ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 451: ผลผลิตจากการลงแรง (2)
บทที่ 451: ผลผลิตจากการลงแรง (2)
ถ้ำที่เกิดจากฝีมือมนุษย์สองถ้ำปรากฏขึ้นให้เห็นก่อนถึงกองหินวิญญาณด้านล่าง
“ข้าเองก็แทบจะไม่เชื่อสายตาของตัวเองตอนที่เห็นมันครั้งแรกเช่นกัน” ฉินเย่เอ่ยออกมาเสียงเบา ก่อนจะเดินนำลงไปด้านล่าง “และสิ่งที่อยู่ภายในก็ไม่ใช่สิ่งใดอื่นนอกจากคลังสมบัติของขงโม่”
“นี่คือสถานที่เขาใช้ซ่อนของทั้งหมดที่เขานำมาจากยมโลก! มหาศาล มหาศาลจริงๆ! นี่เป็นคลังสมบัติที่หรูหรามากที่สุดที่ข้าเคยเห็นมาทั้งชีวิต!”
“น่าเสียดายที่พวกเจ้าคงไม่สามารถตามข้าเข้าไปในถ้ำได้ พลังหยินด้านล่างนี้เข้มข้นเกินกว่าที่ร่างกายของพวกเจ้าจะรับไหว ปราศจากการแต่ตั้งตำแหน่งอย่างเป็นทางการในฐานะยมทูต พวกเจ้าจะไม่สามารถมีชีวิตรอดได้เมื่อลงไปด้านล่าง เหตุผลเดียวที่ข้าตัดสินใจพาพวกเจ้ามาที่นี่ก็เพื่อที่พวกเจ้าจะได้เห็นถึงแหล่งทรัพยากรที่เรามีอยู่ในมือ และพวกเจ้าจะได้เริ่มคิดถึงการแบ่งใช้หินวิญญาณเหล่านี้ในอุตสาหกรรมของตัวเอง โลกใต้พิภพนั้นแตกต่างจากแดนมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาหรือการใช้ชีวิต พวกเจ้าจะต้องปรับตัวกับสิ่งเหล่านี้ให้ได้”
เมื่อเอ่ยจบ ฉินเย่ หยางเหยียนเจา และอาร์ทิสก็หายวับไปขณะที่พวกเขาลงไปยังด้านล่างของหลุม วิญญาณตนอื่นๆที่ยืนอยู่ที่ขอบหลุมต่างจมอยู่กับความคิดของตนเอง หลังจากผ่านไปพักใหญ่ หนึ่งในวิญญาณก็เอ่ยขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ “ข้ายังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าแหล่งทรัพยากรที่ขนาดใหญ่เช่นนี้จะมีอยู่จริง…และมันยังเป็นของยมโลกอีกด้วย!”
“ทุกคน” วิญญาณอีกตนหนึ่งเอ่ยแทรกขึ้นมาก่อนที่วิญญาณตนแรกจะเอ่ยจบ “หากพูดกันตามจริง มันไม่ใช่ว่าพวกเราไม่เคยเห็นการใช้งานของหินวิญญาณมาก่อน พวกเจ้าจำตอนที่ราชาอสูรวิญญาณเข้ามาใกล้นครเผิงชิวในรัศมี 5,000 ได้หรือไม่? นั่นคือครั้งเดียวที่โลงศพส่งวิญญาณถูกใช้งาน หากข้าจำไม่ผิด ข้าจำได้ว่าทางกองทัพได้ใส่คริสตัลชิ้นหนึ่งที่มีความยาวหนึ่งเมตรเข้าไปในโลงศพส่งวิญญาณ พอมาลองคิดดูแล้ว นั่นจะต้องเป็นหินวิญญาณอย่างแน่นอน”
“ข้าเคยทำงานในฟาร์ม” วิญญาณร่างท้วมอีกคนหนึ่งขมวดคิ้วขณะที่นึกย้อนถึงประสบการณ์ของตัวเอง “ข้าเองก็จำเกี่ยวกับอาหารที่พวกเขามอบให้อสูรวิญญาณได้ พวกเขาจะนำหินวิญญาณชิ้นหนึ่งมาทุบมันให้ละเอียดก่อนจะใช้มันเป็นอาหารให้กับอสูรวิญญาณ หินวิญญาณที่ถูกใช้นั้นสามารถทดแทนอาหารอื่นๆสำหรับอสูรวิญญาณได้อย่างมาก หากพูดกันตามตรง ข้าค่อนข้างประหลาดใจมากในเวลานั้น ผู้ใดจะไปคิดว่าอสูรวิญญาณจะเพลิดเพลินไปกับการเคี้ยวหินกัน? มันใช่สิ่งที่เป็นไปได้อย่างนั้นหรือ?”
ในเวลาเดียวกัน ขณะที่เหล่าวิญญาณพูดคุยกันเกี่ยวกับการใช้งานของหินวิญญาณในอุตสาหกรรมต่างๆ ลูกไฟนรกสีเขียวหยกก็ลุกโชนลงไปตามขั้นบันได ทิ้งไว้เพียงแสงสลัวที่เผยให้เห็นเส้นทางด้านล่าง จากนั้น ขณะที่มันค่อยๆแพร่กระจายลงไป มันก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาว!
ฟึ่บ! ราวกับงูไฟ มันเลื้อยไปตามบันได ตรงไปยังด้านล่างของหลุม ภายในไม่กี่นาที ทั้งบันไดก็ถูกจุดไฟขึ้น
…………………………………………………………..
“ช่างเป็นการติดตั้งไฟที่โบราณมากจริงๆ” ฉินเย่เงยหน้าขึ้นและมองไปรอบๆ
ทั้งหลุมดูไม่ต่างอะไรจากหนึ่งในขุมนรกที่ลุกที่สุดในตำนานของทางตะวันตกที่มีบันไดวนลึกลงไป 500 เมตร พร้อมด้วยราวจับเหล็กและโซ่เหล็กลอยอยู่เหนือศีรษะ รางบนผนังถูกสร้างขึ้นเพื่อสร้างความสว่างจากการจุดไฟ และมันก็ทำให้ทั้งหลุมสว่างขึ้นด้วยประกายแสงที่น่าขนลุก
มันรู้สึกไม่ต่างไปจากการเข้าสู่สุสานโบราณที่ถูกจุดไฟบนรางที่ไล่ไปตามผนังเลยสักนิด
“ท่านคิดว่าขงโม่จะสามารถคิดค้นสิ่งที่คล้ายกับนวัฒกรรมสมัยใหม่ได้อย่างนั้นหรือ?” อาร์ทิสหันไปมอง “แต่…ไฟพวกนี้ก็สวยดีเหมือนกัน”
นี่เจ้าพูดเรื่องบ้าอะไร? มันเป็นที่แน่นอนอยู่แล้วว่าแหล่งกำเนิดแสงพวกนี้ย่อมดูดีในความมืด! ฉินเย่ลอบก่าด่าในใจ แต่ไม่นานเขาก็ได้สติและมองด้วยแววตาเหลือเชื่อ “นั่นสิ…นี่มันไม่ใช่แค่สวยงามแล้ว”
แสงดังกล่าวแนุ่มนวน และไม่แสบตาหรือสลัวจนเกินไป
มันดูไม่ต่างอะไรจากแสงในแดนมนุษย์เลยแม้แต่น้อย!
“นี่เจ้ากำลังจะบอกว่าพวกเราควรพิจารณาในการปรับใช้ระบบนี้แทบการใช้แสงไฟฟ้าอย่างนั้นหรือ?” ฉินเย่เอ่ยออกมา
อาร์ทิสหันไปมองยังไฟดังกล่าวอีกครั้งก่อนจะกระแอมออกมาเบาๆ “อ่า ใช่แล้ว! แสงไฟฟ้า! ว่าแล้วว่าทำไมมันถึงได้ดูคุ้นตานัก…”
ฉินเย่ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะหันกลับไปมองอาร์ทิสด้วยสายตาดุร้าย “หมายความว่าสิ่งที่เจ้าพูดไปเมื่อครู่ทั้งหมดล้วนมาจากข้อเท็จจริงที่ว่าไฟดังกล่าวดูคุ้นตา?”
“ท่านหมายความว่าอย่างไร… ข้าเพียงแค่บังเอิญนึกถึงแสงๆไฟขึ้นมาก็เท่านั้น ฮ่าๆๆๆ…”
น้ำเสียงของฉินเย่เย็นยะเยือกราวกับฆาตกรผู้เย็นชา “น่าเสียดาย ข้านึกว่าเจ้าจะพอจะได้รับสติปัญญาเหมือนอย่างที่ลิงได้วิวัฒนาการเป็นมนุษย์เสียอีก น่าเสียดายที่เจ้ายังคงดึกดำบรรพ์เหมือนปลาซัมมะดังเดิม”
“เกิดอะไรขึ้นกับท่านและคำพูดแสนรื่นหูกัน? เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าท่านเริ่มทำตัวไร้ความเคารพข้ามากขึ้นตั้งแต่ที่ท่านได้รับตำแหน่งขั้นตุลาการนรกที่แท้จริง?”
“ฮ่าๆๆๆ…เหตุใดเจ้าถึงพูดราวกับว่าข้าเคยปฏิบัติกับเจ้าด้วยความเคารพและความกลัวกัน? พูดกันตามตรงนะ – มันเป็นเพียงเพราะว่าข้าไม่สามารถเอาชนะเจ้าได้ในอดีต! และตอนนี้ข้าก็แบกรับความน่าอับอายนั้นมานานเกินไปแล้ว!”
หยางเหยียนเจาเดินอยู่ด้านหลังของทั้งสองอย่างเงียบๆ
ข้าไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น~~ ไม่ได้ยินอะไร~~… ไม่ได้ยินอะไรเลย และไม่เห็นอะไรเลยด้วย~~…
ระดับสูงทั้งสองของยมโลกยังคงพ่นคำพูดจิกกัดกันเป็นเวลากว่าสามนาทีก่อนที่อาร์ทิสจะเปลี่ยนหัวข้อ “เปลวไฟนรกนี้เผาเลือดอสูรวิญญาณผสมกับหินวิญญาณ นอกจากนั้น เนื่องจากการคงอยู่ของเปลวไฟนรกไม่จำเป็นต้องใช้ทรัพยากรมากนัก แหล่งกำเนิดแสงดังกล่าวจึงสามารถส่องสว่างได้เป็นเวลานาน และข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการใช้แหล่งพลังงานเหล่านี้บอกข้าว่ามันยังมีฝูงอสูรวิญญาณอยู่ใกล้ๆ”
ฉินเย่ลูบคางตัวเองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันกลับไปด้านหลัง “แม่ทัพหยาง หลุมนี่เพิ่งถูกเปิดออกวันนี้ใช่หรือไม่?”
“พ่ะย่ะค่ะ” หยางเหยียนเจาสามารถสาบานได้เลยว่าเขาถูกชักจูงไปกับอิทธิพลของคนที่เดินอยู่ด้านหน้าทั้งสอง เขามั่นใจเป็นอย่างมากว่าหลังจากที่กลับไปยังตระกูลหยาง เขาจะสามารถคิดหาคำมาตำหนิเหล่าน้องชายน้องสาวของตนเองได้อย่างแน่นอน กระแอมออกมาเบาๆ เขาขจัดความคิดเห็นทั้งหมดออกไปและตอบคำถามของฉินเย่ “หลุมนี้ปรากฏขึ้นทันทีที่พระราชวังแห่งการสะท้อนเงาหยุดทำงานไปก่อนหน้าน้ี แต่ทุกห้องภายในถ้ำกลับถูกปิดผนึกด้วยผนึกของตระกูลขง การฝืนบุกเข้าไปมีแต่จะทำลายทุกอย่างที่ถูกเก็บไปด้านใน โชคดี ยิ่งเป็นผนึกที่แข็งแกร่งเท่าไหร่ ข้อจำกัดก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น และผนึกดังกล่าวก็จำเป็นจะต้องได้รับการผนึกซ้ำในทุกๆหนึ่งเดือน แต่หลายจวิ่นเฉินไม่ได้อยู่ที่นี่เพื่อทำตามคำสั่งของขงโม่อีกต่อไป ดังนั้น ห้องทั้งหมดจึงถูกปิดมาจนถึงวันนี้พ่ะย่ะค่ะ”
ในขณะที่พูด ทั้งสามก็มาถึงที่ตรงหน้าห้องส่วนแรกของถ้ำ ฉินเย่แสร้งกระแอมออกมาเบาๆ จากนั้น…
เขาก็พุ่งเข้าไปอย่างรวดเร็วราวกับคนเสียสติ!
ว่างเปล่า! ว่างเปล่า!
ว่างเปล่า…พระเจ้า…อาร์ทิสเองก็เข้าไปด้านในหลังจากที่ฉินเย่พุ่งเข้าไปเล็กน้อย และนางก็พบเห็นเด็กหนุ่มนั่งอยู่บนพื้น กระสับกระส่ายและสิ้นหวัง
มันเป็นเพราะว่าทั้งห้องนั้นว่างเปล่า!
ทั้งห้องถูกสร้างขึ้นจากหินวิญญาณ และด้านในก็มีเพียงสิ่งที่คล้ายกับโต๊ะบูชาตั้งอยู่กลางห้อง แต่มันไม่มีสิ่งใดวางอยู่เลยสักนิด ถึงแม้ว่าแท่นดังกล่าวจะดูธรรมดาและเรียบง่าย แต่มันก็ยังคงให้ความรู้สึกหรูหราเนื่องจากมันถูกสร้างขึ้นมาจากหินวิญญาณ
“เป็นไปได้อย่างไร…” ฉินเย่จ้องมองไปที่โต๊ะบูชา มึนงงโดยสมบูรณ์ มันแทบจะเหมือนกับว่าภายในใจของเขากำลังบิดเบี้ยวและเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส
“ฝ่าบาท…” หยางเหยียนเจาคิดที่จะเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย แต่ทันใดนั้นสัญชาตญาณของเขาก็บอกกับเขาว่าอย่าตกหลุมพรางการเสแสร้งนั้น สามวินาทีต่อมา ชายหนุ่มผู้ตรงไปตรงมา หยางเหยียนเจาก็เอ่ยต่อ “ภายในถ้ำแห่งนี้มีห้องแยกย่อยทั้งสิ้น 30 ห้อง ขงโม่ไม่มีทางที่จะทิ้งทุกอย่างไว้ที่นี่แน่พ่ะย่ะค่ะ เขาจะต้องนำบางสิ่งติดตัวไปเพื่อเผชิญหน้ากับราชาผี…”
ฉินเย่ไม่ได้หันหลังกลับไปหาหยางเหยียนจำหรือลุกขึ้นยืน กลับกัน เขาเพียงเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความเศร้า “ของข้า”
“หือ?” หยางเหยียนเจากระพริบตาพริบๆ เขาไม่เข้าใจว่าฉินเย่ต้องการจะสื่ออะไร
“ของๆข้า!” จู่ๆฉินเย่ก็ลุกยืนขึ้น “ของที่เคยอยู่ที่นี่เดิมทีแล้วควรจะเป็นของข้า และข้าก็เพียงแค่ทวงคืนของๆตัวเอง! ข้าจะปล่อยตาเฒ่าเจ้าเล่ห์นั่นหอบทุกอย่างหนีไปได้อย่างไร? เจ้าเข้าใจในสิ่งที่ข้าต้องการจะสื่อหรือไม่?”
“… พ่ะย่ะค่ะ…”
ท่านพ่อ ข้ารู้ว่าท่านเคยบอกว่าท่านฉินนั้นเป็นผู้นำที่ค่อนข้างน่าสนใจ แต่ท่านไม่คิดหรือว่าครั้งนี้ ท่านใช้คำว่า ‘น่าสนใจ’ ผิดความหมายเกินไป?!
“เร็วเข้า!” ฉินเย่เอ่ยออกมาอย่างไม่พอใจนักขณะที่เดินลงไปด้านล่างต่อ “ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะสามารถเอาทุกอย่างที่เป็นของข้าไปได้! มันจะมีประโยชน์อะไรที่จะผนึกห้องพวกนี้เอาไว้หากมันไม่มีสิ่งใดถูกเก็บเอาไว้ที่นี่?!นั่นจะเป็นการเสียเวลาอย่างมาก! มันจะต้องมีบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญมากอยู่ที่นี่อย่างแน่นอน! มันจะต้องมีบางสิ่งบางอย่างที่ควรค่าแก่การคุ้มกันอย่างแน่นหนานี้+”
น่าเสียดาย แต่ความฝันของฉินแย่และความจริงนั้นอยู่ห่างกันไกลแสนไกลพอๆกันกับการที่เขาอยู่ห่างจากผู้ที่ควรจะเป็นแฟนสาวของตน ความเป็นจริงที่โหดร้ายนั้นยากที่จะเข้าใจได้พอๆกับผู้ที่อันเป็นที่รักของเขา
ว่างเปล่า… ว่างเปล่า… แล้วก็ว่างเปล่า?!!
ฉินเย่ยังคงมีท่าทีสงบนิ่งในตอนที่เริ่มต้นของการเดินทางที่สิ้นหวังนี้ แต่หลังจากเดินผ่านมากว่า 20 ห้อง ดวงตาของเด็กหนุ่มกลับลุกโชนด้วยเปลวไฟนรก เขาดูน่ากลัวยิ่งกว่าภูตผีที่ชั่วร้ายที่สุดเสียอีก
แต่ถึงกระนั้น…
ไม่มี ไม่มีอะไรเลย!!!
สิบนาทีต่อมา ทั้งสามก็เดินมาถึงจุดที่ก้นหลุม ซึ่งเป็นจุดที่ห้องสุดท้ายตั้งอยู่
ลมหายใจของฉินเย่ติดขัดและถี่รัว ในขณะที่ดวงตาของเขาลุกโชนด้วยเปลวไฟที่วูบไหว การกระทำของขงโม่ทำให้เขาแทบจะเสียสติ
ต้องทำขนาดนี้เลยหรือ?!
นี่เจ้ากลัวตายขนาดไหนกัน?! คิดอย่างไรถึงนำของทั้งหมดในนี้ไปเพื่อสู้กับราชาผีที่แสนโง่เขลา?! นี่เจ้ากำลังลอกเลียนแบบข้าอยู่หรืออย่างไร? เจ้าเคยเห็นขั้นยมเทพที่ร่วมมือกับตุลาการนรกตั้งแต่แรกโดยที่ไม่แม้แต่จะหวาดกลัวหรือไม่?
“แม่ทัพหยาง…” ฉินเย่หลับตาลงและระงับความต้องการที่จะก่นด่าขงโม่เอาไวเห่อนจะกัดฟันแน่น “เจ้าเข้าไปดูที”
หยางเหยียนเจาเลิ่กคิ้วขึ้นเล็กน้อย โดยไม่ถามอะไร เขาเปลี่ยนร่างเป็นสายลมนรกและพุ่งเข้าไปในห้องทันที
เงียบ
ฉินเย่เดินขึ้นลงบันไดด้วยความโมโห อาร์ทิสที่เห็นเช่นนั้นก็ขมวดคิ้ว “ใจเย็นๆ หากมันมีอะไรอยู่ มันก็มีไป หรือต่อให้มันไม่มี ท่านก็ยังสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้ นอกจากนี้ สิ่งที่ท่านได้มาจากนครเผิงชิวก็มากเพียงพอที่จะทดแทนสิ่งเหล่านี้ได้แล้ว”
“ถ้าเช่นนั้นมันจะมีเหตุผลอะไรที่ทำให้เขาสร้างรูขนาดใหญ่นี้ไว้ในหลุม?!” คำพูดของอาร์ทิสกระตุ้นให้เด็กหนุ่มระเบิดออกมาทันที “นี่เขาเป็นกระต่ายหรืออย่างไร?! เหตุใดจึงต้องขุดรูเยอะขนาดนี้ด้วย?! เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันรู้สึกอย่างไรที่ได้เห็นโพรงกระตายเต็มไปหมด แต่กลับพบว่าโพรงทั้งหมดว่างเปล่า?! การกระทำของเขามันแปลกประหลาด! ข้าจะบอกอะไรให้นะ—…”
“ฝ่าบาท!! กระหม่อมเจอบางอย่างพ่ะย่ะค่ะ!!”
“อย่าเพิ่งขัด!” ฉินเย่ตะโกนกลับไปด้วยความโกรธ “ข้าจะบอกอะไรให้นะ! เขาควรจะสวดภาวนาว่าจะไม่ได้พบกับข้าอีก! ไม่เช่นนั้น ข้าจะจัดการเขาให้หลาบจำ! กลัวตายอย่างนั้นหรือ?! ผู้รอดชีวิตอย่างนั้นหรือ?! ใครก็ตามที่กลัวตายมากกว่าข้าก็ควรที่จะ—…”
ทันใดนั้นเขาก็ชะงักไป กระพริบตาปริบๆ ก่อนจะมองเข้าไปยังห้องสุดท้าย และหันกลับมาอีกครั้ง
ความหวังสุดท้ายยังมีอยู่!
ทันใดนั้น ร่างของเขาก็หายไปจากจุดที่ยืนอยู่ และปรากฏขึ้น ณ ใจกลางห้องของห้องสุดท้าย
การออกแบบภายในห้องนี้เป็นเหมือนกับห้องอื่นๆก่อนหน้า แต่มันกลับมีม้วนระดาษม้วนหนึ่งวางอยู่ด้านบนสุดของโต๊ะบูชาที่ตั้งอยู่กลางห้อง
มันคือม้วนกระดาษโบราณ
สีดำสนิท และถูกวาดเป็นลายคลื่น สายเชือกสีทองผูกมันเอาไว้ มันดูเก่าและขาดเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าถูกขงโม่ใช้มานับครั้งไม่ถ้วน หากพูดกันตามตรง มันดูเปราะบางเสียจนเกือบจะดูเหมือนว่าสามารถสลายไปได้ทันทีที่ถูกสัมผัส
“นี่มัน–…” ฉินเย่ขมวดคิ้ว มันแปลก ม้วนกระดาษตรงหน้าแผ่กลิ่นอายที่ดูอันตรายออกมา แต่ในขณะเดียวกัน…มันกลับแยกออกจากม้วนกระดาษอย่างสิ้นเชิง
มันเป็นความขัดแย้งที่แปลกประหลาดมาก
เขาก้าวไปข้างหน้าเล็กน้อยเพื่อที่จะได้มองมันให้ชัดขึ้น แต่ทันใดนั้น สายฟ้าพลังหยินก็ผ่าลงมาและดีดร่างของเขาออกมา เสี้ยววินาทีต่อมา อาร์ทิสก็ตะโกนออกมาเสียงดัง “ถอยมา!!”
แววตาของฉินเย่ไหววูบ โดยปราศจากความลังเล เขารีบถอยออกมาที่ทางเข้าของห้องทันที ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะทรงพลังกว่าอาร์ทิส แต่อีกฝ่ายก็ยังมีข้อมูลเกี่ยวกับวัตถุหยินแปลกประหลาดในโลกใต้พิภพมากกว่าเขาอยู่ดี
บรรยากาศที่ตึงเครียดปกคลุมพื้นที่ หลังจากที่เงียบเป็นเวลาหนึ่ง ฉินเย่ก็สามารถรวบรวมสติของตัวเองได้ในที่สุด เขาหันไปถามอาร์ทิส “นั่นมันอะไรกัน?”
ไร้ซึ่งคำตอบ
อาร์ทิสจ้องไปยังม้วนกระดาษตรงหน้าเป็นเวลากว่าหนึ่งนาทีเต็มก่อนจะพึมพำออกมาในที่สุด “ข้าไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ที่นี่…”
โดยไม่เว้นช่วง นางเอ่ยต่อ “ท่าน–…ลองมองมันโดยใช้ดวงตาตุลาการดู”