ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 425: ใครจะไป?
บทที่ 425: ใครจะไป?
เกิดความเงียบขึ้นอย่างกระทันหัน
นอกเหนือจากฉินเย่และอาร์ทิส ทุกคนในที่นี้ล้วนเป็นแม่ทัพผู้โด่งดัง และพวกเขาก็ย่อมเข้าใจความหมายแฝงของสิ่งที่หยางเหยียนเจาเพิ่งพูดออกมาได้เป็นอย่างดี
สามนาทีแห่งความเงียบที่น่าอึดอัด มู่กุ้ยอิงหัวเราะออกมาเบา “ผู้ใดจะสามารถแบกรับความรับผิดชอบอันหนักหน่วงเช่นนั้นได้หากไม่ใช่ข้า?”
“แม่ทัพหยาง ข้าจะไปเอง” นางก้าวเท้าออกไปข้างหน้าและประสานมือกับกำปั้นพร้อมเอ่ยด้วยความเคารพ “ข้าอยู่ขั้นยมทูตขาวกำระดับสูง และเป็นหนึ่งในลำดับต้น ๆ ของแม่ทัพทั้งหมดเมื่อเป็นเรื่องของพละกำลังทางการต่อสู้ และหากไม่นับแม่ทัพหยางเหยียนเต๋อ ข้านำหน้าคนอื่น ๆ เมื่อพูดถึงเรื่องของความเชี่ยวชาญในการบัญชาการกองกำลังทหาร ดังนั้น ขอให้ข้าได้รับเกียรติในการทำหน้าที่ในครั้งนี้ด้วยเถิด”
“ฮ่าๆๆ น้องของเราช่างมั่นใจในความสามารถของตัวเองจริง ๆ ” ฮวาเจี่ยอวี่แย้มยิ้มออกมาและก้าวเท้าออกมาด้วยท่าทางที่แสดงถึงความเคารพไม่แพ้กัน “ข้าคือผู้ที่มีประสบการณ์ในสนามรบมากกว่าใครในที่นี้ ข้ามั่นใจว่าข้าสามารถรับผิดชอบหน้าที่นี้ได้ดีไม่แพ้กัน”
“แม่ทัพหยาง ถึงแม้ว่าข้าจะเพิ่งเข้าร่วมกองกำลังของตระกูลหยางได้ไม่นานนัก แต่ข้าก็โตมาพร้อมกับการขี่ม้า และข้าก็ไม่เป็นสองรองใครเมื่อพูดถึงเรื่องการยิงธนูจากบนหลังม้า ข้า เหยี่ยลู่จินเอ๋อร์ ขอรับเกียรติในการเป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้นี้ด้วยเถิด” “แม่ทัพหยาง ข้าขอไปเอง โปรดตัดสินใจอย่างยุติธรรมด้วย”
แม่ทัพทั้งหมดก้าวเท้าออกมาข้างหน้าพร้อมกัน โนบูทาดะมองดูการกระทำของคนทั้งหมดด้วยความมึนงง ทว่าในอีกด้านหนึ่ง หยางเหยียนเจากลับเอ่ยเสียงนิ่ง “นี่มันหมายความว่าอย่างไร?”
ไม่มีใครตอบ
บรรยากาศโดยรอบเคร่งเครียดและกดดันมากขึ้น เหล่าแม่ทัพทั้งหมดยังคงประสานมือและกำปั้นของพวกเขาดังเดิม ใบหน้าก้มลงเล็กน้อย ในขณะที่สีหน้าของหยางเหยียนเจาเปลี่ยนเป็นเย็นชามากขึ้นเรื่อย ๆ น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาของเขาเย็นยะเยือก “พวกเจ้าพยายามจะโน้มน้าวการตัดสินใจของข้าอย่างนั้นหรือ?”
“ใครควรอยู่ ใครควรไป ข้าจะเป็นผู้จัดสินใจเอง มันไม่ใช่หน้าที่ของพวกเจ้า!!”
ก๊อก ก๊อก… ทันใดนั้นเอง ฉินเย่ก็เคาะโต๊ะเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยสิ่งที่ตนคิดออกไป “เหลือเวลาอีกประมาณหนึ่งเดือนพวกเราก็น่าจะเดินทางถึงที่นครชฺวีฟู่แล้ว มันถึงเวลาที่จะขอความช่วยเหลือจากกระจกส่องกรรมเสียที เมืองขนาดใหญ่อย่างนครชฺวีฟู่จะต้องมีการสร้างสิ่งก่อสร้างใหม่ ๆ ขึ้นในบริเวณใกล้เคียงเป็นแน่ บางที…พวกเราอาจจะเจอกับเรื่องไม่คาดคิดก็ได้”
ฉินเย่พยักหน้าและยกมือขึ้นราวกับต้องการจะคว้าอะไรบางอย่าง ทันใดนั้นกระจกส่องกรรมก็ปรากฏขึ้น จากนั้น ก่อนที่มันจะได้สบถหรือก่นด่าอะไรออกมาตามปกติ อาร์ทิสก็ดีดนิ้ว และกระจกส่องกรรมก็หายไปพร้อมกับระลอกคลื่นที่ปรากฏขึ้นกลางอากาศ
“ทุกท่าน กระจกส่องกรรมอาจจะสามารถแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับภูมิทัศน์ที่อยู่รอบ ๆ เราได้ แต่มันไม่สามารถแสดงพิกัดที่แน่นอนได้ หรือหากพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ มันอาจมีอะไรคลาดเคลื่อนไปบ้างเมื่อเราเข้าสู่ลิมโบ พวกเราจะต้องเตรียมใจให้พร้อม แม่ทัพโอดะ”
“ข้าอยู่นี่”
“เจ้าจงดูภาพที่ปรากฏขึ้นที่ปรากฏขึ้นบนกระจกส่องกรรมให้ดี” อาร์ทิสหยิบกระจกสัมฤทธิ์ออกมาและโยนมันให้โนบูทาดะ “ท่านหมิงจะทำการสำรวจพื้นที่ซึ่งอยู่ในรัศมี 30 กิโลเมตรรอบตัวเรา รีบรายงานทันทีที่เจ้าสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติหรือสิ่งที่น่าสนใจ”
“รับทราบ!”
ฉินเย่พยักหน้า “เช่นนั้น ในเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว จบการประชุมได้”
เหล่าแม่ทัพทั้งหมดเดินออกไปโดยไม่เอ่ยอะไรอีก หลังจากที่ทั้งห้องเงียบลงแล้วมีเพียงอาร์ทิสเท่านั้นที่หันไปกระซิบกับฉินเย่เบา ๆ “เมื่อครู่นี้มันเกิดอะไรขึ้นกัน?”
แววตาของฉินเย่เปลี่ยนเป็นล้ำลึกและแฝงไปด้วยอารมณ์มากมาย เขาถอนหายใจออกมาก่อนจะอธิบายอย่างช้า ๆ “สิ่งที่แม่ทัพหยางต้องการจะสื่อก่อนหน้านี้ก็คือความพ่ายแพ้ของยมโลกนั้นจะเป็นเรื่องแน่นอนทันทีที่เราถูกศัตรูล้อมรอบ อีกความหมายหนึ่งก็คือ กองกำลังของยมโลกจะไม่มีทางสู้ได้เมื่อกองกำลังส่วนที่เหลือของกลุ่มพันธมิตรแห่งความมืดกลับมาเพื่อเสริมทัพที่นครชฺวีฟู่ และแน่นอน มันก็มีเพียงทางเลือกเดียวหากเราต้องการหยุดยั้งการทำงานของพระราชวังแห่งการสะท้อนเงา”
เขาหันไปหาอาร์ทิสและสบตากับอีกฝ่าย “และนั่นก็คือการระดมกองกำลังเพื่อต่อสู้แนวหน้ากับกองกำลังป้องกันเมืองเพื่อดึงทหารทั้งหมดที่อยู่ภายในเมืองออกมาด้านนอก นั่นเป็นทางเดียวที่จะสามารถรับประกันความสำเร็จในการลอบโจมตีเมืองชั้นในของเราได้”
อาร์ทิสกระพริบตาปริบ ๆ – การประจัญหน้าอย่างเต็มรูปแบบ... โลงศพส่งวิญญาณ ปืนใหญ่เปลวไฟแห่งกรรม เครื่องยิงหน้าไม้ขนาดใหญ่… และนั่นยังไม่ได้พูดถึงกองทัพทหารกว่าแสนนาย… นี่มัน…
“มันคือการฆ่าตัวตายชัด ๆ …” นางเอ่ยออกมาด้วยเสียงที่สั่นเครือ ปากอ้าค้างเล็กน้อยขณะที่หันไปมองฉินเย่ด้วยความกตะลึง “เช่นนั้น…เมื่อครู่นี้พวกเขาทั้งหมดก็กำลังร้องขอความตายไม่ใช่หรือ?”
“สิ่งที่พวกเขาพยายามจะทำก็คือยอมเสียสละชีวิตของตนเพื่อคนที่รัก” ฉินเย่รู้สึกขัดแย้งเมื่อตนพยายามอธิบายเจตนาของเหล่าแม่ทัพทั้งหมด เพราะอย่างไรแล้ว เขาก็เพิ่งได้เห็นความตั้งใจที่จะเสียสละชีวิตของตนเพื่อประโยชน์ของยมโลกของเหล่าแม่ทัพทั้งหมด ดังนั้นเขาจะไปมีสิทธิ์อะไรมายอมแพ้?
อาร์ทิสเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพึมพำออกมาในที่สุด “มันไม่มีทางอื่นแล้วจริง ๆ น่ะหรือ?”
“ไม่ใช่สำหรับตอนนี้” ฉินเย่ละสายตาและหันกลับไปมองเมืองจำลองที่อยู่บนโต๊ะ “การต่อสู้นี้จำต้องถูกบันทึกไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ของยมโลก ไม่ว่าพวกเราจะล้มตายไปมากเพียงใด แต่ข้าก็จะให้เกียรติผู้ที่ต้องตายไปในฐานะของเหล่าบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งทันทีที่ยมโลกถูกก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ”
“มันก็สมควรที่จะเป็นเช่นนั้น”
“รายชื่อของผู้เสียชีวิตทั้งหมดจะต้องถูกสลักอยู่บนอนุเสาวรีย์ที่อยู่ตรงทางเข้าของยมโลก รวมถึงในหนังสือเรียนสำหรับคนรุ่นหลัง พวกเขาจะต้องถูกจดจำตลอดไป ข้าต้องการให้ประชาชนทั้งหมดรู้ว่าความปลอดภัยและความสะดวกสบายของพวกเขาทั้งหมดล้วนได้มาจากการสูญเสียเลือดเนื้อและสงคราม”
อาร์ทิสที่ได้ยินเช่นนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เบาและล่องลอย “ท่านรักคนของตัวเอง”
การประชุมให้จบลง และพายุฝนก็หยุดลงในที่สุด กองกำลังทั้งหมดเตรียมพร้อมสำหรับออกเดินทางอีกครั้ง
ไม่มีผู้ใดรู้เลยว่ากองกำลังทหารกล้ากว่าแสนนายกำลังเดินทางสู่นครชฺวีฟู่ผ่านทางแก่นโลก ห้าวันผ่านไป… 10 วันผ่านไป… 15 วันผ่านไป… ยิ่งพวกเขาเข้าใกล้นครชฺวีฟู่มากขึ้นเรื่อย ๆ ความรู้สึกของเหล่าแม่ทัพเองก็ตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน
การประจัญหน้าครั้งสุดท้ายกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว
จนถึงตอนนี้ การเดินทางสู่ดินแดนทางตะวันออกของพวกเขากินเวลากว่าสองเดือนครึ่ง พวกเขาได้พบเจอกับราชาอสูรวิญญาณและภัยธรรมชาติมากมายในช่วงเวลาที่ผ่านมา และในที่สุดพวกเขาก็อยู่ห่างจากด่านแรกของกำแพงเมืองจีนอีกเพียงไม่ถึงร้อยกิโลเมตรเท่านั้น ความตึงเครียดชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ และพวกเขาก็เริ่มได้กลิ่นความขัดแย้งลอยมาตามอากาศ
ระหว่างการเดินทาง ฉินเย่ได้ส่งข่าวและคำสั่งต่าง ๆ ผ่านทางเหล่าแม่ทัพและผู้บังคับบัญชากองทหาร 1 หมื่นนาย ซึ่งจะส่งข้อมูลทั้งหมดต่อให้กับผู้บัญชาการทหารพันนาย ผู้บัญชาการทหารร้อยนาย ผู้บัญชาการทหารสิบนาย และผู้บัญชาการทหารห้านาย ฉินเย่รู้ดีว่าเขาควรทำสิ่งใดเพื่อที่จะทำให้เหล่าทหารวิญญาณมีใจสู้ บวกกับชัยชนะมากมายที่พวกเขาได้รับมาจนถึงตอนนี้ ขวัญกำลังใจของกองกำลังของยมโลกจึงพุ่งสูงสุดเท่าที่จะสามารถสูงได้
นี่คือการต่อสู้ที่จะกำหนดอนาคตของยมโลก
แม้แต่ทหารวิญญาณที่ธรรมดาที่สุดก็เข้าใจถึงความหมายแฝงของสิ่งนี้เป็นอย่างดี เหล่าทหารที่เพิ่งเข้ามาใหม่ย่อมเป็นกังวลมากขึ้นเป็นธรรมตา แต่โชคดีที่ส่วนใหญ่ของกองกำลังทั้งหมดไม่คิดที่จะหนี และไม่นาน ความมุ่งมั่นของพวกเขาก็ขจัดความประหม่าภายในใจของเหล่าผู้มาใหม่ไปจนหมด
พงศาวดารของยมโลกแห่งใหม่ : วันที่ 78 ของการเดินทางสำรวจดินแดนตะวันออก กระแสลมรุนแรงพัดผ่านไปทั่วทั้งดินแดนและฉีกกระชากผืนดินจนกลายเป็นผุยผง กลุ่มเมฆพลังหยินสีดำสนิทปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า เปล่งเสียงร้องอันแผ่วเบาของเหล่าวิญญาณออกมาก่อนจะเกิดพายุขึ้น เหล่าทหารวิญญาณทั่วไปที่ได้ยินเสียงร้องเหล่านี้เริ่มเกิดอาการบ้าคลั่ง ท่านฉินและท่านอรากษสได้ใช้ศักดิ์ศรีแห่งอำนาจและกำบังทั้งกองกำลังไว้ตลอดระยะเวลาการเกิดหายนะครั้งใหญ่นี้ จำนวนผู้เสียชีวิต : ทหารวิญญาณ 342 นาย
พงศาวดารของยมโลกแห่งใหม่ : วันที่ 82 ของการเดินทางสำรวจดินแดนตะวันออก เลือดสดๆพุ่งขึ้นมาจากพื้น กลืนกินพื้นที่ในรัศมีสิบกิโลเมตรไปจนหมดและเปลี่ยนทุกอย่างให้กลายเป็นหนองน้ำเลือด ก่อนเกิดภัยพิบัติในครั้งนี้ พื้นดินโดยรอบได้เปลี่ยนเป็นสีแดงราวกับผิวหนังของมนุษย์ที่เกิดอาการแพ้ กองกำลังของยมโลกซ่อนตัวอยู่ในบ่อน้ำและรอดชีวิตมาได้อย่างปลอดภัย
ในวันเดียวกันนั้นเอง กองกำลังของยมโลกได้เผชิญหน้ากับราชาอสูรวิญญาณที่มีรูปร่างคล้ายกับเต่าดำเสวียนอู่ในส่วนลึกของบ่อน้ำ ก่อนจะสามารถตัดหัวมันได้ในที่สุด จำนวนผู้เสียชีวิต : ทหารวิญญาณ 400 นาย
พงศาวดารของยมโลกแห่งใหม่ : วันที่ 87 ของการเดินทางสำรวจดินแดนตะวันออก ปะทะเข้ากับราชาอสูรวิญญาณสองตัวที่กำลังต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงอำนาจสูงสุดในการครอบครองอาณาเขตกัน ราชาอสูรวิญญาณทั้งสองล้วนอยู่ขั้นตุลาการนรกระดับสูง อสูรวิญญาณตัวอื่น ๆ ที่อยู่ภายในรัศมีสิบกิโลเมตรได้หลบหนีเพื่อเอาชีวิตรอด ส่งผลให้เกิดเป็นการอพยพของฝูงอสูรวิญญาณขึ้น กองกำลังของยมโลกจึงได้พยายามหลบเลี่ยงราชาอสูรวิญญาณทั้งสอง จำนวนผู้เสียชีวิต : ทหารวิญญาณ 1,320 นาย
พงศาวดารของยมโลกแห่งใหม่ : วันที่ 89 ของการเดินทางสำรวจดินแดนตะวันออก ทั้งพายุฝนและพายุสายฟ้าเกิดขึ้นพร้อมกัน ถ้ำที่กองกำลังของยมโลกใช้หลบภัยถูกทำลายโดยอานุภาพทำลายล้างดังกล่าว จำนวนผู้เสียชีวิต : ทหารวิญญาณ 947 นาย
มันเป็นวันที่ 90 ของการเดินทางแล้ว
และมันเป็นวันที่สดใสและปลอดโปร่ง
ไร้ซึ่งราชาอสูรวิญญาณ
ไร้ซึ่งภัยธรรมชาติ
“ฝ่าบาท” ฉินเย่กำลังนั่งอยู่บนหลังของเสือโครงกระดูกที่อยู่ตรงกลางฝูงเมื่อโนบูทาดะเข้ามาใกล้ “พวกเรามาถึงที่มณฑลซานตงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
อย่างนั้นหรือ…
ฉินเย่เงยหน้าขึ้นและถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกเป็นอย่างมาก
ในที่สุดเราก็มาถึง…การเดินทางอันยาวนานและยากลำบากเป็นเหมือนกับบททดสอบความอดทน ความมุ่งมั่น และใจสู้ของพวกเขา ทหารวิญญาณทุกนายที่รอดชีวิตมากจนถึงเวลานี้ล้วนมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะถูกเรียกว่าเป็นหัวกะทิทั้งสิ้น
การเผชิญหน้ากับราชาอสูรวิญญาณและภัยทางธรรมชาติได้กระตุ้นการเติบโตของพวกเขาและทำให้พวกเขาได้สั่งสมประสบการณ์มากมายสำหรับการต่อสู้ที่กำลังจะมาถึง ซึ่งตอนนี้ พวกเขาก็ได้มาถึงการต่อสู้ครั้งสุดท้ายแล้ว ในที่สุดมันก็ถึงเวลาที่จะได้นำทุกอย่างที่ได้เรียนรู้มาใช้ในการปฏิบัติจริงเสียที
ฉินเย่มองไปยังท้องฟ้าที่อยู่ห่างออกไปและเอ่ยพึมพำกับตนเอง “เดิมที ข้านึกว่าตัวเองจะตื่นเต้นกว่านี้เมื่อเราเดินทางมาถึงมณฑลซานตงในที่สุด แต่ไม่คิดเลยว่าความรู้สึกแรกที่เกิดขึ้นจะเป็นความโล่งใจ”
“นั่นเป็นเพราะ…พวกเราเห็นเป้าหมายอยู่ตรงหน้าแล้วอย่างไรเล่า” อาร์ทิสเองก็กำลังขี่เสือโครงกระดูกอยู่ข้างๆฉินเย่ สายลมอ่อนๆที่พัดมากระทบใบหน้าทำให้ผมสีดำสนิทของนางปลิวไปมาเบา ๆ แต่ถึงกระนั้น สีหน้าของนางในเวลานี้กลับเคร่งเครียดอย่างไม่สามารถหาที่เปรียบได้
นี่ไม่ใช่แค่ภาพลวงตา…ฉินเย่มองไปรอบ ๆ ข่าวเกี่ยวกับการมาถึงมณฑลซานตงของพวกเขาได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งกองทัพแล้ว และเขาก็สามารถบอกได้เลยว่าตอนนี้…กองกำลังของยมโลกได้แผ่รัศมีที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างชัดเจนออกมา
เป้าหมายของพวกเขาอยู่ตรงหน้า การเดินทางอันยากลำบากของพวกเขากำลังจะจบลง กองกำลังทั้งหมดจึงระเบิดความดุร้ายของพวกเขาออกมา
“ฝ่าบาท!!” ทันใดนั้น เสียงของใครบางคนก็ดังขึ้น เมื่อฉินเย่หันไปมองเขาก็พบว่ามันเป็นเสียงของโนบูทาดะนั่นเอง
“มีอะไร?”
โนบูทาดะมองไปรอบ ๆ อย่างกังวลใจก่อนจะวิ่งไปหาฉินเย่และกระซิบข้างหูเบา ๆ “ท่านหมิง…ได้เผยภาพที่เราควรให้ความสนใจภาพหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ!”
ดวงตาของฉินเย่ไหววูบ เขารีบรับกระจกที่โนบูทาดะส่งมาให้เพื่อตรวจดูภาพดังกล่าวให้แน่ใจ ทันใดนั้นรูม่านตาของเขาก็หกตัวลงจากสิ่งที่ได้เห็น จากนั้นเด็กหนุ่มก็หันไปเรียกหยางเหยียนเจา “เราจะพักที่นี่กันสักครู่ เรียกแม่ทัพทุกนายมาประชุมเดี๋ยวนี้”
เสียงแตรยาวดังขึ้น และไม่นานกองทัพทั้งหมดก็หยุดนิ่งลง กองกำลังทั้งหมดแยกตัวออก ณ ศูนย์กลางของกองกำลังทั้งหมดได้รับการคุ้มกันอย่างแน่หนาและถูกใช้เป็นที่สำหรับการประชุม ไม่นานแม่ทัพทุกนายก็มาถึงตามคำเรียกรวมของฉินเย่
“นี่คือภาพที่เราเพิ่งได้รับมาจากกระจกส่องกรรม ข้าจึงเรียกให้พวกเจ้ามาดูมันด้วยกัน และตอนนี้มันก็ยังคงเกิดขึ้น!” ฉินเย่ส่งกระจกให้คนทั้งหมดก่อนที่พวกเขาจะได้นั่งประจำที่ของตัวเอง
หยางเหยียนเจารับมันมาอย่างรวดเร็ว เขาเป็นเหมือนกับสิงโตที่ดุร้ายและขนตั้งฟู ตั้งแต่ที่เขารู้ว่าพวกตนมาถึงที่มณฑลซานตง ภายในใจของเขาก็เดือดพล่านและไม่สามารถปกปิดความกระหายเลือดที่แผ่ออกมาจากร่างได้ แต่ถึงกระนั้น เขาก็ต้องตกตะลึงเมื่อได้เห็นภาพที่ปรากฏบนผิวกระจก
มันคือจักรวาล!
กระจกส่องกรรมกำลังลอยสูงอยู่เหนือท้องฟ้าขณะที่มันจับภาพและส่งภาพของลิมโบกลับมาให้กองกำลังของยมโลกที่อยู่ในโลกใต้พิภพ แต่ด้วยความสูงของมัน ทุกสิ่งทุกอย่างด้านล่างจึงกลายเป็นจุดสีน้ำตาลอมเทา แทบจะเหมือนกับว่ามันเป็นภาพถ่ายแบบสีซีเปียไม่มีผิด แต่สิ่งที่น่าตกตะลึงมากที่สุดก็คือมันมีจุดแสงจำนวนมากที่สองสว่างมาจากด้านล่าง! และทั้งหมดนั้นก็กำลังเคลื่อนที่ไปยังตำแหน่ง ๆ เดียว แทบจะเหมือนกับว่าพวกเขาคือมังกรที่กำลังพุ่งตรงไปสู่มหาสมุทร!
ภาพดังกล่าวดูแวววาวและเปล่งประกายราวกับทางช้างเผือกที่มีพื้นหลังเป็นท้องฟ้าที่ทืดมิดไม่มีผิด แต่ด้วยความสูงของกระจกส่องกรรมขณะจับภาพ จุดแสงเล็ก ๆ เหล่านั้นจึงดูเคลื่อนไหวช้ามาก ไม่ต่างอะไรกับดวงดาวบนท้องฟ้าที่เปลี่ยนไปตามการหมุนของโลกเลยแม้แต่น้อย
มันงดงามและยิ่งใหญ่
“นี่มัน…?” ทุกคนชะงักไป อาร์ทิสวาดมือ และภาพดังกล่าวก็ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งพวกเขาเห็นชัดเจนว่าจุดสีเหล่านั้นคืออะไร
พวกมันคือ…วิญญาณ
วิญญาณกว่าล้านตน – หรืออาจจะสิบล้าน!
มันมากมายราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า แต่ละจุดไฟคือลูกไฟวิญญาณที่ลุกโชนอยู่ภายในดวงตา อีกฝ่ายเคลื่อนไหวกันเป็นกลุ่มและมุ่งหน้าไปตามทาง แทบจะเหมือนกับว่าพวกเขาเดินไปตามทางช้างเผือกบนฟ้า มันคือจักรวาลของวิญญาณ!
อีกฝ่ายไม่ใช่ทหารวิญญาณ แต่เป็นเพียงวิญญาณธรรมดา ที่ไม่ได้โดดเด่นอะไร แต่ถึงกระนั้นมันก็เป็นภาพที่ยิ่งใหญ่และน่าเกรงขามเป็นอย่างมาก
เงียบ
มากเหลือเกิน…จำนวนวิญญาณเหล่านี้มันน่าตกใจและน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก มากจนทำให้กระดูกสันหลังของคนทั้งหมดรู้สึกเย็นยะเยือก ทันใดนั้นเอง ดวงตาของฉินเย่ก็เป็นประกายขึ้น ก่อนที่เขาจะชี้ไปยังคำแหน่งหนึ่ง “นั่นมันอะไรกัน?”
อาร์ทิสวาดมืออีกครั้ง และภาพก็เปลี่ยนไปสนใจในจุดที่ฉินเย่ชี้ ทุกคนต่างจ้องมองมันอย่างตั้งใจ และดวงตาของพวกเขาก็วาววาบขึ้น
กองทัพ!
กองกำลังขนาดใหญ่!
พวกเขาสามารถบอกได้ในแวบแรกเลยว่าจำนวนกองกำลังที่ฝ่ายตรงข้ามมีนั้นไม่ต่ำกว่ากองกำลังของยมโลกเลยแม้แต่น้อย และตอนนี้อีกฝ่ายก็กำลังควบม้าไปยังลิมโบ!
นอกจากนั้น พวกเขายังสามารถบอกได้อีกด้วยว่ามีพละกำลังและความแข็งแกร่งมากกว่ากองกำลังของซาเซียงจู่ ชุดเกราะกระดาษที่พวกเขาสวมอยู่ล้วนเป็นสีดำสนิท นอกจากนี้…กองกำลังดังกล่าวยังเป็นทหารม้าทั้งหมดอีกด้วย!
พวกเขากำลังขี่ม้าศึกโครงกระดูกและควบไปข้างหน้าจนฝุ่นตลบเป็นระยะทางยาวกว่าหลายต่อหลายไมล์ ธงผืนใหญ่ที่ถูกแบกเอาไว้ถูกสลักเป็นรูปอสูรที่ดูคล้ายกับงู และอักษรที่เลือดซึ่งเขียนว่า “กลุ่มพันธมิตรแห่งความมืด”
กลุ่มพันธมิตรแห่งความมืด พวกเขา…คือกองกำลังของด่านซานไห่!