ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 422: เหล่านักโทษจากสงคราม (2)
บทที่ 422: เหล่านักโทษจากสงคราม (2)
สีหน้าของฉินเย่เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมอย่างสมบูรณ์
จากที่ซาเซียงจู่พูด มันเห็นได้ชัดเจนว่านครชฺวีฟู่…นั้นเป็นสถานที่ที่พัฒนาอย่างไม่น่าเชื่อ!
ตามประวัติศาสตร์ สงครามครั้งใหญ่ไม่เคยเกิดขึ้นท่ามกลางถิ่นทุรกันดาร กลับกัน ทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นในเมืองที่พัฒนาแล้ว ความยิ่งใหญ่ของเมืองที่พัฒนาแล้วนั้นเปรียบได้กับป้อมปราการหุ้มทอง หากนครชฺวีฟู่ถูกสร้างขึ้นเช่นนั้นจริง เช่นนั้น…มันก็มีความเป็นไปได้สูงที่การสูญเสียของอีกฝ่ายจะยิ่งมากขึ้นหากเขาลอบโจมตีที่นครชฺวีฟู่!
“40 ตารางกิโลเมตร?” ฉินเย่ถามด้วยแววตาที่ลุกโชน นั่นคือสองเท่าของที่พวกเขาได้คาดการณ์ไว้ในตอนแรก
ซาเซียงจู่ส่ายหน้า
ฉินเย่อ้าปากค้าง “60?”
ซาเซียงจู่ยังคงส่ายหน้า
“80?”
“อย่างน้อย 100” สีหน้าของซาเซียงจู่เคร่งขรึมอย่างไม่สามารถหาที่เปรียบได้ “มันแทบจะเหมือนกับเมืองที่เรามักจะเห็นกันในละครโทรทัศน์สมัยใหม่! มันถูกสร้างขึ้นในสไตล์ก่อนราชวงศ์หมิง ไม่ว่าจะมองมุมใด เมืองแห่งนี้ก็มีขนาดใหญ่มาก! มันแทบจะเหมือนกับ–… แทบจะเหมือนกับว่าเมืองทั้งเมืองมีอายุมานานกว่าร้อยปีแล้ว!”
100 ตารางกิโลเมตร!!
รูม่านตาของฉินเย่หดเล็กลงขณะที่เขาเหลือบมองไปทางอาร์ทิส และก็พบว่าสีหน้าของนางในเวลานี้เองก็เคร่งขรึมลงเช่นกัน
พวกเราไม่ได้กำลังพูดถึงการสูญเสียครั้งใหญ่อีกต่อไป… แต่มันคือการนองเลือด!
เมืองที่ใหญ่ขนาดนั้น… จำนวนกองกำลังที่ประจำการอยู่ที่นั่นจะต้องไม่ต่ำกว่า 4 แสนอย่างแน่นอน!
นี่เป็นเพราะว่าอีกฝ่ายคงไม่สามารถลาดตระเวนไปตามถนนได้โดยที่ปราศจากกองกำลังทหารจำนวนมาก
เงียบสนิท
หยางเหยียนเจา โนบูทาดะ มู่กุ้ยอิง และคนอื่น ๆ ต่างก็จมอยู่กับความคิดของตัวเองเช่นกัน พวกเขาไม่มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าอีกต่อไป มันแทบจะเหมือนกับว่าความหวังในการที่จะได้รับชัยชนะของพวกเขาได้หลุดลอยออกไป ความพัฒนาของนครชฺวีฟู่นั้นอยู่เหนือการคาดการณ์ของพวกเขาไปมาก! จริงอยู่ หากพวกเขาสามารถโค่นล้มนครชฺวีฟู่ได้ เมืองทั้งเมืองก็จะตกเป็นของพวกเขา แต่การล้อมรอบเมืองขนาดใหญ่เช่นนั้นมันเป็นเรื่องง่ายที่จะพูดมากกว่าทำ หากพูดกันตามตรง มันเป็นภารกิจที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ!
ซาเซียงจู่เอ่ยต่อ “เมื่อครั้งแรกที่ข้าตอบรับเข้าร่วมกลุ่มพันธมิตร ข้ายังคงสงสัยอยู่ว่ามันจะเป็นกลุ่มพันธมิตรแบบใด แต่หลังจากที่เข้าไปในเมืองนั้น ข้าถึงได้รู้ว่ากลุ่มพันธมิตรดังกล่าวได้ครอบครองทั้งมณฑลซานตงและมณฑลเจียงซู และข้าก็ประหลาดใจเป็นอย่างมากที่เห็นขั้นตุลาการนรกอีก 11 ตนนอกเหนือจากขงโม่อยู่ที่นั่นด้วย!”
“ข้าเป็นขั้นตุลาการนรกตนที่ 20 ที่เข้าร่วมกลุม และข้าก็ได้ถามขั้นตุลาการนรกตนอื่น ๆ เกี่ยวกับนครชฺวีฟู่แล้ว แต่…คำตอบของพวกเขานั้นน่าเหลือเชื่อเป็นอย่างมาก!”
ลมหายใจของเขาเริ่มติดขัด “บางคนบอกว่าตนเคยไปที่นครชฺวีฟู่มาก่อน และพวกเขาก็บอกว่ามันไม่ควรจะมีเมืองก่อตั้งขึ้นที่นครชฺวีฟู่ในตอนแรก จากนั้น หนึ่งในขึ้นตุลาการนรกคนอื่นก็เอ่ยต่อว่าเมืองในนครชฺวีฟู่…จู่ ๆ ก็ปรากฏขึ้น แทบจะเหมือนกับว่ามันตกลงมาจากท้องฟ้า!”
“พระราชวังเงาสะท้อน?!” อาร์ทิสเอ่ยออกมาด้วยความตกตะลึง
“มันคืออะไรกัน?” ฉินเย่ถาม
นางผงะไปครู่หนึ่งก่อนจะค่อย ๆ พึมพำกับตัวเอง “เป็นไปได้อย่างไร…เหตุใดสิ่งเหล่านั้นจึงไปอยู่กับคนบาปแห่งขงจื๊อได้?”
โดยไม่เว้นช่วง นางรีบอธิบายสิ่งที่ตนเพิ่งพูดออกมาทันที “ยมโลกมักจะแบ่งประเภทของวัตถุหยินออกเป็นระดับ 1 ไปจนถึง 4 หรือ A ไปจนถึง D วัตถุหยินระดับ A นั้นมีจำนวนน้อยมาก นอกเหนือจากพระยมและขั้นฝู่จวินบางตน มีเพียงขุนนางระดับสูงอย่างตระกูลขงเท่านั้นที่ได้รับสิทธิ์ในการเข้าถึงวัตถุหยินเหล่านี้ และพระราชวังแห่งการสะท้อนเงา หรือที่รู้จักกันในชื่อของพระราชวังเงาสะท้อน ก็เป็นหนึ่งในวัตถุหยินระดับ A ที่ว่านั้น!”
“มาสามารถบันทึกภาพของสถานที่แห่งหนึ่งในยมโลก และสร้างเมืองทั้งเมืองขึ้นมาใหม่ตามตำแหน่งที่ผู้ใช้ได้เลือกเอาไว้! ใช่แล้ว…หากข้าจำไม่ผิด นี่อาจจะเป็นสิ่งเดียวที่สามารถทำให้เมือง ๆ หนึ่งปรากฏขึ้นภายในชั่วข้ามคืนได้! แต่…แม้แต่ทายาทสายตรงของตระกูลขงก็แทบจะไม่ได้ครอบครองวัตถุหยินเช่นนี้ด้วยซ้ำ แล้วคนบาปแห่งขงจื๊อผู้นี้สามารถครอบครองสิ่งที่ล้ำค่าเช่นนี้ได้อย่างไร?!”
เปลือกตาของฉินเย่เต้นตุบ ๆ “มีความเป็นไปได้หรือไม่ที่เจ้าจะจำผิด?”
“ไม่มีทาง พระราชวังแห่งการสะท้อนเงานั้นเป็นวัตถุหยินเพียงชิ้นเดียวที่มีผลเช่นนี้!” อาร์ทิสเอ่ยตอบอย่างมั่นใจ
ทุกคนถึงกับอ้าปากค้างทันที
ทั้งฉินเย่และหยางเหยียนเจาต่างสังเกตเห็นถึงปัญหาสำคัญของเรื่องนี้ในทันที
ขงโม่… ตระกูลขงอาจจะมีแผนการมากมายในการเนรเทศเขาไปยังลิมโบ แต่การล่มสลายของยมโลกก็ได้ทำให้เขาสามารถเดินทางเข้าสู่แดนมนุษย์ได้โดยบังเอิญ แล้วสมบัติชิ้นอื่นที่เขาครอบครองอยู่จะเป็นสมบัติประเภทใดกัน?
ใช่แล้ว… นี่จะต้องเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาได้ตะเกียงเถาฮวามาไว้ในครอบครองอย่างแน่นอน
“เขาอันตรายมาก” หยางเหยียนเจาเงยหน้าขึ้นและสบตากับฉินเย่ “อันตรายมาก ฝ่าบาท กระหม่อมขอเสนอว่าเราไม่ควรเสี่ยงเข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปมากกว่านี้พ่ะย่ะค่ะ” ขงโม่อาจจะอยู่ขั้นตุลาการนรก แต่เราไม่สามารถพิจารณาเขาเหมือนกับวิญญาณขั้นตุลาการนรกตนอื่นๆได้!
“เรื่องขงโม่นั้นก็เป็นเรื่องหนึ่ง…” อาร์ทิสกัดริมฝีปากล่างของตนเอง “แต่สิ่งที่ข้ากังวลมากกว่าก็คือ…เขาทำการขยายพันธุ์ในส่วนใดของชฺวีฟู่?”
นางหันไปหาซาเซียงจู่ “ท่านพอจะจำได้หรือไม่ว่าเมืองในนครชฺวีฟู่มีลักษณะพิเศษอะไรบ้าง?”
ซาเซียงจู่ขมวดคิ้วยุ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้า “มันใหญ่เกินไป ข้ายังไม่มีโอกาสได้สำรวจรอบๆเมืองเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทุกครั้งที่เราไปที่นั่น มันมักจะเป็นเหตุผลที่เป็นทางการทั้งสิ้น และเราก็มักจะถูกนำทางไปยังสถานที่ประชุมในทันที ขงโม่ไม่เคยอนุญาตให้เราเดินไปยังส่วนอื่น ๆ … อ้อ ใช่แล้ว!”
เขาดีดนิ้ว “ใช่ ข้าจำได้แล้ว! มันมีแผ่นศิลาหินตั้งอยู่ภายในเมือง!”
“มันเป็นแผ่นศิลาที่มีอายุมานานมาก และมันก็มีข้อความถูกสลักเอาไว้ ข้าจำข้อความสองแถวแรกไม่ได้ แต่สองแถวหลังคือ…เอ่อ…ใช่ มันสลักไว้ว่า – ผ่านด่านอวี๋ในยามราตรี ไปสู่ดินแดนอันแห้งแล้งในวันพรุ่ง”
ฉินเย่และอาร์ทิสต่างขมวดคิ้ว ทว่าทันใดนั้น หยางเหยียนเจาก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “นำหน้าโดยเหล่าแม่ทัพผู้กล้า บุกเข้าโจมตีกองกำลังมองโกล ผ่านด่านอวี๋ในยามราตรี ไปสู่ดินแดนอันแห้งแล้งในวันพรุ่ง……” [1]
ทั้งฉินเย่และอาร์ทิสต่างหันไปมองอีกฝ่ายพร้อมกันทันที “แม่ทัพหยาง เจ้ารู้จักข้อความเหล่านี้อย่างนั้นหรือ?”
สีหน้าของหยางเหยียนเจาค่อนข้างขมขื่นขณะที่เอ่ยตบ “กระหม่อมรู้ว่ามันถูกเรียกว่า ‘ด่านหลินหลวี๋’ พ่ะย่ะค่ะ”
“ด่านหลินหลวี๋?” ฉินเย่ขมวดคิ้ว มันเป็นชื่อที่เขาไม่คุ้นหู แต่ก่อนที่เขาจะได้คิดอะไรไปมากกว่านี้ หยางเหยียนเจาก็ลุกขึ้นยืนและแย้มยิ้มขมขื่น “เหตุผลเดียวที่กระหม่อมเรียกมันว่าด่านหลินหลวี๋ก็เพราะว่ากระหม่อมลังเลที่จะเรียกมันอีกชื่อหนึ่ง กระหม่อมเกรงว่าชื่อที่กำลังจะเอ่ยออกมานั้น…อาจทำให้เราทั้งหมดรู้สึกสิ้นหวังมากกว่าเดิม…”
ฉินเย่ลอบกลืนน้ำลายอย่างเป็นกังวล “มัน…คืออะไร?”
หยางเหยียนเจาเงียบไป ไม่กี่วินาทีต่อมา หลังจากครุ่นคิดอย่างหนัก เขาก็พึมพัน “ด่านซานไห่” [2]
WTF?!!
ฉินเย่จ้องมองหยางเหยียนเจาอย่างตกตะลึงเป็นระยะเวลากว่าสามวินาทีเต็ม ก่อนที่จะเอ่ยออกมาด้วยเสียงที่สั่นเทา “เจ้าแน่ใจหรือ?”
หยางเหยียนเจาพยักหน้าอีกครั้ง “บทกวีนี้ถูกประพันธ์ขึ้นโดยแม่ทัพชี จี้กวัง โดยใช้ชื่อว่า ‘ออกจากด่านอวี๋’ กระหม่อมมั่นใจ”
เงียบ
หลังจากครุ่นคิดอยู่เป็นเวลานาน ฉินเย่ก็ลุกขึ้นยืน “เอาล่ะ อรากษส…กองกำลังของเราดูเหมือนว่าจะพักผ่อนกันเพียงพอแล้ว เราเตรียมการเดินทางกลับยมโลกกันเลยดีหรือไม่?”
“ฝ่าบาท!” “ท่านฉิน!” “พระองค์!”
เสียงมากมายเอ่ยออกมาพร้อมกัน มู่กุ้ยอิงก้าวออกมาข้างหน้าและประสานมือเข้าด้วยกันพร้อมกับเอ่ยด้วยความเคารพ “ด่านซานไห่อาจได้รับชื่อให้เป็น ‘ด่านแรกของกำแพงเมืองจีน’ แต่มันก็ยังเป็นแค่ส่วนเล็กๆของกำแพงเมืองเท่านั้น! ขงโม่ก็น่าจะเพิ่งครอบครองที่บางส่วนของมันเท่านั้น! มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะครอบครองพื้นที่ทั้งหมดของกำแพงเมืองจีน! พวกเรามีความตั้งใจ และขวัญกำลังใจของกองกำลังทั้งหมดก็สูงมาก ภายใต้เงื่อนไขที่ถูกต้อง เราอาจจะสามารถยึดครองเมืองทั้งเมืองได้นะเพคะ!”
“ใช่แล้ว!” อาร์ทิสเอ่ยเสริมเสียงต่ำ “พวกเราจะเดินทางผ่านโลกใต้พิภพ หลังจากที่หาตำแหน่งที่ถูกต้องได้ เราก็จะสามารถปรากฏขึ้นจากภายในตัวของด่านซานไห่ได้ ด่านซานไห่นั้นเป็นด่านที่ถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันผู้บุกรุก ข้าไม่เชื่อว่าการป้องกันภายในของอีกฝ่ายจะแน่นหนาขนาดนั้น!”
“ฝ่าบาท กระหม่อมยินดีที่จะเป็นแนวหน้าสำหรับการปิดล้อมสถานที่ทั้งหมด!” “ฝ่าบาท กระหม่อมเตรียมพร้อมที่จะเดินทัพต่อแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” “ฝ่าบาท กระหม่อมขออาสาเป็นผู้นำของกองกำลังพยัคฆ์คลั่งเองพ่ะย่ะค่ะ!”
แม่ทัพทั้งหมดก้าวออกมาข้างหน้าและเอ่ยพร้อมกันอย่างกระตือรือร้น
ฉินเย่รู้สึกว่าเส้นเลือดบริเวณขมับของเขากำลังเต้นตุบๆอย่างไม่สามารถควบคุมได้
นี่คือการต่อสู้ที่จะกำหนดอนาคตของยมโลก หากพวกเขาสามารถโค่นล้มนครชฺวีฟู่ได้ ผลที่ได้ตอบกลับมาก็จะมากมายมหาศาล แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามอย่างไร เขาก็ยังไม่สามารถมองข้ามคำว่า ‘ด่านซานไห่’ ได้เสียที!
ด่านซานไห่เชียวนะ! ด่านแรกของกำแพงเมืองจีน! นี่อีกฝ่ายคิดว่าขงโม่จะสามารถเลียนแบบที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนั้นได้โดยปราศจากไพ่ตายใด ๆ อยู่ในมืออย่างนั้นหรือ?
จริงอยู่ที่เมือง ๆ หนึ่งจำเป็นจะต้องมีจำนวนทหารให้เพียงพอต่อการป้องกัน แต่..เมืองพวกนั้นก็ย่อมต้องมีระบบป้องกัน บังเกอร์ หน้าไม้และลูกดอกหน้าไม้ และอื่น ๆ อีกมากมายเลยมิใช่หรือ?
ให้ตายเถอะ พวกเรากำลังอยู่ในยุครณรัฐ แต่พวกเจ้ากลับพูดถึงการบุกป้อมปราการยักษ์ใหญ่?! นี่พวกเจ้าพยายามทำบ้าอะไรกันอยู่?!
ด้วยฟันที่กัดแน่น ฉินเย่หันไปหาซาเซียงจู่ “ภายในกำแพงเมืองเป็นอย่างไรบ้าง? อุตสาหกรรมและสิ่งอำนวยความสะดวงต่าง ๆ ? ที่นั่นมีประชากรจำนวนทั้งหมดเท่าไหร่? แล้วจำนวนทหารวิญญาณเล่า?”
ซาเซียงจู่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ตอบกลับอย่างกระตือรือร้น “นายท่าน การพัฒนาทางอุตสาหกรรมของที่นั่น…ดูไม่ได้แตกต่างจากสมัยอดีตมากนัก มันดูเหมือนจะมีทุกอย่างที่ต้องการ ส่วนเรื่องจำนวนประชากร… ข้าจำได้ว่าในครั้งล่าสุดที่ข้าไปที่นั่นมีรายงานว่าจำนวนประชากรวิญญารที่อาศัยที่นั่นมีจำนวนทั้งสิ้น 8 ล้านตน และมันก็ยังเป็นขีดจำกัดสูงสุดที่เมืองจะสามารถบรรจุได้แล้วเช่นกัน โดยจากทั้งหมดนี้ พวกเขามีกองกำลังทั้งสิ้น 820,000 นาย”
820,000?!
ด่านซานไห่ ทหารวิญญาณ 820,000 นาย และยังตัวตนลึกลับอย่างขงโม่… ไม่ใช่ว่าเราควรรีบเก็บข้าวของและเดินทางกลับยมโลกหรอกหรือ?
ฉินเย่ยกมือขึ้นคลึงบริเวณหัวคิดด้วยสีหน้าเจ็บปวด ความหวังอันน้อยนิดของพวกเขาอยู่ที่ข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาได้รู้เรื่องพวกนี้ล่วงหน้า มิเช่นนั้น หากยมโลกมารู้เรื่องเหล่านี้ในตอนที่พวกเขาปิดล้อมเมืองทั้งเมืองแล้ว พวกเขาก็อาจจะสูญเสียใจสู้ทั้งหมดไปในทันที
“กลุ่มพันธมิตรแห่งความมืด…คือสิ่งที่ขงโม่เป็นผู้ก่อตั้งขึ้นใช่หรือไม่?” ฉินเย่รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาด้วยกลัวว่าเขาอาจจะสั่งให้ทุกคนถอยทัพ เขาครุ่นคิดเป็นระยะเวลาครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ “ความแข็งแกร่งโดยรวมของเหล่าพันธมิตรคืออะไร? แล้วกองกำลังอื่น ๆ ตอนนี้อยู่ที่ไหน?”
“นายท่าน ตอนนี้ที่นครชฺวีฟู่มีทหารประจำการอยู่เพียง 820,000 นายเท่านั้น นอกเหนือจากนั้น ทางกลุ่มพันธมิตรยังมีทหารอยู่อีกประมาณ 1,500,000 นาย และตอนนี้พวกเขา…” ซาเซียงจู่เงียบไปครู่หนึ่งและเอ่ย “กำลังเดินทางไปตามแนวชายฝั่งของมณฑลซานตง ต่อสู้กับสัตว์ประหลาดตนหนึ่ง…”
ราชาผี… ฉินเย่และอาร์ทิสสบตากันทันที
“สถานการณ์ที่นั่นเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ไม่ดีนัก” ซาเซียงจู่ส่ายหน้า “หากมันเป็นไปได้ด้วยดี พวกเราคงไม่เลือกที่จะระดมกองกำลังขั้นตุลาการนรกและทหารวิญญาณทั้งหมดในดินแดน แม้ว่าพวกเราจะไม่เคยเห็นมันมาก่อน แต่ปีศาจตนนั้นก็สร้างความหวาดกลัวให้แม้แต่ตัวของขงโม่เอง”
มันก็สมควรที่จะเป็นเช่นนั้น เพราะไม่ว่าอย่างไร พวกเขาก็กำลังพูดถึงหนึ่งในกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในแผ่นดินจีน มันคงจะแปลกมากหากขงโม่ไม่รู้สึกหวาดกลัวอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย
ฉินเย่รู้สึกไม่สบายใจกับสถานการณ์ในตอนนี้เป็นอย่างมาก มันมากจนเขาอยากจะสบถและบ่นออกมา หรืออย่างน้อยก็ทำอะไรบางอย่างเพื่อคลายความเครียดที่สั่งสมอยู่ภายในใจของตัวเอง
เขาควรจะทำอย่างไรดี…
เขาอดไม่ได้ที่จะปรายตาไปมองทางซาเซียงจู่ – ตอนนี้เขาบรรลุจุดประสงค์ของตัวเองแล้ว… ฉินเย่กระแอมออกมาเบา ๆ และเอ่ย “เอาล่ะ ท่านซา ข้าไม่มีคำถามอะไรอีกแล้ว”
ซาเซียงจู่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
นับแต่นี้ไป เขาจะถือว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของยมโลก เขาจะมีความแข็งแกร่งของยมทูต นอกจากนี้ เขาก็จะ—…
“พาตัวเขาออกไป”
“หะ–…ไม่!!! ท่านฉิน! ท่านฉิน!” ซาเซียงจู่รีบคุกเข่าลงกับพื้นทันที “นี่มันเรื่องอะไรกัน? ท่านกำลังจะผิดคำพูดของตัวเองอย่างนั้นหรือ?! ท่านพูดเองไม่ใช่หรือว่า—…”
แต่ก่อนที่เขาจะทันได้เอ่ยจบ เส้นพบของอาร์ทิสก็พุ่งมาที่ร่างของเขาราวกับอสรพิษ รัดแขนและขาของเขาเอาไว้อย่างแน่นหนา ซาเซียงจู่มองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความตื่นตระหนกขณะที่เขาพยายามยื้อเอาไว้ จากนั้น เขาก็เงยหน้าขึ้นมองฉินเย่และเอ่ย “ท่านหลอกข้า…ท่านหลอกข้า!!”
“ท่านสามารถเรียกมันว่าเป็นการหลอกลวงได้อย่างไร?” ฉินเย่แย้มยิ้มขณะที่ถามกลับ “มันเป็นการเจรจาอย่างเท่าเทียม เมื่อครู่นี้ข้าก็เรียกท่านว่าท่านซาไม่ใช่หรือ?”
“แต่ท่านสัญญาแล้ว…ท่านสัญญาว่าจะไม่ฆ่าข้า!!” ซาเซียงจู่กรีดร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง
ฉินเย่มองอีกฝ่ายตาโต “ข้าบอกเมื่อใดกัน…ที่ว่าข้าจะไม่ฆ่าท่าน?”
“ท่าน…ข้าเพียงถามว่าท่านเต็มใจที่จะรับตำแหน่งในยมโลกหรือไม่ ไม่ใช่หรือ? นี่ท่านหูหนวกหรืออย่างไร? ท่านสามารถพูดได้จริงๆหรือว่าข้ายังไม่ได้ทำตามข้อตกลง”
แน่นอนว่าข้าพูดได้!!!
น่าเสียดายที่ปากของซาเซียงจู่ถูกปิดไว้โดยเส้นผมของอาร์ทิส เขาจึงทำได้เพียงจ้องมองไปยังฉินเย่ด้วยดวงตาที่แดงก่ำและส่งเสียงครวญครางออกมาขณะที่ร่างทั้งร่างสั่นเทาอย่างรุนแรงเท่านั้น
“นอกจากนี้ การที่กษัตริย์ตัดสินใจที่จะสำเร็จโทษประหารผู้ใต้บังคับชาของตน มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรไม่ใช่หรือ?” ฉินเย่ตบแก้มของซาเซียงจู่เบา ๆ ก่อนจะหันหน้าไปทางหนึ่ง “หึหึ ดูสิว่าท่านกำลังตื่นเต้นมากแค่ไหน...”
จากนั้น เขาก็โน้มตัวลงไปและกระซิบเข้าที่ข้างหูของซาเซียงจู่ “จำไว้ มีสถานที่เพียงแห่งเดียวเท่านั้นที่ถูกจัดไว้สำหรับเหล่าวิญญาณบาปในยมโลก”
“และนั่นก็คือส่วนที่ลึกที่สุดของขุมนรกแห่งการลงทัณฑ์”
“ท่านคิดหรือว่าตัวเองจะสามารถรอดพ้นจากความตายไปได้หลังจากที่ได้สังหารประชากรของยมโลกไปจำนวนมาก? เหล่าผู้กระทำผิดที่ไม่ได้รับการลงโทษในแดนมนุษย์จะต้องชดใช้ความผิดของพวกเขาในยมโลกอย่างสาสม เจ้าจำเหตุฆาตกรรมลึกลับที่ยังไม่สามารถคลี่คลายได้ของเหยื่อไร้หัวไม่ได้แล้วอย่างนั้นหรือ? นั่นแหละ…”
เขายืดตัวขึ้นและหมุนตัวเพื่อจะเดินจากไป “ท่านสามารถชดใช้ความผิดครั้งนี้ของตัวเองได้ด้วยจิตวิญญาณของท่านเอง”
“ลากเขาลงไปและลงโทษเขาด้วยบทลงโทษขี้ผึ้งน้ำมันมนุษย์”
[1] ความหมายคราวๆจากบทกวีภาษาจีน 前驱皆大将,列阵尽元戎。夜出榆关外,朝看朔漠空.
[2] ป้อมประตูหนึ่งของกำแพงเมืองจีน