ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 417: จ้าวแห่งเจียงอิน
บทที่ 417: จ้าวแห่งเจียงอิน
ธนูพวกนี้รุนแรงกว่าครั้งก่อนมาก
พวกมันให้ความรู้สึกที่หนักหน่วง และยังดูเหมือนกับมีชีวิต มันเจาะเข้าที่ศักดิ์ศรีแห่งอำนาจของฉินเย่อย่างรุนแรง จากนั้น ขณะที่สายตาของเขาปรับมาเป็นปกติ เขาก็พบว่าตรงหน้าของตนไม่มีอะไรอยู่เลย
ทุกสิ่งทุกอย่างมืดไปหมด
มันคือความมืดที่ไร้จุดสิ้นสุด
ท้องฟ้า ผืนดิน ทุกอย่างล้วนเป็นสีดำสนิท
ลูกธนูหางขนนกสีดำอย่างตำ่ไม่น้อยกว่าหมื่นลูกยังคงพุ่งมาที่เขาอย่างต่อเนื่อง ล้อมรอบร่างของเขาทั้งหมด มันเป็นเหมือนกับสายฝนธนูที่ดูไม่ต่างอะไรกับคลื่นกระแทกที่ถาโถมลงมา จากนั้น ก่อนที่เขาจะตอบสนองได้ทัน ทุกอย่างก็ปะทะลงมาที่ศักดิ์ศรีแห่งอำนาจของเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ฉึก ฉึก ฉึก! จังหวะที่รุนแรงทำให้หัวใจของฉินเย่เต็มไปด้วยความกลัว ความแข็งแกร่งของลูกธนูนับหมื่นนั้นอยู่คนละระดับอย่างชัดเจน หากมองจากด้านนอก มันดูราวกับฉินเย่ได้กลายเป็นเบาะสำหรับปักเข็มดีๆนี่เอง
ทันใดนั้น เขาก็ได้ยินเสียงๆหนึ่ง
มันเป็นเสียงของผู้ชาย
เสียงดังกล่าวเบา ทว่าชัดเจนแม้ว่าระเบิดคลื่นเสียงจะเกิดขึ้นจากลูกธนูที่พุ่งแหวกอากาศ และมันจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อชายผู้นี้อยู่ขั้นตุลาการนรกเท่านั้น
“ระเบิด”
ในเสี้ยววินาทีต่อมา ฉินเย่ก็รู้สึกว่าทุกอย่างโดนรอบสั่นไหวอย่างรุนแรง!
ฟึ่บ! แสงสว่างส่องทะลุผ่านความมืดของศักดิ์ศรีแห่งอำนาจเข้ามา มันเป็นตอนนั้นเองที่ฉินเย่สังเกตเห็นว่ายันต์ที่ถูกติดอยู่ที่ปลายลูกธนูแต่ละดอกกำลังกระพืออย่างรุนแรง
มันกระพือแรงขึ้นเรื่อยๆ และพลังหยินที่อยู่รอบๆเขาก็เริ่มที่จะทะลวงการป้องกันของเขาราวกับปรอทที่ไหลซึมไปตามพื้น จากด้านนอก เขาดูไม่ต่างอะไรกับจุดสีดำที่ถูกกลืนกินโดนแผนเผาด้วยเปลวไฟจากดวงอาทิตย์เลยแม้แต่น้อย
เขาทนไม่ไหวอีกแล้ว…
เด็กหนุ่มรู้ถึงสถาณการณ์ที่ตัวเองกำลังประสบอยู่ตอนนี้ดี ดังนั้นฉินเย่จึงรีบหยิบสมุดแห่งความเป็นตายออกมา ในขณะเดียวกัน พร้อมกับเสียงระเบิดที่ดังก้อง ดวงอาทิตย์ทั้งดวงก็บิดเบี้ยวและความร้อนรวมถึงความรุนแรงของมันก็ทวีความรุนแรงมากขึ้น!
พรึ่บ! เปลวไฟจากดวงอาทิตย์แพร่สะพัดไปทั่วป้อมปราการทั้งหมด ทิ้งไว้เพียงกลุ่มควันและเศษฝุ่นและดินจากการระเบิด แต่ก่อนที่ทุกอย่างจะสลายไป เปลวไฟลูกที่สองก็ระเบิดตามมาติดๆด้วยลูกที่สาม ลูกที่สี่…จนกระทั่งไปจนถึงดวงที่สิบ!
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
แม้แต่ราชาอสูรวิญญาณที่อยู่ห่างออกไปก็อดไม่ได้ที่จะเบือนหน้าหนีด้วยความหวาดกลัว แม้ว่าจะมีความล่อตาล่อใจจากวิญญาณจำนวนมาก แต่สัญชาตญาณของพวกมันก็บอกพวกมันว่าสิ่งที่พวกมันเห็นอยู่นั้นไม่ใช่สิ่งที่พวกมันสามารถรับมือได้
เปลวไฟทั้งหมดได้เปลี่ยนจากดวงอาทิตย์เป็นดอกปี่อั้นที่บิดเบี้ยวซึ่งเบ่งบานอยู่ในท้องฟ้า ครู่ต่อมา ดอกปี่อั้นดังกล่าวก็ค่อยๆร่วงโรยไป ทิ้งไว้เพียงประกายไฟที่เหลือตกค้างเอาไว้ ทั้งหมดตกลงมาบนพื้นราวกับว่าพวกเขากำลังอยู่ในนรกที่ร้อนระอุ ขณะที่เปลวไฟทั้งหมดค่อยๆสงบลง พวกมันก็เผยให้เห็นๆจุดสีดำสองจุดด้านใน ทางด้านซ้าย มันคือสมุดแห่งความเป็นตายที่ห่อหุ้มร่างของใครคนหนึ่งไว้ด้านใน ในขณะที่ทางด้านขวา อาร์ทิสยังคงลอยอยู่กลางอากาศโดยที่เส้นผมสีดำสนิทยังคงห่อหุ้มร่างของนางเอาไว้
“ไม่เลวนี่…” ด้วยเสียงหัวเราะที่แหบพร่า เส้นผมที่ก่อตัวเป็นลูกบอลผมค่อยๆคลายออก เผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ภายใน “ยันไฟนรกระดับสาม… ถึงขนาดที่ต้องใช้ยันต์ระดับ C 120,000 แผ่นในการจัดการเรา… ช่างอวดเก่งเสียจริง…”
พรึ่บ… การป้องกันของสมุดแห่งความเป็นตายเปิดออกในไม่ช้า และกระดาษจำนวนนับไม่ถ้วนก็เริ่มกระจัดกระจายไปทั่วท้องฟ้าก่อนจะเปลี่ยนกลับเป็นสมุดแห่งความเป็นตายขนาดเล็กที่ลอยเข้าสู่มือของฉินเย่
“แต่มันก็ยังไม่สามารถสังหารพวกเจ้าได้” เสียงของอีกฝ่ายตอบกลับมาเบาๆ
ประสาทสัมผัสของฉินเย่กลับเป็นปกติเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และเขาก็สามารถมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างโดยรอบได้ในที่สุด
ทหารวิญญาณ…
ทหารวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วน!
ป้อมปราการทั้งหมดเต็มไปด้วยทหารวิญญาณที่ยืนเรียงรายกัน เปลวไฟนรกจำนวนนับไม่ถ้วนลอยไปมาในอากาศ ในขณะที่สายลมพัดไปมาอย่างรุนแรง ทุกอย่างโดยรอบมืดไปหมด เว้นแต่แหล่งกำเนิดแสงเพียงแหล่งเดียว
มันคือโคมลอยขนาดใหญ่
และมันก็ลอยอยู่ตรงหน้าของพวกเขา
โคมลอยดังกล่าวสูงประมาณหนึ่งเมตร ในขณะที่เปลวไฟด้านในสูงประมาณสิบเมตร หากลองสังเกตดูดีๆจะเห็นใบหน้าของทหารวิญญาณของยมโลกแห่งใหม่พุ่งเข้าพุ่งออกอยู่ในเปลวไฟน้ัน ใบหน้าทั้งหมดคร่ำครวญและกรีดร้องออกมาเพื่อขอความเมตตา แต่แล้วก็ถูกดึงกลับเข้าไปในเปลวไฟที่ลุกโชนซึ่งถูกใช้เป็นเปลวเพลิงต่อไป
เจ้า…กล้าดีอย่างไรถึงใช้โทษขี้ผึ้งน้ำมันมนุษย์กับประชากรของยมโลก?!
และยังกล้าทำมันต่อหน้าจ้าวนรกอีกด้วย?!
มันไม่มีทางที่ขงโม่จะเปิดเผยตัวตนของฉินเย่ต่อพันธมิตรทั้งหมดอย่างแน่นอน และนั่นก็หมายความว่า ชายผู้นี้…กำลังดูถูกการดำรงอยู่ของยมโลกแห่งใหม่อย่างชัดเจน!
“เจ้าเป็นใคร?” รูม่านตาของฉินเย่หดเล็กลงขณะที่เขามองไปที่อีกฝ่าย
ที่พำนักเคลื่อนที่ซึ่งมีความสูงประมาณสิบเมตรตั้งอยู่กลางกองกำลังทหารวิญญาณทั้งหมด มันถูกแบกไว้โดยเหล่าวิญญาณไร้ศีรษะ เปลือยกายด้านบนซึ่งโน้มตัวมาด้านหน้าและสวมกางเกงสีแดง ที่พำนักดังกล่าวถูกออกแบบมาในลักษณะของศาลาโบราณ ในขณะที่ด้านในของศาลาถูกปกปิดไว้ด้วยม่านสีเขียวผืนบาง และมีเงาของร่างๆหนึ่งนั่งอยู่ด้านใน นอกเหนือจากนั้น มันยังมีวิญญาณขั้นยมทูตขาวดำอีกเจ็ดตนยืนอยู่รอบๆที่พำนักเคลื่อนที่ – บางตนถือศีรษะของตนเอง บางตนมีลิ้นห้อยลงมาจนถึงพื้น ในขณะที่ตนอื่นๆมีช่องท้องที่มีบาดแผลเหวอะหวะจนออกมาด้านนอก อย่างไรก็ตาม วิญญาณทั้งเจ็ดกลับยังคงจ้องมาที่ฉินเย่และอาร์ทิสด้วยจิตสังหารที่รุนแรง
“กลุ่มพันธมิตรแห่งความมืด เจ้าแห่งเจียงอิน ซาเซียงจู่” เสียงพูดอันเรียบนิ่งดังออกมาจากที่พำนักเคลื่อนที่
กลุ่มพันธมิตรแห่งความมืด… ฉินเย่จำมันเอาไว้ก่อนจะปรายตามองอาร์ทิสอย่างเยือกเย็น และทันใดนั้นแววตาของเขาก็เป็นประกายขึ้น
เขาสามารถบอกได้ว่ามือของอาร์ทิสได้ขยับไปที่ด้านหลังของนางเล็กน้อย แม้ว่าการเคลื่อนไหวดังกล่าวจะแทบไม่ทันสังเกตุเห็นเลยก็ตาม แต่หลังจากที่ได้ทำงานร่วมกับอีกฝ่ายมาเป็นเวลาหนึ่ง เขาก็สามารถเข้าใจได้ทันทีว่านางต้องการจะทำสิ่งใด
“ขงโม่อย่างนั้นหรือ?” ฉินเย่หัวเราะเบาๆ “ดูเหมือนคนบาปแห่งขงจื๊อจะรวบรวมผู้ใต้บังคับบัญชาที่ดื้อด้านไม่เบา…”
ซาเซียงจู่ส่งเสียงฮึดฮัด “โลกใต้พิภพได้เปลี่ยนไปแล้ว และยมโลกก็ไม่มีอยู่อีกต่อไป ผู้ใดที่เป็นคนจัดระเบียบโลกนี้ได้ย่อมได้รับการแต่งตั้งให้เป็นจ้าวแห่งยมโลกองค์ถัดไป! เขาได้ถ่ายทอดศาสตร์ต่างๆให้เรา บอกเราถึงเรื่องที่เราไม่เคยรู้มาก่อน มิหนำซ้ำยังบอกถึงวิธีที่จะเลื่อนขั้นอย่างรวดเร็วอีกด้วย พวกเจ้าคิดว่าข้าสนใจหรือว่าเขาคือใคร?”
ฉินเย่เหลือบมองอาร์ทิส และก็พบว่ามือของนางยังคงขยับอย่างต่อเนื่อง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นอาร์ทิสประสานมือนานขนาดนี้ อย่างไรก็ตาม เขารีบหันหา จ้าวแห่งเจียงอินและเอ่ยต่อ “ข้าสงสัย”
“หืม?” ซาเซียงจู่มองฉินเย่ด้วยสายตาที่เหมือนกับแมวที่กำลังเล่นกับเหยื่อของมัน
มาดูกันว่าครั้งนี้เจ้าจะหนีได้อย่างไร!
ขงโม่ไม่สามารถทำได้ ดังนั้นจึงบอกให้เขาจัดการกับสิ่งที่ตัวเองทำค้างไว้ และเขาก็จะได้หัวของชายผู้นี้กลับไปให้กลุ่มพันธมิตรเห็นว่าศิษย์ได้ก้าวข้ามอาจารย์ไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย! แล้วมาดูกันว่าตาแก่นั่นจะหาเหตุผลอะไรมารักษาตำแหน่งของตัวเอง!
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าจะมาที่นี่?” ฉินเย่จ้องมองโคมลอยที่ลุกโชนตรงหน้า มันไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะตรวจจับได้ถึงการเดินทัพของยมโลก
ซาเซียงจู่หัวเราะเบาๆ ก่อนจะกัดฟันตอบ “เพราะว่า…ที่แห่งนี้เคยเป็นดินแดนของข้า! มันคือสถานที่ซึ่งข้าได้ตั้งรกรากและเริ่มรวบรวมกองกำลังของตนเอง!!”
“เมืองกู่เฉิงนั้นเป็นส่วนหนึ่งของเมืองเจียงอิน และข้าก็คือจ้าวแห่งเมืองเจียงอิน! ข้าคือผู้ที่ได้รับคำอวยพรจากเหล่าเทพ ในตอนที่ข้าตาย ข้าพบว่าตัวเองได้เรร่อนไปเรื่อยๆในดินแดนที่มีพลังหยินเข้มข้น ภายในระยะเวลาเพียงห้าปี ข้าได้เลื่อนไปสู่ขั้นยมทูตขาวดำ จากนั้นข้าจึงตอบรับโชคชะตาของตัวเองและก่อตั้งเมืองเจียงอินขึ้นที่นี่… ดังนั้น เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร? ผู้ใดอนุญาตให้เจ้ามายึดครองดินแดนของข้าเช่นนั้น?!”
“ที่นี่ ข้าเป็นใหญ่! แม้แต่ราชาอสูรวิญญาณก็ไม่แม้แต่จะกล้าก้าวเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต! ดังนั้นเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาทำเช่นนั้น? เจ้ามันเป็นแค่เศษเสี้ยวของอดีตราชวงศ์ของยมโลกก็เท่านั้น!”
“ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว และมันก็ไม่ได้เป็นเหมือนอย่างที่เคยเป็นมาในยุคอดีต! ตอนนี้มันเป็นเวลาของข้าที่จะได้ส่องสว่าง!!”
ตู้ม!! เสียงของเขาดังขึ้นจนถึงขีดสุด และม่านบางสีเขียวก็เปิดออก วิญญาณทั้งหมดภายในกองกำลังต่างส่งเสียงกู่ร้องออกมาเพื่อสนับสนุนผู้เป็นราชาของตน
แต่ฉินเย่กลับไม่สะทกสะท้าน เขาเพียงแย้มยิ้มออกมาบางๆ “เจ้าคงจะอายุน้อยและด้อยประสบการณ์มากจริงๆ”
เสียงคำรามที่ดุร้ายชะงักไปในทันที
“เจ้าพูดด้วยวาจาอันทันสมัย และสิ่งนี้ก็บอกข้าว่า…เจ้ายังด้อยประสบการณ์มาก เจ้ายังไม่มั่นคงและแน่วแน่พอ แม้ว่าข้าจะมีรูปลักษณ์ที่อ่อนเยาว์ แต่ข้าก็ยังไม่ได้เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของตัวเองออกมาเลยแม้แต่น้อย” เขาแย้มยิ้มบาง ก่อนจะก้าวถอยไปด้านหลัง และมันก็เป็นตอนนี้เองที่อาร์ทิสเงยหน้าขึ้นมา มือของนางไม่ได้ขยับอีกแล้ว
“วิญญาณที่อยู่ในช่วงร้อยปีที่ผ่านมานี่ไม่รู้อะไรเลยจริงๆ… ฮ่าๆๆๆ….”
ในขณะที่ฉินเย่ก้าวถอยหลัง อาร์ทิสก็ก้าวขึ้นมาด้านหน้าและมองโคมลอยที่ลุกโชนอยู่ตรงด้านหน้า นางเอ่ยเสียงเรียบ “เป็นฝีมือของเจ้าอย่างนั้นหรือ?”
“เจ้าชอบหรือไม่?” ซาเซียงจู่ตอบกลับด้วยคำถาม “ไม่จำเป็นต้องขอบคุณ เพราะอีกไม่นาน พวกเจ้าก็จะได้ตามพวกมันไปแน่”
“ข้าเบื่อที่จะเล่นเกมเต็มที ฆ่ามันทั้งสองซะ”
ด้วยคำสั่งสั้นๆ ทหารวิญญาณทั้งหมดด้านล่างก็เคลื่อนทัพด้วยแววตาที่ลุกโชน แต่ในขณะที่กองทัพทั้งหมดจะได้ขยับตัว คลื่นพลังหยินที่รุนแรงก็ปะทุออกมาจากร่างของอาร์ทิสราวกับกระแสน้ำที่ซัดสาด และเสียงของของนางก็ดังขึ้นราวกับมันดังมาจากทุกทิศทาง “มันผ่านมากว่าร้อยปีแล้วที่ข้าได้เห็นวิญญาณร้ายที่กล้ามาท้าทายกับอำนาจของยมโลก...”
ครืนนน... ทหารวิญญาณจำนวนมากพุ่งตัวไปข้างหน้าพร้อมกับปลายหอกที่เล็งเป้าไปที่อาร์ทิสและฉินเย่ พื้นดินสั่นสะเทือนภายใต้ฝีเท้าที่หนักหน่วงนั้น แต่อาร์ทิสกลับไม่สนใจมัน นางยังคงเอ่ยต่อ “แต่ก็ไม่เป็นไร ข้าจะทำให้เจ้าได้เข้าใจถึงน้ำหนักของวลีที่ถูกใช้อย่าแงพร่หลาย – ด้วยคำพิพากษาจากนรก เหล่าวิญญาณทั้งปวงจงสูญสิ้น ด้วยตัวเอง”
เป๊าะ ทันใดนั้นทุกคนก็ได้ยินเสียงดีดนิ้วเบาๆ
และเสี้ยววินาทีต่อมา กองกำลังทหารวิญญาณที่พุ่งตัวไปข้างหน้าก็หยุดลงอย่างกระทันหัน พวกมันจ้องมองไปยังด้านหน้าด้วยความตกตะลึง
นั่นเป็นเพราะว่าเปลวไฟนรกอันรุนแรงได้พุ่งขึ้นมาจากพื้นบริเวณที่ฉินเย่และอาร์ทิสกำลังยืนอยู่!
มันเป็นเหมือนกับการระเบิดของภูเขาไฟ! เปลวไฟนรกสีขาวบริสุทธิ์ลุกโชนขึ้นมาจากพื้นและพุ่งเข้าหาอาร์ทิสและฉินเย่ราวกับฝนตามตก ก่อนจะห่อหุ้มและกลืนกินร่างของทั้งคู่อย่างช้าๆ
ฟึ่บ! ชายที่อยู่ภายในที่พำนักเคลื่อนที่ดึงม่านขึ้น และเผยให้เห็นศีรษะที่มีขนาดประมาณครึ่งเมตร
มันไม่ใช่ใครอื่นนอกจากซาเซียงจู่
เขาคือชายหนุ่มที่มีใบหน้าธรรมดาทั่วไป แต่ใบหน้าของเขากลับมีสีฟ้าที่แปลกประหลาด กะโหลกของเขาถูกผ่าแยกออกตรงกลาง ในขณะที่เปลวไฟสีแดงเข้มลุกโชนอยู่ด้านในดวงตาทั้งสาม ฟันที่แหลมคมยื่นออกมาจากปาก ซาเซียงจู่จ้องมองภาพที่น่าสะพรึงกลัวตรงหน้าอย่างไม่ละสายตา
พลังหยิน… เป็นพลังหยินที่ทรงพลังมาก!
มันไม่ได้ด้อยไปกว่าการรวมกำลังของทหารวิญญาณทั้งแสนนายของเขาเลยแม้แต่นิดเดียว!
นี่มัน…
พรึ่บ!! ทันใดนั้น แม่น้ำดวงดาวก็ปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของอาร์ทิสและฉินเย่ ในขณะที่ทั้งคู่ดูไม่ต่างอะไรกับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ที่ส่องแสงสว่างอยู่ตรงกลาง จากนั้น ท่ามกลางสายตาอันตกตะลึงของทหารวิญญาณโดยรอบ เปลวไฟนรกสีขาวที่ห่อหุ้มร่างของทั้งสอง…ก็เปลี่ยนเป็นกองกำลังทหารวิญญาณอย่างช้าๆ!
นอกจากนี้ พวกเขายังสามารถบอกได้ด้วยว่ากองกำลังตรงหน้านั้นไม่ได้อ่อนแอไปกว่าพวกตนเลยสักนิด! อันที่จริง พวกเขายังสัมผัสได้ถึงพลังหยินที่อาจแข็งแกร่งกว่าพวกเขาด้วยซ้ำ!
อีกฝ่ายมีทั้งหมดเท่าไหร่กัน… กองกำลังของซาเซียงจู่มองไปรอบๆ แต่แล้วพวกเขาก็ต้องพบว่ามันดูมากราวกับมหาสมุทร
ทันใดนั้นเอง เสียงแตรสงครามดังขึ้น และกองกำลังของยมโลกก็ปักโล่ของพวกเขาลงบนพื้น พร้อมกับหันปลายหอกเล็งไปยังศัตรูตรงหน้า พลธนูและพลหน้าไม้ที่ลุกโชนด้วยเปลวไฟนกและเปลวไฟแห่งกรรมยืนอยู่ด้านหลังพลโล่และพลหอกอีกที นายทหารทั้งหมดยืนล้อมรอยฉินเย่และอาร์ทิสเอาไว้ “ฮ่า!!!” ด้วยเสียงร้องที่ดังลั่น กองกำลังทั้งหมดที่ยืนประจำการอยู่ภายในป้อมปราการสั่นเทาเล็กน้อย
เคร้ง…กระเบื้องบนหลังคาบ้านบางหลังร่วงหล่นและแตกออกทันทีที่ตกลงกับพื้น
สายลมกระโชกแรงพัดผ่านทั่วทั้งดินแดน จากนั้น ฉินเย่ก็ค่อยๆลอยขึ้นจากใจกลางกองกำลังทั้งหมดและเอ่ยกับกองทัพของเขาด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “บอกเขา ว่าพวกเราคือใคร…”
“ด้วยคำพิพากษาจากนรก เหล่าวิญญาณทั้งปวงจงสูญสิ้น!!!”
มันเป็นเสียงคำรามที่ทำให้พื้นแผ่นดินต้องสั่นสะเทือน! หากเสียงตะโกนก่อนหน้านี้สามารถเปรียบได้กับคำสาบานที่จริงจัง เช่นนั้นเสียงตะโกนของพวกเขาตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับเสียงการประกาศชัยชนะ! หากพูดกันตามตรง เสียงตะโกนของพวกเขานั้นทรงพลังจนมันหลอมรวมเป็นคลื่นที่ระเบิดออกมาพร้อมกับพลังหยินซึ่งสาดสะพัดไปทั่วทั้งดินแดน
“ทหารวิญญาณ… ทหารวิญญาณของยมโลก?!” สองวินาทีต่อมา ซาเซียงจู่ก็ได้สติและตะโกนออกมา “พวกเจ้ามาจากที่ใดกัน?! ไม่… นี่มันเป็นไปได้อย่างไร? ที่ยมโลกเกิดหายนะขึ้นไม่ใช่หรือ? เหตุใดทหารวิญญาณเหล่านี้จึงปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกระทันหันอย่างที่พวกเราไม่เคยเห็นมาก่อนในรอบร้อยปี?!”
ทหารเหล่านี้ไม่ได้อ่อนแอไปกว่ากองกำลังของเขาเลย หากพูดกันอย่างตรงไปตรงมา เขาสามารถบอกได้ด้วยว่า พลังหยินที่อีกฝ่ายแสดงออกมานั้นแข็งแกร่งกว่าที่พวกเขาสามารถเข้าถึงได้เสียงอีก!
การเผชิญหน้าระหว่างขั้นตุลาการนรกสองตนนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การเผชิญหน้ากับทหารวิญญาณหมื่นนายนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง!
ฉินเย่ยังคงเอ่ยต่อเสียงเย็น “นี่คือบทเรียนสำหรับเจ้า”
“ทุกคนล้วนมีไพ่ตายซ่อนไว้อยู่กับตัวทั้งสิ้น และมันก็เห็นได้ชัดเลยว่าเจ้าไม่ได้มีความสำคัญมากพอถึงขนาดที่ขงโม่จะยอมเปิดเผยเรื่องที่สำคัญพวกนี้กับเจ้า”
เงียบ
จิตสังหารที่แผ่ออกมาจากการเผชิญหน้าของทั้งสองฝ่ายนั้นรุนแรงจนแม้แต่เหล่าราชาอสูรวิญญาณที่อยู่บริเวณใกล้เคียงเริ่มถอยหนีอย่างรวดเร็ว ความตึงเครียดในอากาศนั้นรุนแรงจนแทบจะสามารถถูกตัดได้ด้วยใบมีด บรรยากาศโดยรอบบีบอัดอย่างไม่น่าเชื่อ
มันเป็นการปะทะที่ตรงไปตรงมา
ทหารกับทหาร แม่ทัพกับแม่ทัพ หอกกับหอก และธนูกับธนู
ต่างฝ่ายต่างจ้องมองกันด้วยแววตาที่ลุกโชน ในขณะที่ขั้นตุลาการนรกของทั้งสองฝ่ายต่างพึงระวังถึงการมีอยู่ของกันและกัน
กลิ่นเลือดจางๆลอยคละคลุ้งอยู่ในอากาศโดยรอบ
ทุกฝ่ายต่างรอคอยคำสั่งเพียงคำสั่งเดียว