่สองโดยเฉพาะ!
การรับรองของท่านจ้าวนรกองค์ที่สองอาจมีตัวหนังสือที่เขียนว่า ‘อ่านแล้ว’ หรือ ‘อนุมัติ’ แต่ไม่คิดเลยว่าคำง่ายๆเหล่านี้กลับทำให้พวกเขารู้สึกไม่ต่างไปจากหยดน้ำในมหาสมุทร ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงกล้าทำตัวเย่อหยิ่งต่อโลกใต้พิภพอื่นๆที่อยู่ข้างนอกแม้ว่าจะเป็นตอนที่ยมโลกแห่งเก่าล่มสลายไปแล้วก็ตาม เขาไม่สนใจเกี่ยวกับสวรรค์ด้วยซ้ำ! เพราะหากเขาสนใจ เขาคงไม่กล้าเรียกผู้คุ้มกันลับของตัวเองว่า ‘ทางเดินสวรรค์’ หรอก ให้ตายเถอะ เขาจะบ้าตาย
“นี่คือราชสารลับของจ้าวนรกองค์ที่สองสินะ…” ฉินเย่ถอนหายใจออกมาเบาๆ จากนั้นก็หันไปหาอาร์ทิสและหยางเหยียนเจา “เหตุใดราชสารลับจึงมาอยู่ที่นี่?”
“วางมันลงเถิด—…” อาร์ทิสม้วนผมของตัวเองเล่นขณะที่เงยหน้าขึ้นและมองไปที่ม้วนกระดาษ หยางเหยียนเจาเองก็ทำในสิ่งเดียวกัน
เงียบ
นั่นสิ มันมาทำอะไรที่นี่?
“ท่านอรากษส…” ด้วยสายตาที่ยังคงจับจ้องไปที่ราชสารลับ หยางเหยียนเจาเอ่ยข้อสันนิษฐานของตัวเองออกมา “ราชสารลับนี้…คงไม่ได้หลุดออกมาใช่หรือไม่?”
อาร์ทิสส่ายหน้า “ไม่มีทาง ราชสารลับทั้งหมดถูกส่งโดยหน่วยทางเดินสวรรค์จากแหล่งส่งและตรงเข้าสู่มือของท่านจ้าวนรกองค์ที่สองเท่านั้น ก่อนที่มันจะถูกทำลายทันทีที่ถูกอ่าน พวกเราไม่เคยได้ยินเรื่องที่ราชสารลับพวกนี้รั่วไหลมาก่อน”
“เช่นนั้นมันก็เหลือความเป็นไปได้เพียงแค่อย่างเดียว” ฉินเย่เริ่มเดินไปรอบๆอย่างช้าๆ “ตระกูลขงได้ขโมยมันมา”
ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา
ไม่มีผู้ใดปฏิเสธข้อสันนิษฐานของฉินเย่
มันฟังดูบ้ามาก แต่ทั้งสองคนที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของยมโลกแห่งเก่ารู้ดีว่ามันเป็นสิ่งที่สามารถเป็นไปได้อย่างแน่นอน!
ฉินเย่เอ่ยต่อ “คาดการณ์จากสิ่งนี้ มันเห็นได้ชัดเจนเลยว่าตระกูลขงนั้นควรค่าแก่การถูกเรียกว่าระดับสูงของยมโลกแห่งเก่าอย่างแท้จริง แต่จากสิ่งที่พวกเจ้าทั้งสองได้พรรณาถึงจ้าวนรกองค์ที่สอง ข้ากล้าพูดเลยว่าแม้แต่ตระกูลจงเองก็คงไม่กล้าที่จะแย่งชิงมันมาจากมือของเขา นอกจากนี้ ก่อนหน้านี้เจ้ายังบอกอีกว่าราชสารลับเหล่านี้จะถูกส่งจากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่ง ซึ่งนั่นหมายความว่าเมื่อจ้าวนรกองค์ที่สองได้อนุมัติมันแล้ว มันก็จะถูกส่งกลับสู่มือของหน่วยทางเดินสวรรค์…”
หยางเหยียนเจาอ้าปากค้างและเอ่ยขึ้นด้วยความตกตะลึง “พระองค์ทรงกำลังจะบอกว่าตระกูลขง…สามารถระบุตำแหน่งเจ้าหน้าที่ของหน่วยทางเดินสวรรค์ได้หรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ตำแหน่งของหน่วยทางเดินสวรรค์ถูกค้นพบโดยตระกูลขงจริงๆอย่างนั้นน่ะหรือ?
นี่พวกเขาใช้วิธีอะไรกัน?
“มันอาจจะแย่กว่านั้นเสียอีก ข้าเกรงว่า…” ฉินเย่หัวเราะออกมาอย่างเย็นชา และเสียงพูดของเขาก็เบาหวิว
“เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน พวกเจ้าลองคิดดู ทำไมจ้าวนรกองค์ที่สองถึงเลือกที่จะอยู่เฉยๆและมองดูการตรัสรู็ของพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์โดยไม่ทำอะไรสักอย่าง?” ฉินเย่เดินไปที่โต๊ะและไล่นิ้วไปตามราชสารลับตรงหน้าอย่างกล้าหาญ “ต่อให้ราชสารลับนี้จะไม่ใช่ตัวกระตุ้น แต่มันก็จะต้องเป็นหนึ่งในสาเหตุที่นำไปสู่การล่มสลายครั้งใหญ่อย่างแน่นอน!”
มันชัดเจนแล้วว่าแก่นแท้ของยมโลกนั้นเน่าเฟะเพียงใดในตอนที่เกิดการล่มสลายครั้งใหญ่
ไม่คิดเลยว่าราชสารลับนั้นท้ายที่สุดแล้วจะตกสู่มือของพวกขุนนางระดับสูงของยมโลก!
หากสิ่งนี้เกิดขึ้นในราชวงศ์อื่น มันจะต้องเป็นสัญญาณบ่งบอกอย่างแน่นอนว่าการล่มสลายของราชวงศ์นั้นใกล้เข้ามาแล้ว
“ไม่น่าเชื่อ…” อาร์ทิสถอนหายใจออกมาหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง “ข้าอยู่ห่างจากฐานปฏิบัติการของตระกูลขงมาก ข้าเองก็เคยได้ยินมาว่าพวกเขาคือกองกำลังที่แข็งแกร่ง แต่ไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้…”
“นั่นไม่ใช่ประเด็น” ฉินเย่ยกนิ้วขึ้นและส่ายไปมา “พวกเจ้าไม่เคยสงสัยเลยหรือว่าเนื้อหาภายในถูกเขียนเอาไว้ว่าอะไร?”
“เหตุใดราชสารลับฉบับนี้จึงมาอยู่ที่นี่? ตระกูลขงอาจจะเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่ง แต่ทำไมมันถึงถูกฝากฝังไว้กับขงโม่?”
ประโยคดังกล่าวเป็นเหมือนสายฟ้าที่ผ่าลงมาและสลายกลุ่มก้อนเมฆแห่งความสงสัยที่ปกคลุมอยู่ภายในใจของอีกสองคน
“ขงโม่คือสายลับที่ตระกูลขงส่งออกไปเพื่อทำภารกิจ?” ดวงตาของอาร์ทิสเป็นประกายขึ้นขณะที่เอ่ย “ใช่แล้ว…นั่นอธิบายว่าทำไมเขาถึงมีวัตถุหยินที่ทรงพลังหลายอย่างอยู่ในครองครอง! อ้อ! และมันยังอธิบายเกี่ยวกับพระราชวังแห่งการสะท้อนเงาอีกด้วย! ขงโม่จะสามารถครอบครองวัตถุหยินที่ทรงพลังขนาดนี้ได้อย่างไรเว้นเสียแต่ว่าเขาจะได้รับมอบมันมาจากตระกูลขง?”
หยางเหยียนเจาเองเข้าใจในทันที “ไม่เพียงเท่านั้น มันไม่มีทางเลยที่ผู้ถูกเนรเทศเพียงคนเดียวจะสามารถครอบครองวัตถุหยินจำนวนมากที่สามารถเติมเต็มห้องทั้งสามสิบของถ้ำได้ มันเป็นไปไม่ได้ คนอื่นๆจากตระกูลขงจะต้องคอยช่วยเหลือเขาแน่!”
“อีกนัยหนึ่งก็คือ ตระกูลขงตั้งใจที่จะทำอะไรบางอย่าง และนั่นก็คือเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงตัดสินใจที่จะเนรเทศเขาไปที่ลิมโบและขับไล่เขาออกจากการเป็นที่จับตามอง ไม่เช่นนั้น ราชสารลับฉบับนี้คงไม่มีอยู่ที่นี่!”
อาร์ทิสเงยหน้าขึ้นมองเพดานและพยักหน้าเบาๆ
มันมีอีกความคิดหนึ่งที่เพิ่งผุดขึ้นมาในหัวของเขา
มันเป็นเพียงแค่ความเป็นได้เท่านั้น แต่เป็นความเป็นไปได้ที่น่ากลัวไม่เบา หากพูดกันตามตรง มันเป็นความคิดที่อาจถูกมองว่าไร้สาระหากอยู่ในสถานการณ์อื่นๆ แต่ฉินเย่ก็ไม่คิดที่จะปล่อยมันไป
ความคิดของเขาก็คือ – สาเหตุที่ขงโม่ถูกเนรเทศไปยังลิมโบก็เพราะราชสารลับฉบับนี้ นี่จะต้องสร้างความไม่พอใจให้กับจ้าวนรกองค์ที่สอง แต่แล้วมันก็เป็นตอนที่พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ได้ตรัสรู้และขึ้นสู่สรวงสวรรค์พอดี และยมโลกก็ล่มสลายลงในเวลาไม่นาน มันเป็นโอกาสดีที่จะจัดการกับอสูรกายที่กำลังหลับไหลอยู่ในยมโลกซึ่งก็คือตระกูลขง ด้วยเหตุนี้ จ้าวนรกองค์ที่สองจึงอาศัยการทำลายล้างนี้และปล่อยให้ตระกูลขงทั้งหมดหายไปพร้อมกับยมโลก
มันเป็นสิ่งที่บ้าและอยู่เหนือความคาดหมายของทุกคนอย่างสิ้นเชิง
มันจะต้องมีบางสิ่งบางอย่างที่สามารถสร้างความเดือดดาลให้กับจ้าวนรกองค์ที่สองเกิดขึ้น ตระกูลขงจะต้องทำพลาดบางอย่าง ซึ่งทำให้จ้าวนรกองค์ที่สองเริ่มรับรู้ถึงความเน่าเฟะของยมโลก และหากมันเป็นเช่นนั้นจริง…เขาก็สามารถทำได้เพียงจินตนาการว่ามันจะต้องเป็นสิ่งที่รุนแรงมากเพียงใด…บางทีมันอาจจะรุนแรงมากจนเป็นต้นเหตุของการล่มสลายครั้งใหญ่ของยมโลกก็เป็นได้!
และสิ่งนี้ หรือเหตุการณ์นี้ ก็อาจจะถูกบันทึกไว้ในม้วนกระดาษที่อยู่ตรงหน้าของเขา!
แน่นอน นี่เป็นเพียงข้อสันนิษฐานที่อ้างอิงจากอิทธิพลของเวลา สถานการณ์ และคำใบ้ต่างๆ เมื่อคิดได้ดังนี้ ฉินเย่ก็เก็บความคิดทั้งหมดและเอื้อมมือเพื่อไปหยิบราชสารลับดังกล่าวมาทันที
ไม่ว่าจะในกรณีใด เนื้อหาที่อยู่ในม้วนกระดาษนี้จะต้องมีความสำคัญเป็นอย่างมาก และมันก็กระตุ้นความอยากรู้ของฉินเย่ให้พุ่งขึ้นไปยังจุดสูงสุด!
เปรี้ยง!!
แต่ขณะที่เขาเอื้อมออกไป เขาก็รู้สึกถึงคลื่นสะท้อนที่รุนแรงจากราชสารลับตรงหน้า กระแทกเข้ากับมือของเขาจนรู้สึกชาไปหมด
“ผนึก?” อาร์ทิสมองด้วยความตกตะลึง สัญลักษณ์แปลกประหลาดสองสัญลักษณ์ปรากฏขึ้นในดวงตาของนางขณะที่นางวิเคราะห์ม้วนกระดาษตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ “โชคดี มันไม่ใช่ผนึกของท่านจ้าวนรกองค์ที่สอง ถึงแม้ว่ามันจะค่อนข้างน่ารำคาญ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเราไม่สามารถเปิดมันได้”
“เจ้าสามารถเปิดมันได้หรือ?” ฉินเย่ถามอาร์ทิสอย่างสงสัย มันไม่ใช่ว่าเขาสงสัยในคำพูดของนาง แต่มันเป็นเพราะว่าตระกูลขงดูเหมือนจะมีวิธีการแปลกๆมากมายซ่อนอยู่ และเขาก็คิดไม่ออกเลยว่าอาร์ทิสจะมีธีการที่สามารถเทียบชั้นกับขุนนางระดับสูงของยมโลกได้อย่างไร
“ข้าทำไม่ได้” อาร์ทิสตอบตามความจริง
เช่นนั้นเจ้าจะพูดมันออกมาทำไมกัน?!
หน้าอกของฉินเย่กระเพื่อมขึ้นลงด้วยคำก่นด่ามากมายที่เตรียมจะพุ่งตรงไปที่อาร์ทิส แต่ก่อนที่เขาจะได้เอ่ยออกไป อาร์ทิสก็รีบเอ่ยต่อ “แต่ท่านตี้ทิงสามารถทำได้”
“นอกเหนือจากพระกษิติครรภโพธิสัตว์ ท่านตี้ทิงนั้นไม่เป็นสองรองใครเมื่อเป็นเรื่องของศาสตร์แห่งยันต์”
ฉินเย่กลืนคำสบถทั้งหมดกลับลงไป ณ จุดนี้ ความอยากรู้ของเขาเกี่ยวกับเนื้อหาภายในราชสารลับนั้นสำคัญกว่าทุกสิ่งที่เขาจะต้องพูดกับอาร์ทิส สิ่งใดกันที่จำเป็นจะต้องได้รับการปกปิดอย่างแน่นหนาถึงเพียงนี้ ทั้งเนรเทศขงโม่ไปสู่ลิมโบ และฝากฝังพระราชวังแห่งการสะท้อนเงา?
ฉินเย่เข้าใจดีว่าเนื้อหาทั้งหมดที่อยู่ในราชสารลับนี้คงจะกลายเป็นอดีตไปพร้อมกับยมโลกแห่งเก่าไปแล้ว
แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังอยากรู้อยู่ดี!
ความอยากรู้ฉินเย่พยักหน้าและหยิบราชสารลับอีกครั้ง แต่แทนที่เขาจะพยายามเปิดมัน เขาเพียงโยนมันไปให้อาร์ทิสเพื่อเก็บมันเอาไว้
และมันก็เป็นตอนนั้นเองที่เขาเห็นว่าด้านล่างของมันมีสิ่งอื่นถูกซ่อนอยู่!
มันคือลูกบอลสีดำ
หากพูดให้ละเอียดกว่าเดิมก็คือ มันคือลูกปัดสีดำที่ถูกฝังอยู่ในแผ่นหินด้านล่าง ก่อนหน้านี้ การมีอยู่ของมันถูกปกปิดอย่างมิดชิดโดยราชสารลับที่วางอยู่ด้านบน หากไม่ยกม้วนกระดาษขึ้น มันจะไม่มีทางรู้เลยว่ามีลูกปัดนี้อยู่ด้านล่าง
ลูกปัดลูกนี้มีขนาดเพียงนิ้วหัวแม่มือเท่านั้น แต่ทันทีที่ฉินเย่เห็นมัน เขากลับได้ยินเสียงกรีดร้องของดวงวิญญาณที่โศกเศร้าจำนวนนับไม่ถ้วนดังขึ้นภายในหู แทบจะเหมือนกับว่าเขาเพิ่งจมลงสู่ทะเลแห่งความโศกเศร้าอันไร้ที่สิ้นสุด หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ลูกปัดสีดำดังกล่าวก็พุ่งออกมาจากแท่นหิน!
“นั่นคือ…ลูกประคำแห่งความโกรธของวิญญาณอย่างนั้นหรือ?” อาร์ทิสชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะคว้าของในมือของฉินเย่และพุ่งตัวออกจากห้องทันที
ฟึ่บ! ลูกปัดสีดำจมลงไปในกลุ่มก้อนพลังหยินอันหนาแน่นด้านล่าง เหลือไว้เพียงแสงสีดำที่ยังคงติดตา
เงียบ
เงียบสนิท
การตกลงไปของลูกปัดสีดำดูเหมือนจะกลืนกินเสียงทุกเสียงในโลก ทุกสรรพสิ่งโดยรอบเงียบเสียงลงอย่างน่าขนลุก แทบจะเหมือนกับเสียงกระซิบเบาๆที่ทำให้เกิดเสียงสะท้อนไม่รู้จบ
“ดูเหมือนว่าโชคของเราจะไม่ได้เลวร้ายไปเสียทั้งหมด…” อาร์ทิสจ้องมองกลุ่มพลังหยินที่ยังคงเพิ่มขึ้นมาจากด้านล่างของหลุม “ข้าไม่คิดเลยว่าขงโม่จะยังมีไพ่ตายอื่นซ่อนเอาไว้!”
“ท่านควรจะขอบคุณดวงดาวนำโชคของตัวเอง เพราะสิ่งนี้คือผลประโยชน์จากสงครามที่แท้จริง!”