ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 428: ศัตรูบุก!
บทที่ 428: ศัตรูบุก!
“รับทราบ!”
ในที่สุดเขาก็สั่งการเหล่าแม่ทัพของตนเสร็จ หลังจากนั้นเขาก็ยืนตัวตรงและกำลังจะเดินจากไป แต่แล้วเขาก็ได้ยินเสียงของมู่กุ้ยอิงที่เรียกตนด้วยเสียที่แหบพร่า “ท่านพ่อ…แล้วท่านเล่า?”
“ท่านจะไปประจำ ณ ตำแหน่งใด?”
นางคือลูกสะใภ้ของหยางเหยียนเจา ดังนั้นมันจึงเป็นธรรมดาที่นางจะเรียกอีกฝ่ายในฐานะบิดา
อย่างน้อยที่สุด มันก็เป็นในกรณีที่พวกนางอยู่ด้วยกันเป็นการส่วนตัว เพราะอย่างไรแล้ว มันก็ไม่ใช่คำเรียกที่เหมาะสมนักที่จะเอ่ยออกไปในที่สาธารณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่กฎอัยการศึกถูกนำมาใช้ แต่ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ มันไม่มีใครสนใจกับเรื่องนั้นเลยแม้แต่น้อย
หยางเหยียนเจาชะงักไป ก่อนจะหันหลังกลับไปหาอีกฝ่ายและเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าว “ในฐานะของผู้บังคับบัญชา ข้าจำเป็นจะต้องประจำอยู่ ณ ใจกลางของกองทัพ แจกจ่ายคำสั่งให้กับกองกำลังทั้งหมดเพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์ตามที่ข้าเห็นว่าเหมาะสม”
มู่กุ้ยอิงกัดริมฝีปากล่างของตนเองและเอ่ยต่อด้วยเสียงที่สั่นเทา “ถ้าเช่นนั้น…แล้วท่านพี่ห้าเล่า?”
หยางเหยียนเต๋อทำหน้าที่ดูแลเรื่องของฝ่ายเสบียงให้กับกองกำลังของยมโลกมาโดยตลอด และเขาก็ไม่ได้เข้าร่วมใด ๆ ในกองทัพเลยแม้กระทั่งการประชุมทั้งหมดที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้
โดยไม่เว้นช่วง มู่กุ้ยอิงก็เอ่ยต่อ “และหากการคาดเดาของข้าถูกต้อง ท่านฉินเองก็คงจะเข้าร่วมการต่อสู้ครั้งนี้ด้วยใช่หรือไม่? เพราะหากปราศจากพระองค์กับท่านอรากษส พวกเขาไม่มีทางที่จะรับมือกับขั้นตุลาการนรกของอีกฝ่ายได้อยู่แล้ว ดังนั้นผู้ใดกันที่จะทำหน้าที่ปกป้องพระองค์ในการต่อสู้ที่กำลังจะเกิดขึ้น?”
เหยี่ยลู่จินเอ๋อร์เองก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา “ที่ท่านตัดสินใจไม่ให้ท่านพี่ห้าเข้าร่วมในการประชุมก่อนหน้านี้ก็เพราะว่าท่านพยายามที่จะทำให้พวกเราลืมเรื่องของเขาไปใช่หรือไม่? ความจริงของเรื่องนี้ก็คือท่านได้ตัดสินใจแล้วที่จะมอบหมายให้ท่านพี่ห้าติดตามท่านฉินไปในสนามรบใช่หรือไม่? ท่านแม่ทัพ…ท่านลำเอียงเกินไปแล้ว”
หากพูดกันตามความจริง หน้าที่ที่อันตรายที่สุดในการต่อสู้ที่จะมาถึงไม่ใช่การล้อมรอบกำแพงเมืองเลยแม้แต่น้อย กลับกัน มันคือหน้าที่ในการปกป้องฉินเย่ เพราะผู้ที่ได้รับมอบหมายหน้าที่นั้นจะต้องเสี่ยงชีวิตของตนเพื่อรักษาชีวิตของฉินเย่เอาไว้
หรืออีกนัยหนึ่งก็คือหยางเหยียนเจาได้เก็บหน้าที่ที่สำคัญที่สุดและอันตรายที่สุดไว้สำหรับพี่ชายของตนเอง
หยางเหยียนเจาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่นิ่งเรียบดังเดิม “นี่คือกฎอัยการศึก พวกเจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้มาตั้งคำถามกับการตัดสินใจของข้า” ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าเปลวไฟนรกในดวงตาของเขาเองก็วูบไหวอย่างรุนแรง แทบจะเหมือนกับว่ามันพร้อมจะดับลงเต็มที
เมื่อเอ่ยจบเขาก็เดินจากไปเงียบ ๆ โดยไม่มีคนตาม และไม่นาน เขาก็มาถึงตรงสถานที่หยางเหยียนเต๋อกำลังยุ่งอยู่กับการคัดแยกเสบียง
เขามีความสูง 1.84 เมตร ใบหน้าคมให้ความรู้สึกน่าเชื่อถือและสามารถพึ่งพาได้ แต่ผู้ใดก็ตามที่เคยเห็นเขาในสนามรบย่อมรู้ดีว่าภายใต้ใบหน้าที่มั่นคงและนิ่งสงบดังภูเขา นิสัยของเขานั้นค่อนข้างรุนแรงและดุดันราวกับภูเขาไฟ
“มาแล้วหรือ?” หยางเหยียนเต๋อไม่ได้รู้สึกประหลาดใจเลยแม้แต่น้อยเมื่อเห็นน้องชายของตนมาหา เขาเอนหลังพิงกับกองเสบียงและแย้มยิ้มบาง “สีหน้าของเจ้าบอกข้าว่า…พวกนางจับการแสดงของเจ้าได้แล้ว เห็นหรือไม่? ข้าบอกแล้วว่าเจ้าไม่มีทางปกปิดเรื่องนี้จากพวกนางได้ มันไม่มีผู้ที่อ่อนแอในหมู่แม่ทัพตระกูลหยางของเรา”
หยางเหยียนเจาพยักหน้าเงียบๆขณะที่เงยหน้าสบตากับผู้เป็นพี่ชาย หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็โค้งคำนับอีกฝ่ายอย่างสุดซึ้ง “ท่านพี่ ท่านต้องติดตามที่ท่านฉินไปยังเมืองชั้นใน โปรดระวังตัวด้วย…”
“ข้ารู้” หยางเหยียนเต๋อเหลือบตาขึ้นมองกระแสน้ำวนสีแดงเข้มที่อยู่ด้านบน “ไม่ต้องห่วง”
หลังจากเอ่ยจบ เขาก็แย้มยิ้มอีกครั้ง “สีหน้าแบบนั้นคืออะไรกัน? มีแม่ทัพคนใดบ้างที่ไม่อยู่ในสนามรบ? มู่กุ้ยอิงและคนอื่น ๆ อาจจะเก่งและกล้าหาญ แต่ความดุดันในการสู้รบของพวกนางก็ยังห่างจากข้ามาก ตั้งแต่ที่เจ้าบอกข้าว่าไม่ให้เข้าร่วมประชุม แต่มอบหมายให้ผู้ติดตามมาบอกรายละเอียดทั้งหมดกับข้าในภายหลัง มันก็เห็นชัดเจนอยู่แล้วว่าเจ้าจะมอบหน้าที่ในการคุ้มกันท่านฉินให้กับผู้ใด”
หยางเหยียนเจามีหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาอยากจะพูด แต่แล้วเขาก็กลืนทุกสิ่งทุกอย่างลงไปและจ้องมองผู้เป็นพี่ของตนเงียบ ๆ
พวกเขาได้ประสบกับความผันผวนในชีวิตมาแล้วถึงสองครั้ง ทุกสิ่งทุกอย่างที่พูดออกมาในเวลานี้ล้วนเป็นเพียงคำพูดที่ซ้ำซากจำเจทั้งสิ้น
“โปรดมีชีวิตรอดกลับมาให้ได้”
“อืม”
เมื่อเอ่ยจบ พวกเขาต่างก็ใช้เวลาส่วนที่เหลือของวันในการเตรียมการต่าง ๆ ในเช้าวันต่อมา กองกำลังห้ากองก็ได้ยืนรวมตัวกันอยู่ที่ใต้กระแสน้ำวนพลังหยินสีแดง ธงผืนใหญ่ของกองกำลังยมโลกพลิ้วไหวไปในอากาศอย่างรุนแรง และสายตาทุกคู่ต่างก็จับจ้องไปยังกระแสน้ำวนด้านบน รอคอยคำสั่งของผู้บังคับบัญชา!
พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ… เสื้อคลุมของฉินเย่กระพืออย่างรุนแรง และเขาก็กวาดตามองไปยังกองกำลังทหารทั้งหมดที่รวมตัวกันอยู่ตรงหน้า จนกระทั่งหยุดลงที่ผิวหน้าของกระจก
ณ จุดนั้น เขาสามารถบอกได้ว่าสิ่งที่เคยดูเหมือนทางช้างเผือกของเหล่าวิญญาณได้กลายเป็นภาพที่ดูไม่ต่างอะไรกับดวงอาทิตย์ของโลกใต้พิภพเลยสักนิด!
นาฬิกาทรายที่ก่อตัวขึ้นจากพลังหยินลอยอยู่เหนือกระจกเล็กน้อย และในเวลานี้ เม็ดทรายที่อยู่ด้านบนก็เหลืออยู่ไม่มากแล้ว
ตึ้ง…เมื่อทรายเม็ดสุดท้ายตกลงสู่ด้านล่าง เสียงกลองสงครามก็ดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน ในขณะที่เสียงแตรยาวส่งเสียงดังก้องไปทั่ว ฮวาเจี่ยอวี่กระชับมือรอบบังเหียนที่ใช้คุมเสืองตัวใหญ่เอาไว้แน่นขึ้นกว่าเดิม และกองกำลังทหาร 20,000 นายที่อยู่รอบ ๆ นางก็คำรามออกมาเสียงดังขณะที่มุ่งหน้าเข้าไปในกระแสน้ำวน!
“ชัยชนะแด่ยมโลก!!!”
พรึ่บ! พวกเขาเคลื่อนไหวราวกับน้ำที่ไหลเข้าสู่มหาสมุทร และเปล่งประกายราวกับหมู่ดาวบนท้องฟ้า ภาพของกองกำลังทหารหลายหมื่นนายที่พุ่งเข้าสู่กระแสน้ำวนพลังหยินที่น่าสะพรึงกลัวนั้นเป็นภาพที่น่าตื่นตะลึงเป็นอย่างมาก
“ท่านพี่ยังคงใจร้อนเช่นเคย…” มู่กุ้ยอิงหัวเราะออกมาเสียงดัง ขณะที่ขยับบังเหียนในมือ พร้อมกับกองกำลังทหาร 20,000 นายที่ยืนเรียงแถวอยู่ด้านหลัง ทั้งหมดพุ่งเข้าไปในกระแสน้ำวนสีแดงตามกองกำลังของฮวาเจี่ยอวี่ไปติด ๆ !
มันไม่มีความลังเลหรือความกังวลเลยแม้แต่น้อย ทุกคนต่างพุ่งตัวไปข้างหน้าพร้อมกับความปรารถนาที่จะต่อสู้!
“เพื่อชัยชนะของยมโลก!!!”
ตู้ม!!! และมันก็ไม่ได้มีแต่พวกเขาเท่านั้น แต่กองกำลังอีกสองกองและกองทัพทหาร 40,000 นายที่วิ่งตรงเข้าไปในกระแสน้ำวนพลังหยินเช่นกัน พุ่งตัวขึ้นไปด้านบนราวกับสายน้ำที่ไหลย้อนกลับ นำพาทหารวิญญาณทั้งหมดออกจากส่วนลึกของโลกใต้พิภพและเข้าสู่อาณาเขตของลิมโบ ขณะที่พวกเขากำลังมุ่งหน้าไป ทั้งหมดก็เปล่งเสียงคำรามที่ทำให้ทั้งโลกต้องสั่นสะเทือนออกมา
“ขอให้ยมโลกจงมีชัย!” “ขอให้ยมโลกกลับมาพร้อมกับชัยชนะอันยิ่งใหญ่!!!”
ในที่สุดก็ถึงเวลาที่ยมโลกจะได้เผยคมเขี้ยวของตนเองแล้ว
พงศาวดารของยมโลกแห่งใหม่: ปี 001 ของยมโลกแห่งใหม่ ในเวลา 12.00 น.ของแดนมนุษย์ ภายใต้การสั่งการของแม่ทัพใหญ่หยางเหยียนเจา แม่ทัพฮวาเจี่ยอวี่ แม่ทัพมู่กุ้ยอิง แม่ทัพเหยี่ยลู่จินเอ๋อร์ และแม่ทัพฮูเหยียนชื่อจินได้นำกองกำลังทหาร 80,000 นายเพื่อบุกโจมตีที่ด่านซานไห่ของนครชฺวีฟู่
……………………………………………………….
ณ นครชฺวีฟู่ ด่านซานไห่ เมืองชั้นใน
มันไม่มีทั้งอาคารสิ่งก่อสร้างหรือสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ เนื่องจากมันถูกใช้เป็นค่ายทหารมาตั้งแต่ตอนแรก
ถึงแม้ว่ารัฐบาลจะตั้งอยู่ที่นี่ แต่พื้นที่ส่วนใหญ่ภายในเมืองชั้นในก็ล้วนถูกจับจองโดยค่ายทหาร และมีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ถูกสร้างขึ้นในลักษณะที่สอดคล้องกับรูปแบบของส่วนอื่นๆ ทุกอย่างถูกสร้างขึ้นอย่างเรียบง่ายและเป็นประโยชน์ แม้แต่อาคารที่สูงที่สุดที่นี่ก็มีความสูงไม่เกิน 6 ชั้นเท่านั้น
และนี่ก็คืออาคารที่ตั้งอยู่ที่ใจกลางของด่านซานไห่
ชั้นที่ 1 และ 2 ของอาคารคือสำนักงานทั่วไป ชั้นที่ 3 และ 4 ถูกใช้โดยระดับสูงของกองบัญชาการทหาร ชั้นที่ 5 ถูกใช้เป็นห้องสังเกตการณ์ ในขณะที่ชั้น 6… คือจุดที่ไม่มีผู้ใดเคยเข้าไปด้านใน
แต่ละชั้นของอาคารมีความสูงห้าเมตร ยกเว้นแต่ชั้น 5 ที่มีความสูงถึงสิบเมตร ถึงแม้ว่าอาคารรหลังนี้จะไม่ได้ถูกมากนั้น แต่มันก็กินพื้นที่ค่อนข้างกว้างมาก กับดัก อุปกรณ์ และกลไกมากมายถูกสร้างขึ้นในทุกส่วนของอาคาร แต่ถึงกระนั้น ทั้งชั้นกลับดูเงียบสงบเป็นอย่างมาก
มันดูแตกต่างกับห้องสังเกตการณ์ที่อยู่ในแดนมนุษย์เป็นอย่างมาก ชั้นที่ 5 ของอาคารกินพื้นที่กว้างขนาดหนึ่งสนามฟุตบอล และทุกอย่างก็ถูกตกแต่งในสไตล์จีนโบราณ แผนที่ดวงดาวแผ่ขยายออกไปบนเพดานที่อยู่เหนือศีรษะ ในขณะที่เครื่องจักรและเครื่องมือมากมายถูกวางไปทั่ว มันมีแม้กระทั่งเครื่องมือขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ที่มุมห้องซึ่งดูเหมือนจะเป็นแหล่งพลังงานสำหรับใช้ในการขับเคลื่อนให้กับหน้าจอพลังหยินขนาดเล็กที่เต็มไปด้วยรายละเอียดและตัวเลขมากมายหน้าจอหนึ่งอยู่ แต่ละหน้าจอล้วนถูกตั้งอยู่บนโต๊ะยาวที่มีเก้าอี้ 4-5 ตัววางอยู่ และเก้าอี้ทั้งหมดก็ถูกจับจองด้วยเหล่าวิญญาณ
ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว วิญญาณทั้งหมดดูเคร่งเครียดและอ่อนล้าเป็นอย่างมาก หลังจากผ่านไปพักใหญ่ เสียงสัญญาณก็ดังขึ้น และวิญญาณทั้งหมดก็วางมือจากสิ่งที่ตนทำอยู่ในทันที
“เฮ้ออ–…” หนึ่งในวิญญาณยกมือขึ้นคลึงขมับของตน การทำงานตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมานั้นยุ่งเสียจนเขารู้สึกว่าเปลวไฟนรกในดวงตาของเขาแทบจะดับลงเต็มที เขาเอนหลังพิงเก้าอี้และเอ่ยออกมาเบาๆ “ท่านหลายกำลังคิดอะไรอยู่? เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว จู่ๆเขาก็เรียกวิญญาณกว่า 9.72 ตนให้กลับเข้ามาในเมือง แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องง่ายที่จะออกคำสั่ง แต่เขารู้หรือเปล่าว่าสำหรับฝ่ายบริหารและฝ่ายสังเกตการณ์ของเรานั้นแทบจะประสาทแตกกันเต็มทน?!”
วิญญาณที่นั่งอยู่ข้าง ๆ มองไปรอบๆอย่างหวาดระแวงก็จะยกนิ้วขึ้นแตะบริเวณปาก “ชู่ววว… พูดเบา ๆ กำแพงมีหู ประตูมีช่อง…”
วิญญาณตนแรกหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น จากนั้นเขาจึงกวาดตามองไปรอบๆและเอ่ยด้วยเสียงที่เบาลงกว่าเดิม “พวกเรากำลังพูดถึงวิญญาณ 10 ล้านตน… พวกเขาจะสามารถเข้ามาอยู่ในด่านซานไห่ได้อย่างนั้นหรือ? แค่ในตัวเมืองตอนนี้ก็มีประชากรมากพออยู่แล้ว แล้วการจัดแจงที่อยู่อาศัยในอนาคตจะเป็นอย่างไร? ทุกอย่างอาจจะดูไม่ยากอะไรสำหรับเราในตอนนี้ และอาจจะง่ายลงหลังจากการตรวจสอบในไม่กี่วันนี้ แต่แล้วกระทรวงต่าง ๆ เล่า? พวกเขาจะต้องทำงานเพิ่มเป็นสองเท่าไม่ใช่หรืออย่างไร?”
“แต่ทั้งหมดนี่ก็เพื่อความปลอดภัยของด่านซานไห่” วิญญาณตนที่สามเอ่ยแทรกขึ้น “เจ้าไม่ได้ยินข่าวหรือ? จ้าวแห่งเจียงอินถูกสังหาร...นั่นมันขั้นตุลาการนรกเลยนะ…”
“เหอะ…เจ้าก็แตกตื่นเกินไป จ้าวแห่งเจียงอินจะตายแล้วอย่างไร? ผู้ใดจะกล้าโจมตีเรา?” วิญญาณตนแรกเอ่ยพร้อมกับหันมามองหน้าขอที่อยู่ตรงหน้า “นี่คือยมโลกที่แท้จริง หากพูดกันตามตรง ข้าไม่คิดเลยว่าโลกใต้พิภพจะเป็นเช่นนี้ เมืองที่เจริญรุ่งเรืองพร้อมกับกองกำลังทหารนับแสนที่คอยคุ้มกันอยู่บริเวณชายแดน และท่านขงเองก็น่าจะกลับมาที่นี่ภายในอีกสามวันด้วย แล้วแบบนี้…ผู้ใดจะกล้ามาสู้กับเรากัน?”
แต่แล้วทันใดนั้น เปลือกตาของเขาก็กระตุก!
ตาฝาดอย่างนั้นหรือ?
เขากระพริบตาอีกหลายครั้ง จุดแสงสีม่วงจุดหนึ่งปรากฏขึ้นเหนือกำแพงเมืองทางตะวันออก และมันก็ค่อย ๆขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ
สีม่วงหรือ?
เขาพยายามนึกถึงความหมายของสีม่วง สีเขียวหมายถึงปลอดภัย สีขาวหมายถึงสิ่งที่ไม่เป็นภัยคุกคาม สีแดงหมายถึงสิ่งที่อันตรายเป็นอย่างมาก... แต่สีม่วง?
เสี้ยวนาที เขาก็ลุกยืนขึ้น และมันก็ไม่ใช่เขาเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น แต่คนทั้งหมดที่อยู่ในชั้นที่ 5 ต่างก็ลุกยืนขึ้นขณะที่อ้าปากค้างด้วยความหวั่นสะพรึงกับภาพที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ!
“นี่มัน…นี่มัน…” ริมฝีปากของวิญญาณทั้งหมดสั่นเทาขณะที่พวกเขาชี้ไปที่หน้าจอพลังหยินอย่างพูดอะไรไม่ออก
เขาจำได้แล้ว สีม่วงหมายถึงการเคลื่อนย้ายมิติอย่างกระทันหัน!
อีกความหมายหนึ่งก็คือ มีบางอย่างกำลังเคลื่อนย้ายมิติมายังดินแดนของพวกเขา!
ทว่าก่อนที่พวกเขาจะได้เอ่ยอะไรออกมา เสียงแจ้งเตือนก็ดังขึ้นให้ได้ยินไปทั่วทั้งชั้น
ติ๊ด ติ๊ด… ติ๊ด ติ๊ด… เสียงเตือนดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง คนทั้งหมดหันมองหน้ากันและกันอย่างตกตะลึง ตอนนี้พวกเขามีเพียงความคิดเดียวเท่านั้นที่ผุดขึ้นมาภายในหัว – ศัตรูบุก…ศัตรูบุก!!
มีคน…มีคนกล้าโจมตีด่านซานไห่! มีใครบางคนกล้าโจมตียมโลกที่ใหญ่ที่สุดในหมู่มณฑลโดยรอบ!!
“นี่มันเป็นไปได้อย่างไร…” หนึ่งในวิญญาณตัวสั่นเทา สงคราม…สงครามกำลังจะอุบัติขึ้น ที่ผ่านมา เขาเพียงเคยได้ยินเกี่ยวกับการปะทะกันที่เกิดที่ชายแดนมาโดยตลอด แต่ไม่คิดเลยว่ามันจะมีคนที่ตั้งใจที่จะรุกรานด่านซานไห่จริงๆ! เขาหมายถึง…อีกฝ่ายไม่รู้หรือว่าการป้องกันของด่านซานไห่นั้นแข็งแกร่งราวกับทองคำ? ทั้งหมดนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?
สายตาของพวกเขาตามจ้องเขม็งไปที่หน้าจอ และก็พบว่าจุดสีม่วงขนาดใหญ่ได้เริ่มกระจายจุดเล็กๆสีแดงไปโดยรอบ จุดแรกปรากฏขึ้น ตามมาด้วยจุดที่สอง…จากนั้นก็สิบ... ร้อย… พัน…และหมื่น!
กองกำลังของศัตรูปรากฏขึ้นอย่างกระทันหัน
วี้หว่ออออ!!! เสียงสัญญาณเตือนดังก้องไปทั่วทั้งอาคาร ภายในเสี้ยววินาทีต่อมา เครื่องกระจายเสียงของเมืองก็ดังขึ้น “คำเตือน ตรวจพบลักษณะพลังหยินที่ไม่คุ้นเคย ค่าพลังหยินที่อ่านได้สูงกว่า 8 ล้าน คำเตือน…”
เงียบ
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบสนิท
และในเสี้ยววินาทีต่อมา วิญญาณทั้งหมดก็รีบวิ่งออกจากห้องและลงไปยังชั้นสี่
ศัตรูบุก…มีศัตรูบุกจริง ๆ !! นี่ไม่ใช่แค่การฝึกซ้อม!
ในขณะเดียวกัน หลายจวิ่นเฉินกำลังอยู่ที่ชั้นสี่ของอาคารเมื่อเสียงแจ้งเตือนดังขึ้น เขาลุกพรวดขึ้นและรีบมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยความตกใจทันที
ทั่วทั้งสถานที่ยังคงดูสงบสุขเช่นเคย วิญญาณที่อยู่ด้านนอกยังคงทำงานอย่างเป็นระเบียบ แต่ถึงกระนั้น เหล่าวิญญาณที่ติดตามหลายจวิ่นเฉินกลับต้องตกตะลึงไปเมื่อพบว่าร่างของเขากำลังสั่นเทา ในขณะที่เปลวไฟนรกในดวงตาสั่นไหวอย่างไม่สามารถควบคุมได้
นี่คืออาการตกตะลึงและเหลือเชื่ออย่างถึงที่สุด
“นายท่าน… ท่าน…”
ก่อนที่เขาจะเอ่ยจบ หลายจวิ่นเฉินก็จับเข้าที่บริเวณคอของเขาและเอ่ยด้วยเสียงที่สั่นเทา “เร็วเข้า…”
“รีบ…รีบระดมกองกำลังทั้งหมด!! แจ้งท่านขงเกี่ยวกับเรื่องนี้… กองกำลังที่ไม่รู้ตัวตนได้บุกโจมตีนครชฺวีฟู่ และอีกฝ่ายก็สามารถก้าวผ่านกำแพงเมืองชั้นนอกมาได้แล้ว!!”
“ระดมกองกำลังทั้งหมด! ไม่ว่าอย่างไร เราจะปล่อยให้พวกมันเข้ามาใกล้กับอาณาเขตของพระราชวังแห่งการสะท้อนเงาไม่ได้เด็ดขาด!!”
ผู้ติดตามของเขารีบสิ่งออกไปทำหน้าที่ของตนเองทันที ในขณะที่หลายจวิ่นเฉินกลับทรุดตัวนั่งลงด้วยความกระวนกระวาย
คาดไม่ถึงเลยจริง ๆ… ไม่สิ… หากพูดกันตามตรง แม้แต่ท่านขงเองก็ไม่คิดว่าจะมีคนกล้ามาปิดล้อมป้อมปราการที่แข็งแกร่งเช่นนี้!
เขาใช้เวลาอยู่หลายนาทีในการสงบสติอารมณ์ จากนั้น ด้วยฟันที่กัดแน่น เขาลุกยืนขึ้นและเอ่ยสั่งผู้ติดตามของตนเองอีกครั้ง
“กระจายคำสั่งออกไป ให้กองพันอาทิตย์อุทัยคุ้มกันพระราชวังแห่งการสะท้อนเงาเอาไว้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นห้ามละจากตำแหน่งเด็ดขาด! ส่วนกองพันอสรพิษโบยบินและกองทัพกระทิงคลั่งมีหน้าที่คุ้มกันประตูเมืองทั้งสี่! ผู้ใดก็ตามที่จะละจากตำแหน่งโดยปราศจากคำสั่งจะต้องถูกประหารในโทษฐานกบฏ!!”
มีเพียงหลังจากที่สั่งการทั้งหมดแล้วเท่านั้นที่หลายจวิ่นเฉินสังเกตเห็นว่ามือของเขากำลังสั่นไหวอย่างรุนแรง
เพราะอย่างไรแล้ว เหล่าผู้ที่กล้าต่อกรกับด่านซานไห่ยอมไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่สามารถรับมือได้ง่าย ๆ อย่างแน่นอน
สายตาของเขายังคงจ้องเขม็งไปที่กำแพงเมือง แต่…ในเมื่อพวกเจ้ามาแล้ว เหตุใดจึงไม่อยู่และแลกเปลี่ยนคำชี้แนะให้แก่กันและกันเสียก่อนเล่า?
มาทดสอบกันว่าใบมีดของฝ่ายไหนกันแน่ที่คมกว่ากัน!