ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 450: ผลผลิตจากการลงแรง (1)
บทที่ 450: ผลผลิตจากการลงแรง (1)
ฉินเย่นั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ ดูสงบนิ่งอย่างเห็นได้ชัด แต่ความจริงของเรื่องนี้ก็คือหัวใจของเขากำลังเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง!
เขารับรายชื่อทั้งหมดมาด้วยมือที่สั่นเทาเล็กน้อย – 17 อุตสาหกรรม… และเหล่าวิญญาณผู้เชี่ยวชาญอีก 3,600,000 ตน! และนี่ยังรวมวิญญาณวิญญาณทุกประเภท ตั้งแต่ธรรมดาที่สุดไปจนถึงเหล่าหัวหน้าของอุตสาหกรรมใหญ่และมหาอำนาจต่างๆ!
และวิญญาณทั้งหมดก็ล้วนอยู่ภายในนครเผิงชิว!
นี่คือประโยชน์สูงสุดของสงคราม!
มันเป็นเหมือนกับการที่ผู้บุกรุกชาวยุโรปแย่งมันฝรั่งไปจากอูโซเนียและเสนอให้พวกเขาเป็นทาสและคนรับใช้ของตนเอง นับตั้งแต่นั้น เหล่าคนยากจนก็ไม่จำเป็นจะต้องอดอาหาร และจำนวนประชากรของพวกเขาก็พุ่งสูงขึ้น ก่อนจะค่อยๆตามทันชาวจีนในที่สุด [1]
และมันก็เหมือนกับยุคสมัยอันยิ่งใหญ่แห่งการเดินเรือซึ่งเต็มไปด้วยปืนใหญ่และดินปืน ผู้บุกรุกช่วงชิงสมบัติทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นทองคำ เงิน ยาสูบ และเครื่องเทศ สงครามคือสิ่งที่ทำให้เกิดชาติต่างๆในแดนมนุษย์ที่พวกเรารู้จัก
ยมโลกแห่งใหม่เพิ่งมีอุตสาหกรรมเพียงที่สามแห่งเท่านั้น ซึ่งมันก็ได้แก่อุตสาหกรรมงานไม้ อุตสาหกรรมก่อสร้าง และ อุตสาหกรรมสรรพาวุธ ด้วยเหตุนี้ หอแห่งการสั่นสะเทือนจึงไม่สามารถพิจารณาได้ว่าถูกใช้งานอย่างเต็มรูปแบบ เพราะอย่างไรแล้ว ยมโลกก็ไม่สามารถเข้าถึงความสามารถของมันได้โดยสมบูรณ์หากปราศจากน้ำพุเหลือง แต่ตอนนี้…ยมโลกเพิ่งเพิ่มอุตสาหกรรมมาอีกสิบกว่าแห่ง
นี่หมายความว่าอย่างไร!?
มันหมายถึงเมืองที่เติบโตเต็มที่และกำลังเจริญเติบโตต่อไปอย่างมั่นคง!
มีเพียงตอนที่สิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานสามารถใช้การได้แล้วเท่านั้นเราถึงจะสามารถเริ่มพูดถึงการพัฒนา วัฒนธรรม ประเพณี และสังคมพื้นฐานได้ มันจะมีประโยชน์อะไรที่จะพูดถึงสิ่งเหล่านั้นหากประชากรยังคงเป็นกังวลเกี่ยวกับอาหารและที่กำบังของพวกเขา? มีเพียงตอนที่ความจำเป็นพื้นฐานมั่นคงแล้วเท่านั้นที่เราจะสามารถเริ่มพูดถึงฟิสิกส์ เคมี และแม้แต่พลังงานนิวเคลียร์ หรืออื่นๆได้
เขาไล่ตาดูรายชื่อทั้งหมด อุตสาหกรรมส่วนแรกๆจะรับผิดชอบเกี่ยวกับสิ่งจำเป็นพื้นฐานในการใช้ชีวิต ซึ่งรวมท้ังเสื้อผ้า อาหาร บ้านเรือน และการขนส่ง ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่เขารู้สึกชื่นชมจึงไม่ได้มีเพียงคุณค่าที่อุตสาหกรรมเหล่านี้สามารถสร้างได้ทำนั้น แต่มันยังรวมถึงสัญลักษณ์ของการดำรงอยู่ของพวกมันอีกด้วย
“อุตสาหกรรมการเกษตรและการทำฟาร์ม…” เขาไล่นิ้วมือไปตามรายชื่อทั้งหมดด้วยแววตาที่เป็นประกาย
นี่หมายความว่า…เขาจะมีสิ่งอำนวนความสะดวกที่จำเป็นแต่การเลี้ยงอสูรวิญญาณ! หากพูดตามตรง มันได้เริ่มไปแล้วด้วย!
“จริงอยู่ที่อสูรวิญญาณทั้งสี่ตัวที่ถูกส่งมาโดยตระกูลหยางนั้นเป็นตัวอย่างของอสูรวิญญาณที่ได้รับการฝึกฝนเลี้ยงดู แต่อุตสาหกรรมการเพาะพันธุ์ของนครเผิงชิวบอกเราว่าอสูรวิญญาณนั้นไม่ได้มีไว้เพียงทำสงครามอย่างเดียวเท่านั้น พวกมันยังสามารถผสมพันธุ์จนกลายเป็นสัตว์ปีกได้อีกด้วย! พวกเรากำลังพูดถึงการเพาะพันธุ์สัตว์เชียวนะ! การเพาะพันธุ์!” ความคิดของเขาเริ่มแล่น
บางทีมันจะอาจใช้เวลาไม่ถึงสิบปีก่อนที่เราจะได้เห็นภาพที่ไม่ได้มีเพียงวิญญาณเท่านั้นที่เดินอยู่บนถนน แต่อาจจะมีพาหนะ… หรืออาจจะรูปแบบอื่นๆของอสูรวิญญาณที่ใช้ในการขนส่ง หากพูดกันตามตรง...บางทีอีกไม่นานพวกเขาอาจจะค้นพบอสูรวิญญาณที่สามารถทำหน้าที่คล้ายกับรถไฟใต้ดินหรือเครื่องบินก็ได้!
หรือบางที ในอีกสิบปีข้างหน้า พวกเราอาจจะได้เห็นวิญญาณกลับบ้าน เพียงเพื่อที่จะได้รับการทักจากผู้เป็นมารดาด้วยประโยคที่ว่า ‘เร็วเข้า รีบเตรียมตัว! พ่อของลูกกำลังจะลงมาวันนี้! แม่กำลังจะทำอาหารโปรดเตรียมไว้ให้เขา! ลูกรีบไปรอเขาที่ศาลาเหนี่ยวรั้งวิญญาณเร็วเข้า!’ ก็เป็นได้
ในขณะเดียวกัน มันยังมีที่นาจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่นอกเมือง ผลิตทุกอย่างเพื่อให้ตรงตามความต้องการทางตลาดของเหล่าวิญญาณ มันมีแม้กระทั่งโรงงานทอผ้าที่เปิดทำงาน 24 ชั่วโมง ผลิตเสื้อผ้าทุกประเภทเพื่อออกให้ทันแฟชั่นล่าสุด!
เขาส่ายศีรษะและถอนหายใจออกมาเบาๆ
นี่เขาเริ่มพัฒนาความรู้สึกลึกซึ้งต่อยมโลกตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
ผู้ใดจะไปคิดว่าความคิดเหล่านี้จะทำให้เขา…รู้สึกตื่นเต้น?
เด็กหนุ่มพยายามตั้งสมาธิและอ่านเอกสารในมือต่อ
อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มทำให้เขารู้ว่าการเลี้ยงสัตว์ของที่นี่ไม่ได้อยู่ในขั้นแรกเริ่มแล้ว พวกเขากำลังมาถูกทาง บางทีวันหนึ่ง…พวกเขาอาจจะสามารถมีอาหารแบบฟูลคอร์สเลยก็ได้!
และเมื่อยมโลกเริ่มก้าวเท้าลงในสมรภูมินานาชาติอีกครั้ง นั้นไม่ได้หมายความว่าพวกเราจะสามารถเป็นเจ้าภาพในการจัดงานเลี้ยงใหญ่ได้หรอกหรือ?
ไม่ ไม่… เขาจะต้องหยุด… ยิ่งเขาคิดเรื่องพวกนี้มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นเท่านั้น…
อุตสากหรรมเบา… นั่นมันอะไรกัน? หืม…ลิปสติก? เครื่องสำอาง? ของเหล่านี้นับเป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมเบาด้วยอย่างนั้นหรือ? เขาแทบอดไม่ไหวที่จะไปดูขอบเขตการพัฒนาของอุตสาหกรรมพวกนี้แล้ว! ของเหล่านี้มันมาได้อย่างไรกัน?
พวกเขามีแม้กระทั่งอุตสาหกรรมความงาม! นั่น…พวกเขาคงจะจ้างวิญญาณที่มีพลังสูงมาควมคุมพลังหยินเพื่อใช้บนหน้าของลูกค้าใช่หรือไม่?
ด้วยความที่รู้ดีว่าตนไม่สามารถปล่อยให้คนอื่นๆรอนานได้ เขาจึงไล่สายตาผ่านส่วนที่เหลือของรายชื่อ หลังจากผ่านไปประมาณสิบนาที เขาก็ข่มความรู้สึกตื่นเต้นภายในใจของตนเองและสวมใส่ใบหน้าเรียบนิ่ง “ดีมาก เสี่ยวซวี ข้าต้องการผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้สรุปประสบการณ์การทำงานของพวกเขา รวมถึงสิ่งที่พวกเขาทำ เป้าหมาย และสิ่งที่พวกเขาต้องการจะพัฒนาในอนาคตมา กำหนดระยะเวลาส่งรายงานทั้งหมดนี้คือในอีกห้าวัน”
“รับทราบ”
“ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ…” ฉินเย่ใช้มือลูบรายชื่อตรงหน้าอย่างแผ่วเบา – ดูเหมือนว่าเขาจะต้องเพิ่มการตรวจสอบของจ้าวนรกลงในรายการสิ่งที่ต้องทำด้วยเสียแล้ว อย่างน้อยก็เพื่อให้ประชากรได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของเขา…เขาปิดหน้าเอกสารทั้งหมดและหันหน้าหาที่ประชุมอีกครั้ง “ทุกคน เพียงแค่สิ่งต่างๆที่แฝงอยู่ในรายการอุตสาหกรรมทั้งหมดนี้ก็น่าจะเพียงพอที่จะทำให้เรายุ่งไปทั้งสัปดาห์แล้ว แต่นี่ก็เป็นแค่ส่วนแรกของอีกหลายๆส่วนเท่านั้น”
“ในฐานะของผู้บริหารของยมโลก ข้าต้องการจะให้พวกเจ้ารู้ว่ามีสิ่งใดบ้างที่อยู่ภายในความครอบครองของยมโลก รวมไปถึงการใช้งานพวกมัน ดังนั้น ข้าจึงไม่มีความคิดที่จะปกปิดสมบัติอื่นๆจากพวกเจ้าตั้งแต่แรก”
ฉินเย่ลุกขึ้นยืน “ตามข้ามา”
ฟึ่บ... บานประตูเปิดออกเงียบๆ และฉินเย่ก็เปลี่ยนร่างเป็นกระแสลงที่พุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็ว อาร์ทิสยกมือขึ้นทันที และกลุ่มก้อนพลังหยินก็ห่อหุ้มรอบร่างของวิญญาณทั้งหมดและกลืนกินพวกเขาไป ในเสี้ยววินาทีต่อมา วิญญาณทั้งหมดก็หายวับไป
เมื่อพวกเขาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง พวกเขาก็อยู่ในสถานที่ซึ่งแตกต่างออกไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
“นี่มันอะไรกัน?” คนทั้งหมดมองไปรอบๆอย่างประหลาดใจ พวกเขาไม่สามารถบอกได้เลยว่าตอนน้ีตัวเองกำลังอยู่ที่ไหน มันรู้สึกราวกับว่าพวกเขากำลังอยู่ภายในพระราชวังขนาดใหญ่ที่มีขนาดพอๆกับสนามกีฬาอย่างเป็นทางการ มันมีอาคารมากมายที่ปรากฏให้เห็นในบริเวณใกล้เคียงซึ่งสร้างตามรูปแบบสถาปัตยกรรมสมัยราชวงศ์ถัง แผ่นหินขนาดใหญ่ถูกยกสูงด้วยเสาขนาดใหญ่ที่สูงอย่างน้อย 20 เมตรทำหน้าที่คล้ายเพดาน วิญญารอย่างพวกเขาดูตัวเล็กไปเลยเมื่อเทียบกับสิ่งก่อสร้างดังกล่าว
ธงวิญญาณห้อยลงมาจากชายคาของพระราชวัง ตัวผนังเองก็ถูกสลักด้วยรูปประติมากรรมนูนต่ำที่ส่องสว่างด้วยลูกไฟนรกซึ่งลอยอยู่รอบๆ ด้วยภาพเหล่านี้ ทั้งอาคารดูไม่ต่างอะไรจากสุสานขนาดใหญ่เลยแม้แต่น้อย
ทหารวิญญาณจำนวนอย่างน้อย 200 นายประจำการอยู่ที่นี่ ลาดตระเวนพื้นที่บริเวณใกล้เคียงราวกับฝูงผึ้งงาน พื้นที่ปิดล้อมพื้นที่ประมาณ 500 เมตรจากด้านหนึ่งจนถึงปลายอีกด้านหนึ่งปรากฏให้เห็นอยู่ ณ กึ่งกลางของอาคาร
ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ทุกคนต่างยุ่งอยู่กับการสำรวจสภาพแวดล้อมโดยรอบ แต่ไม่นานพวกเขาก็ต้องสะดุ้งตัวโยนทันทีที่สังเกตเห็นรูปสลักมังกรเก้าตัวที่ถูกสลักอยู่บนเพดานด้านบน
กระจกสัมฤทธิ์ที่มีขนาดประมาณ 500 เมตรถูกประดับอยู่ ณ ใจกลางของเพดาน เมื่อมองจากไกลๆ มันแทบจะดูเหมือนว่ามังกรทั้งเก้ากำลังเต้นรำอยู่รอบไข่มุกอันล้ำค่าที่อยู่ตรงกลางเลยไม่มีผิด อักขระโบราณเปล่งปรากฏขึ้นบนผิวหน้าของกระจกเป็นครั้งคราว มันแผ่ความรู้สึกที่ล้ำลึกและลึกลับออกมาจนสามารถสัมผัสได้
“นั่นคือพระราชวังแห่งการสะท้อนเงา” ทันใดนั้น ฉินเย่ก็เอ่ยด้วยเสียงที่ฟังดูเหมือนกับว่าดังขึ้นพร้อมกับเสียงคร่ำครวญของวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วน ร่างยมทูตของเขาทำให้เขาดูเหมือนกับเทพเจ้าที่ได้จุติลงมายังดินแดนแห่งนี้ไม่มีผิด
เขาจะไม่มีทางแสดงตัวในยมโลกในร่างมนุษย์อีกเด็ดขาด เพราะเขาดูเด็กเกินไป เขาจะสามารถสร้างความเเชื่อถือและความหวาดกลัวในฐานะของผู้นำได้ก็ต่อเมื่ออยู่ในร่างยมทูตเท่านั้น…
เหล่าทหารวิญญาณที่ลาดตระเวนอยู่หลีกทางให้เขาทันที ฉินเย่ประสานมือทั้งสองข้างไว้ภายใต้แขนเสื้อของตนเอง ปลายเท้าของเขาลอยอยู่เหนือพื้นเล็กน้อย ในขณะที่ลูกไฟนรกจำนวนมากลอยตามเขาไปติดขณะที่เขาลอยเข้าสู่ใจกลางของอาคารขนาดใหญ่ “นี่คือวัตถุหยินที่อยู่เหนือมิติของพื้นที่ มันสามารถคัดลอกสถานที่ที่เจ้าต้องการ ไม่ว่าจะเป็นเมืองที่ใด และมันก็ไม่ถูกจำกัดด้วยสถานที่หรือมิติใดๆ มันเป็นสิ่งที่มีค่าเป็นอย่างมาก!”
“นี่คือสมบัติที่มีค่ามากที่สุดที่เราได้มาจากสงครามอย่างไม่ต้องสงสัย ตราบใดที่พวกเราสามารถใช้งานมันได้อย่างเชี่ยวชาญ มันยังสามารถใช้เป็นประตูมิติได้อีกด้วยตระกูลขงจื๊อนั้นนั้นควรค่าแก่การเป็นเหล่าขุนนางระดับสูงของยมโลกแห่งเก่าอย่างแท้จริง ไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะสามารถมีสิ่งที่ล้ำค่าเช่นนี้อยู่ภายในความครอบครอง”
วิญญาณทั้งหมดพยักหน้าเบาๆ พวกเขารู้ดีว่าสถานที่ซึ่งพระราชวังแห่งการสะท้อนเงาถูกติดตั้งอยู่จะต้องเป็นแก่นแท้ของยมโลก ฉินเย่ไม่ได้บอกอย่างตรงไปตรงมาว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน แต่ทุกคนก็พอจะสามารถเดาได้ด้วยตัวเอง
ฉินเย่พยายามระงับความตื่นเต้นที่พุ่งพล่านภายในใจของตนเอง เขาไม่สามารถปฏิเสธข้อเท็จจริงที่ว่าเขาอยากจะแสดงประโยชน์ต่างๆของพระราชวังแห่งการสะท้อนเงาให้วิญญาณทั้งหมดได้เห็นได้เลย!
ตราบใดที่พวกเขาสามารถหารังของราชาผีได้ ทั้งหมดที่ยมโลกต้องทำก็คือส่งขนนกทมิฬอย่างหลี่จีสี่ไป และเมื่อนั้น…เมืองทั้งเมืองก็สามารถปรากฏตัวขึ้นภายใต้ความสามารถของพระราชวังแห่งการสะท้อนเงา มันแทบจะเหมือนกับว่าพวกเขามีความสามารถในการเคลื่อนย้ายจักรวาลไม่มีผิด! มันไม่ต่างอะไรกับการมีป้อมปราการอวกาศเป็นของตัวเองเลยสักนิด!
จากนั้น นครเผิงชิวก็สามารถปลดปล่อยการโจมตีจากโลงศพส่งวิญญาณ เครื่องยิงหน้าไม้ขนาดใหญ่ และอสูรกลไกของม่อจื๊อออกไปในเวลาเดียวกันได้! ผู้ใดจะไปสามารถต้านทานการโจมตีที่ทรงพลังอย่างน่าเหลือเชื่อพวกนั้นได้?
แต่ทั้งหมดนี้ก็ยังเป็นเพียงสถานการณ์สมมติเท่านั้น… แค่เรื่องสมมติ…
แต่อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้คิดที่จะบอกวิญญาณเหล่านี้เกี่ยวกับความสามารถในการสังหารทั้งหมดของนครเผิงชิว เพราะอย่างไรแล้ว ยิ่งมีคนรู้เกี่ยวกับไพ่ตายเหล่านี้น้อยเท่าไหร่ มันก็ยิ่งดี!
“ฝ่าบาท” ทหารวิญญาณตั้งแถวอย่างเป็นระเบียบและเดินหน้าเข้ามาหาพวกเขา หยางเหยียนเจาคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้นและประสานมือและกำปั้นด้วยความเคารพ “พวกเราควรจะเปิดใช้งานมันเลยดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
“เปิดเลย”
การพูดคุยเพียงเล็กน้อยของพวกเขาเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม ขณะที่หยางเหยียนเจาก้าวเท้าถอยหลังกลับไป ม่านพลังหยินที่ปกคลุมส่วนกลางของโถงพระราชวังก็เปิดออก ฉินเย่เป็นฝ่ายนำและลอยเข้าไปทันที
“ก่อนหน้านี้ข้าเคยคิดกับตัวเอง” ฉินเย่เอ่ยออกมาเสียงดัง “เหตุใดขงโม่จึงทิ้งพระราชวังแห่งการสะท้อนเงาไว้ที่นี่? เขามีเหตุผลอะไรที่ทำเช่นนั้น?”
ภายในอาคารมีพื้นที่มหาศาล ทันทีที่ก้าวเข้าไป เหล่าวิญญาณก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าบนพื้นที่หลุมที่มีขนาดกว้างพอๆกันอยู่
หลุมดังกล่าวให้ความรู้สึกไม่ต่างกับขุมนรกันไร้ก้นบึ้งที่สะท้อนเสียงร่ำไห้และครวญครางออกมาอยู่ตลอดเวลา เหล่าผู้ที่ยืนอยู่ขอบหลุมต่างรู้สึกขนลุกอย่างห้ามไม่ได้
ฉินเย่หยุดลงตรงหน้ากลุ่มดังกล่าวและชะโงกหน้าลงไปมองด้านล่าง เขามองเห็นปากหลุมนี้หลายครั้งแล้วในเดือนนี้ แต่ถึงกระนั้นความลึกลับของมันยังคงไม่เสื่อมคลาย – ความคิดเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่ด้านล่างยังคงทำให้เขาตกตะลึงอยู่เช่นเดิม
“ข้ายังคงถามตัวเองต่อไป… จนกระทั่งแม่ทัพหยางเป็นผู้ค้นพบสิ่งนี้”
เหล่าวิญญาณต่างก้มมองลงไปด้านล่าง ภายในเสี้ยววินาทีต่อมา แม้แต่เหล่าวิญญาณที่นิ่งสงบส่วนใหญ่ก็อดไม่ได้ที่อุทานออกมาเสียงดัง
“นี่มัน… พระเจ้า…” จางเจ้อกวงก้าวเท้าถอยหลังออกมาหลังจากที่มองไปยังสิ่งที่อยู่ด้านล่าง ขาของเขาสั่นเทา
“เป็นไปได้อย่างไร…พะ พลังงานนี้? เช่นเดียวกันกับถ่านหินในแดนมนุษย์? น้ำมัน?” แม้แต่แม่ทัพจ้าวก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมาอย่างอึกอักขณะที่จ้องมองไปในหลุมด้วยแววตาเหลือเชื่อ
เสียงอุทานดังขึ้นครู่หนึ่ง ก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบไป
เงียบสนิท
มันคือหลุมขนาด 500 เมตร
วิญญาณที่ยืนอยู่ที่ขอบของหลุมมองดูสิ่งไม่ต่างอะไรกับละอองฝุ่นซึ่งสามารถมองเห็นได้ก็เพราะความมืดภายในหลุมดังกล่าว ตัวหลุมลึกลงไปด้านล่างหลายร้อยเมตร ในขณะที่ก้นหลุมมีพื้นที่กว่าหลายร้อยเมตร และทั้งหมดก็ดูเหมือนว่าจะเต็มไปด้วยคริสตัล!
คริสตัลสีดำสนิท
โปร่งใส
“พวกนี้คือ…หินวิญญาณ” อาร์ทิสเองก็เห็นหลุมดังกล่าวนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว แต่ดวงตาของนางกลับเป็นประกาย แม้แต่น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาก็สั่นเทาเล็กน้อยด้วยความตื่นเต้น “นี่คือแหล่งขุมทรัพย์ขนาดใหญ่ของหินวิญญาณ! นี่จะต้องเป็นเหตุผลว่าทำไมขงโม่ถึงติดตั้งพระราชวังแห่งการสะท้อนเงาไว้ที่นี่อย่างแน่นอน!”
ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
ไม่มีใครสามารถหาคำพูดมาบรรยายความรู้สึกของตัวเองตอนนี้ได้
มันน่าตกตะลึงจริงๆ การค้นพบแหล่งพลังงานเช่นนี้มันน่าตกใจเกินไป เริ่มตั้งแต่ความลึก 300 เมตร ทั้งหลุมเต็มไปด้วยหินวิญญาณ! ผิวหน้าของมันยังคงผสมไปด้วยเศษดินและฝุ่น แต่เริ่มตั้งแต่ความลึกระดับ 10 เมตรลงไป ทั้งหมดล้วนเป็นสีดำสนิท!
หินวิญญาณเหล่านี้แผ่พลังหยินที่หนาแน่นออกมา บรรดาผู้นำทั้งหมดต่างมีสีหน้าตกตะลึง
“นี่มัน…ไม่น่าเชื่อ…” หนึ่งในวิญญาณทั้งหมดหลับตาลงและถอนหายใจออกมา “ตอนที่อยู่ที่แดนมนุษย์ ข้าได้เห็นการค้นพบเหมืองทองแดงและเหมืองเงินมามากมาย แต่…พวกมันไม่สามารถเทียบได้เลยกับสิ่งนี้!”
“ในแดนมนุษย์ พวกเราจะต้องดึงเอาแร่พวกนั้นออกจากดินโคลนและสิ่งสกปรกอื่นๆ แต่นี่…มันแทบจะกลับกัน – พวกเราจะต้องแยกดินโคลนออกจากทรัพยากรอันมีค่าเหล่านี้! ไม่…มันมีแม้กระทั่งส่วนที่ไม่มีสิ่งสกปรกเลยด้วยซ้ำ!”
“มันแทบจะเหมือนกับว่าพื้นใต้ดินทั้งหมดประกอบไปด้วยหินวิญญาณเพียงลำพัง!”
อาร์ทิสเลียริมฝีปากของตัวเองอย่างละโมบ “ข้าสามารถยืนยันได้เลยว่าทุกอุตสาหกรรมในยมโลกจำเป็นจะต้องใช้หินวิญญาณในไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ด้วยเหตุนี้เอง นครขนาดใหญ่อย่างยครเผิงชิวจะต้องใช้แหล่งพลังงานบริสุทธิ์นี้ได้อย่างแน่นอน! หลุมนี้…มีทรัพยากรเพียงพอที่ขับเคลื่อนนครเผิงชิวไปได้อีก 1,000 ปี! พวกเราสามารถพิจารณาเกี่ยวกับการส่งทรัพยากรเหล่านี้ไปยังเมืองอื่นๆที่อยู่รอบๆได้อีกด้วย!”
ฉินเย่ระงับความตื่นเต้นภายในใจของเขาขณะที่ชี้นิ้วไปยังอีกจุดหนึ่ง “ก่อนที่จะเลยเถิดไปมากกว่านี้ ดูนั่น…”
เหล่าวิญญาณทั้งหมดมองไปตามทิศทางดังกล่าว และก็พบว่า…
มันมีบันไดวนปรากฏให้เห็นอยู่ที่ขอบหลุม
และขั้นบันไดดังกล่าวก็ดูเหมือนจะต่อลงไปที่ถ้ำซึ่งปรากฏให้เห็นทุกๆ 50 เมตร
[1] ทางผู้แปลไม่แน่ใจนักว่านี่เป็นความจริงหรือไม่ แต่หลังจากได้ทำการสืบค้น ประวัติศาสตร์เกี่ยวข้องกับเรื่องของมันฝรั่งนั้นมีอยู่จริง