ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 416: ลอบโจมตี
บทที่ 416: ลอบโจมตี
และเมื่อถึงเวลานั้น นครชฺวีฟู่ก็จะต้องถูกยึดครองได้อย่างแน่นอน
ข้อเท็จจริงที่ว่าขงโม่มีความรู้เกี่ยวกับค่ายกลสู้รบนั้นหมายความว่ามันมีความเป็นไปได้ที่เขาจะมีไพ่ตายมากมายซ่อนอยู่
นอกจากนี้ นครชฺวีฟู่ยังเป็นป้อมปราการสุดท้ายในการป้องกันของอีกฝ่ายด้วย ถึงแม้ว่ากองกำลังรักษาการณ์ที่อยู่ที่นั่นจะไม่ได้มีมากนัก แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่มีความสำคัญสำหรับพวกเขา หากพูดกันตามตรง มันมีความเป็นได้สูงที่จะมีรูปแบบการป้องกันอื่นถูกนำมาใช้แทนและมีความน่าสะพรึงกลัวกว่ากองกำลังทหารวิญญาณมาก
ด้วยเหตุนี้ การลอบโจมตีจึงเป็นทางเลือกที่ดีและปลอดภัยมากที่สุด
เมื่อได้ตัดสินใจการเคลื่อนไหวต่อไปของตัวเองเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็ลงลึกถึงรายละเอียดของแผนการทางหมด ฉินเย่หันไปหาอาร์ทิส “พวกเราจะเดินทางจากยมโลกไปสู่ลิมโบได้อย่างไร?”
“ง่ายมาก” อาร์ทิสหัวเราะ “ข้าจะจัดการกับเรื่องนั้นเองเมื่อเวลามาถึง ตามตำนาน ลิมโบนั้นเป็นที่ที่มีความเข้มข้นในพลังหยินน้อยกว่ายมโลก ดังนั้นมันจึงเป็นการยากที่จะสร้างสะพานเชื่อมต่อไปยังดินแดนที่มีพลังบริสุทธิ์มากกว่าอย่างยมโลก ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง การสร้างสะพานจากยมโลกไปยังลมโบนั้นไม่ใช่ปัญหาเลยแม้แต่น้อย”
“ถ้าเช่นนั้น เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเราควรจะทำมันที่ใด?” ฉินเย่ถามด้วยความงงงัน “เราจะไม่เหมือนกับตัวตุ่นไปหน่อยหรือ? โผล่หัวขึ้นในลิมโบเพื่อตรวจดูเป็นระยะ ๆ … ถ้าหากเราเกิดโผล่ขึ้นมาใต้ค้อนพอดีเล่า?”
บรรยากาศถูกปกคลุมด้วยความเงียบทันที
ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาควรจะตอบรับการเปรียบเทียบที่แปลกประหลาดของฉินเย่อย่างไร
เขาหมายถึง… ฝ่าบาท พระองค์ทรงรู้ใช้หรือไม่ว่าพระองค์สามารถหลีกเลี่ยงการใช้คำเปรียบเทียบได้หากไม่สามารถหาตัวอย่างที่เหมาะสมได้? แล้ว…ตัวตุ่นเนี่ยนะ? แน่ใจแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ?!
โชคดีที่อาร์ทิสนั้นชินชากับการเล่นตลกที่แปลกประหลาดของฉินเย่แล้ว ดังนั้นนางจึงเอ่ยว่า “นั่นง่ายมาก ท่านคิดว่าสาเหตุที่เรานำกระจกส่องกรรมมาด้วยเป็นเพราะเหตุใดกัน? พวกเรากำลังพูดถึงดวงตาเทพเจ้า! ตาทิพย์! ศัตรูของเราไม่รู้ถึงการเดินทัพนี้ ในขณะที่เรามีการสนับสนุนของระบบระบุตำแหน่งทั่วโลกและการสแกนจากดาวเทียม! ตราบใดที่อีกฝ่ายมีกองกำลังไม่เพียงพอ มันก็ไม่มีเหตุผลใดที่เราจะไม่สามารถโค่นล้มพวกมันได้!”
โนบูทาดะที่ได้ยินเช่นนั้นก็เอ่ยต่อด้วยความตื่นเต้น “จากนั้น เราก็สามารถใช้นครชฺวีฟู่เป็นฐานทัพหน้าเพื่อทำลายกองกำลังของศัตรูในมณฑลซานตงและยึดครองดินแดนทั้งหมดได้! มณฑลเจียงซูก็จะเป็นลำดับต่อไป ตามมาติด ๆ ด้วยพื้นที่บริเวณสามเหลี่ยมลุ่มแม่น้ำจูเจียง!”
ดวงตาของทุกคนวูบไหวและลุกโชนด้วยความมุ่งมั่น พวกเขาไม่ได้กำลังเพ้อฝัน มันมีความความเป็นไปได้ที่สมเหตุสมผลของความสำเร็จในเรื่องนี้!
แต่ในฐานะของแม่ทัพผู้มากด้วยประสบการณ์ หยางเหยียนเจารู้ดีว่าการหยิ่งผยองเกินไปจะทำให้พ่ายแพ้ได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงรีบเอ่ยออกไป “อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างเป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น ถึงแม้ว่ามันจะมีความเป็นไปได้ที่ทุกอย่างจะออกมาเป็นเช่นนั้น แต่ทุกอย่างก็ยังขึ้นอยู่กับความรวดเร็วของสงคราม จนกว่าทุกอย่างจะจบลง มันจะเป็นการดีกว่าที่จะมองทุกอย่างเป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น”
“แล้วถ้าหากกองกำลังขนาดใหญ่ของอีกฝ่ายบังเอิญเคลื่อนทัพเข้ามาใกล้นครชฺวีฟู่ในขณะที่เรากำลังทำการลอบโจมตีเล่า? หากขงโม่เรียกรวมพลด่วนนครชฺวีฟู่เล่า? แผนการทั้งหมดของเราตอนนี้ล้วนเป็นในกรณีที่นครชฺวีฟู่นั้นว่างเปล่าเท่านั้น แต่เราจะแน่ใจได้อย่างไร? แล้วกองกำลังที่ว่าน้อยนั้นน้อยแค่ไหน? พวกเรารู้หรือไม่ว่าพวกเขาเตรียมการป้องกันแบบใดไว้? มันมีตัวแปรอีกมากมายที่เราเองก็ไม่รู้เช่นกัน! พวกเราจะประมาทไม่ได้เด็ดขาด!”
ฉินเย่ถอนหายใจออกมา ใช่แล้ว นี่เป็นเพียงการคาดเดาของพวกเขาเท่านั้น การยึดครองนครชฺวีอาจเป็นเรื่องง่ายหากทุกอย่างเป็นไปตามการคาดการณ์ของพวกเขา แต่…ถ้าสิ่งที่พวกเขาคิดเอาไว้นั้นผิดพลาด และมันกลายเป็นสถานที่ที่ได้รับการป้องกันอย่างแน่นหนาเล่า?
ยิ่งคาดหวังมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งผิดหวังมากเท่านั้น เขาไม่ควรปล่อยให้กองกำลังทั้งหมดขาดขวัญกำลังใจก่อนที่พวกเขาจะล้อมโจมตีเป้าหมาย
ฉินเย่กวาดตามองไปรอบๆ ก่อนจะวาดวงกลมล้อมรอบเมืองกู่เฉิง “สิ่งที่แม่ทัพหยางพูดนั้นเป็นความจริง พวกเราไม่สามารถสรุปทุกอย่างได้ทันทีด้วยการคาดการณ์ไม่กี่อย่างของเรา ในเมื่อท้องฟ้าเปิดแล้ว พวกเราเองก็ควรจะเริ่มเดินทางต่อได้แล้วเช่นกัน เรายังอยู่ห่างจากเมืองกู่เฉิงอีก 150 กิโลเมตร และการเดินทางก็น่าจะใช้เวลาอีกอย่างน้อยสองสัปดาห์ เมื่อเราไปถึงที่นั่น เราก็จะคุ้นชินกับสภาพแวดล้อมโดยรอบมากขึ้น และเราจึงจะสามารถพิจารณาตัวเลือกต่อไปของเราได้ที่นั่น”
“รับทราบ!!”
หวูดดดดด… เสียงแตรสงครามดังขึ้น และกองกำลังทหารกว่า 7 หมื่นนายก็เริ่มออกเดินทางอีกครั้ง
ประสบการณ์ในการเผชิญหน้ากับราชาอสูรวิญญาณและความโกรธเกรี้ยวของธรรมชาตินั้นเปรียบเสมือนกับความเจ็บปวดจากประสบการณ์ใหม่ มันสอนให้พวกเขารู้ว่าพวกเขาจะต้องเจอกับอะไรในการเดินทางครั้งนี้ ดังนั้น ด้วยความหวาดระแวงต่อสภาพแวดล้อมที่ไม่คุณเคย พวกเขาจึงรักษารูปแบบต่อสู้ไว้ตลอดการเดินทัพ ทัพเกราะทมิฬกว่าพันหน่วยเคลื่อนทัพอยู่ด้านหน้า ตามมาติดๆด้วยกลุ่มทหารถือโล่และพลธนู กองกำลังพยัคฆ์คลั่งทำหน้าที่เป็นทัพหลัง พร้อมที่จะจู่โจมทันทีที่สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ
ฉินเย่นำทัพเกราะทมิฬมาเพียงแค่พันหน่วยเท่านั้น โดยทั้งหมดล้วนทำหน้าที่เป็นกองกำลังสังหารที่แข็งแกร่งซึ่งจะนำทัพไปเผชิญหน้ากับกองกำลังของศัตรู และปล่อยให้อีก 2 พันหน่วยที่เหลือประจำการณ์อยู่ที่ยมโลก
ระยะเวลาสองสัปดาห์ผ่านไปในชั่วพริมตา และฉินเย่กับกองกำลังของเขาก็เห็นเสาแสงสีแดงปรากฏขึ้นตรงหน้าในที่สุด
ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงตำแหน่งของตะเกียงหวนหยางดวงแรก ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองกู่เฉิงด้วยเช่นกัน ทหารวิญญาณทั้งหมดถอนลมหายใจเข้าด้วยความโล่งอก แต่แทนที่จะดูผ่อนคลาย พวกเขากลับดูเคร่งขรึมมากกว่าเดิม
แตรสงครามดังขึ้นอีกครั้ง บ่งบอกให้กองกำลังทั้งหมดแยกย้ายไปประจำที่และพักผ่อน แต่ถึงกระนั้น กองกำลังทหารถือโล่ทั้งหมดก็ยังเคลื่อนไหวในลักษณะของค่ายกลด้วยความระมัดระวังและตั้งโล่ของตนล้อมรอบเหล่าพลธนูเอาไว้ อาวุธของพวกเขามีรอยร้าวและรอยไหม้ปรากฏขึ้น แต่ทหารทุกนายกลับมีแววตาที่มุ่งมั่นที่จะกลับไปโดยที่ยังมีชีวิต
บาดแผลและร่องรอยเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นร่างกายหรือจิตวิญญาณ ล้วนเป็นเหรียญแห่งเกียรติยศสำหรับพวกเขา
พวกเขาเผชิญหน้ากับราชาอสูรวิญญาณอีกตัวหนึ่งเมื่อประมาณสี่วันที่แล้ว จากนั้น ในขณะที่ฉินเย่และอาร์ทิสกำลังช่วยกันสะกัดราชาอสูรวิญญาณที่ไล่ตามมา กองกำลังทั้งหมดก็เผชิญหน้าเข้ากับราชาอสูรวิญญาณอีกตัวหนึ่งในขณะที่พวกเขากำลังหลบหนี!
หยางเหยียนเจาคือคนแรกที่ได้สติ เขาตระหนักได้ทันทีว่าพวกตนกำลังอยู่ท่ามกลางการแย่งชิงกันระหว่างราชาอสูรวิญญาณทั้งสองตัว และมันก็เป็นช่วงหลังจากการต่อสู้อันยาวนานระหว่างทั้งสอง ในขณะที่ราชาอสูรวิญญาณทั้งสองเหนื่อยอ่อนเป็นอย่างมาก พวกมันจึงมองพวกเขาเป็นเพียงอาหารที่ปรากฏขึ้นระหว่างการต่อสู้ที่ร้อนระอุ
และแน่นอน ไม่นานพวกมันก็ได้รู้ว่า ‘อาหาร’ ที่ว่านั้นเองก็เต็มไปด้วยหนามแหลมเช่นกัน
หยางเหยียนเจารีบสั่งการกองกำลังทั้งหมดต่อสู้กับราชาอสูรวิญญาณที่น่าสะพรึงกลัวตรงหน้า พวกเขาใช้ลูกดอกหน้าไม้ศักดิสิทธิ์เปลวไฟแห่งกรรมไปทั้งสิ้น 150,000 ดอกก่อนจะค่อยๆหนีจากราชาอสูรวิญญาณและมุ่งหน้าเข้าหาตะเกียงหวนหยาง แต่มันก็เป็นการหลบหนีที่มีความเสียหายมหาศาล พวกเขาเสียทหารไป 3,000 นาย ความหวังเพียงอย่างเดียวตอนนี้ก็คือขอให้กองกำลังของเขาไม่ต้องเผชิญหน้ากับความเป็นตายเช่นนี้อีก
ทหารวิญญาณที่เพิ่งได้รับการเกณฑ์จากยมโลกซึ่งกระจายตัวอยู่ในกองกำลังทหารกว่า 6 หมื่นนายสามารถเชื่อถือได้มากกว่าเดิม อย่างน้อยที่สุด มือและเท้าของพวกเขาก็ไม่สั่นเทาเมื่อเผชิญหน้ากับราชาอสูรวิญญาณอีกแล้ว หากพูดกันตามตรง พวกเขายังกล้าที่จะถือหอกอย่างกล้าหาญและพุ่งเข้าสู่การต่อสู้พร้อมกับเพื่อนทหารร่วมรบของตนอีกด้วย!
จากนั้น เมื่อสองวันที่ผ่านมา พวกเขาก็ประสบกับภัยธรรมชาติอีกครั้ง พายุหิมะตกลงมาราวกับใบมีดอันแหลมคม ฟาดฟันภูเขาทั้งลูกให้พังทลายได้ในเวลาไม่นาน โชคดีที่กองกำลังทั้งหมดสามารถหาที่กำบังได้ทันเวลา
ครั้งแล้วครั้งเล่า พวกเขาต้องยืนอยู่ระหว่างความเป็นและความตาย ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ แม้แต่ทหารวิญญาณที่โง่ที่สุดก็ยังพัฒนากลายมาเป็นทหารที่กล้าหาญได้
หวูดดดด… เสียงแตรดังขึ้น บ่งบอกถึงการหยุดเดินขบวน ทหารทั้งหมดหยุดเดินพร้อมกัน ฉินเย่และอาร์ทิสยืนอยู่ด้านหน้า ในขณะกองกำบังทั้งหมดยืนอยู่ด้านหลัง
เมืองกู่เฉิงตั้งอยู่ด้านบน… อาร์ทิสยกมือขึ้น และนกส่งสารก็ก่อตัวขึ้นจากพลังหยินและบินออกไป
“ตอนนี้พวกเขาเต็มไปด้วยประสบการณ์ และมันก็เป็นเวลาแล้วที่จะกลั่นกรองประสบการณ์ทั้งหมดนั้น ทุกอย่างที่ผ่านมาล้วนขึ้นๆลงๆ เราพักที่นี่กันสักสองวันก่อนแล้วค่อยเรียกรวมก็แล้วกัน” ฉินเย่ม้วนกระดาษในมือ ภายในกระดาษมีเนื้อหาเกี่ยวกับแผนที่และรายละเอียดเกี่ยวกับพื้นที่ทั้งหมดที่พวกเขาเดินทางผ่านมาในดินแดนที่ไม่รู้จัก มันระบุตำแหน่งที่ตั้งของยมโลกแห่งใหม่ และยังระบุถึงรังของราชาอสูรวิญญาณที่ยมโลกได้เผชิญหน้าระหว่างทาง รวมถึงลักษณะเฉพาะและประเภทของมันอีกด้วย
ข้ามูลเหล่านี้มีค่ามากมายมหาศาล ตราบใดที่พวกเขาพบลักษณะที่คล้ายคลึงกันนี้ในหมู่อสูรวิญญาณ ข้อมูลเหล่านี้ก็จะสามารถเป็นประโยชน์ได้มากสำหรับการเดินทางในอนาคต
ยิ่งพวกเขาต่อสู้มากเท่าไหร่ การเดินทางไปยังดินแดนทางตะวันออกก็จะยิ่งใหญ่มากขึ้นเท่านั้น การต่อสู้เล็กๆน้อยๆระหว่างทางเป็นการเตรียมการพวกเขาให้พร้อมสำหรับการต่อสู้ครั้งใหญ่ที่กำลังจะมาถึง!
สายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านดินแดน ฉินเย่ยืนรอการกลับมาของนกส่งสารด้วยสีหน้านิ่งเรียบ แต่หลังจากผ่านไปห้านาที… ผ่านไปสิบนาที… นกส่งสารก็ยังไม่กลับมา!
ทันใดนั้นเอง เหล่าแม่ทัพตระกูลหยาง ทัพเกราะทมิฬ และอาร์ทิสก็เงยหน้าขึ้นมองไปยังจุดเดียวกัน
พลังหยินสีแดงบิดเบี้ยวผสมกับพลังหยินสีดำที่อยู่โดยรอบ ณ ด้านบนสุดของเสาแสง ทุกอย่างดำเนินไปเช่นนั้น มันค่อยๆหมุนไปมาเงียบๆ ราวกับเป็นลางบ่งบอกถึงความตาย
มันแทบจะเหมือนกับทางเข้าสู่ยมโลกซึ่งเป็นจุดจบของทุกสิ่งมีชีวิต
“นกส่งสารได้หายไปแล้ว” อาร์ทิสอธิบายทันทีที่ทุกสายตาจับจ้องมาที่ตน “มันมีความเป็นไปได้สองประการ ประการแรกก็คือมันถูกจับไปโดยเหล่าราชาอสูรวิญญาณของโลกใต้พิภพ ในขณะที่ประการที่สองคือนกส่งสัญญาณไม่พบเป้าหมาย”
เงียบ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง หยางเหยียนเจาก็เอ่ยขึ้น “หรือบางที…มันอาจไม่ใช่ทั้งสอง”
ทันใดนั้นฉินเย่ก็เอ่ยแทรกขึ้น “อสูรวิญญาณไม่มีทางมาสนใจกับสิ่งเล็กน้อยอย่างนกส่งสาร เจ้าเป็นคนบอกเองว่านกส่งสารหายไป แทนที่จะเป็นเพียงการไม่ตอบสนอง อีกความหมายหนึ่งก็คือมีตัวตนขั้นตุลาการนรกได้ทำลายมันไปในวินาทีที่มันปรากฏตัวขึ้นในรัศมีของพวกเขา”
เขาชูนิ้วขึ้นสามนิ้ว “ประการแรก อีกฝ่ายรู้ว่านกส่งสารคืออะไร ประการที่สอง พวกเขาไม่ต้องการให้เรารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นด้านบน ประการสุดท้าย ‘พวกเขา’ ไม่ได้อยู่ฝ่ายเดียวกับเรา ข้าจำได้ว่าเราจัดการประชุมขึ้นหลังจากที่ยึดป้อมปราการแห่งนี้ได้ไม่นาน และมันก็มีบันทึกไว้ว่ามีกองกำลังทหารกว่าร้อยนายถูกส่งมาประจำการอยู่ที่นี่ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะเป็นกบฏ เพราะไม่มีใครมีความสามารถที่จะก่อกบฏได้ตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว”
“ถ้าเช่นนั้น…พวกเขาทั้งหมดตายแล้วหรือเพคะ?” ไม่ว่าจะมองมุมใด มู่กุ้ยอิงก็ยังเป็นวีรสตรีที่กล้าหาญ นางมีผมยาวประบ่า ในขณะที่ดวงตาคมจ้องมองไปที่จุดบนสุดของเสาแสงที่มีวังน้ำวนหมุนอยู่ด้านบน ราวกับว่ากำลังสบตาอยู่กับปีศาจที่มองไม่เห็น
หลายวินาทีต่อมา อาร์ทิสก็เอ่ยทำลายความเงียบขึ้น “ท่านจ้าวนรกและข้าจะมุ่งหน้าไปดูก่อน รอสัญญาณแล้วจึงตามไป ทั้งหมดที่พวกเจ้าต้องทำก็คือยืนอยู่ ณ จุดกึ่งกลางของเสาแสงนั้น”
ในขณะเดียวกัน ฉินเย่หันไปจ้องมองอาร์ทิสด้วยสีหน้าราวกับเห็นผี – นี่ข้าได้ยินผิดไปหรือเปล่า?! จะไปดูเพื่ออะไร? เจ้ารู้หรือไม่ว่าชีวิตของข้านั้นมีค่ามากแค่ไหน? เหตุใดจึงปล่อยให้ธีโมไปอยู่ที่กองหน้า?!
น่าเสียดายที่การประท้วงของเขาล้มเหลว
อาร์ทิสเมินเฉยต่อสายตาดุดันของฉินเย่และเอ่ยต่อ “ในเวลานี้ ขั้นฝู่จวินคือตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในแผ่นดินจีน และพวกเขาก็น่าจะมีไม่เกินสามคนเท่านั้น ส่วนขั้นตุลาการนรก เราไม่มีปัญหาที่ต้านพวกเขาไว้สักครู่หนึ่ง ต่อให้เราจะเผชิญหน้ากับขั้นตุลาการนรกที่แข็งแกร่งที่สุดในจีนก็ตาม นี่คือตัวเลือกที่ปลอดภัยที่สุดเมื่อพิจารณาทุกอย่างแล้ว ท่านฉิน พระองค์ทรงมีความคิดเห็นว่าอย่างไรเพคะ?”
สายตาคมกริบที่มองมาทำให้ฉินเย่ขนลุกชันขึ้นอย่างกระทันหัน
เด็กหนุ่มมองไปรอบๆและเอ่ยด้วยฟันที่กัดแน่น “มะ ไม่มีปัญหา”
“รับทราบ” หยางเหยียนเจาตอบ
ทันใดนั้น ขณะที่พวกเขากำลังจะก้าวเข้าไปในลำแสงตรงหน้า ฉินเย่ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมาเสียงเบา “ถึงแม้ว่าเราจะพูดออกไปแบบนั้น แต่เจ้าก็ต้องตามมาโดยเร็วที่สุด…เข้าใจหรือไม่?”
ทว่าก่อนที่หยางเหยียนเจาจะได้เอ่ยอะไรออกมา อาร์ทิสก็ดีดนิ้ว และทั้งคู่ก็หายไปในกระแสน้ำวนด้านบน
……………………………………………………
ทุกอย่างพร่าเลือนไปหมด
การเดินทางข้ามดินแดนในเวลาอันสั้นนั้นสร้างความรู้สึกที่สับสนเป็นอย่างมาก ทั้งภาพและเสียงทั้งหมดต่างวุ่นวายไปหมด แต่ในความมึนงงนั้น ฉินเย่ก็ได้ยินเสียง – พรึ่บ มันเป็นเสียงราวกับอะไรบางอย่างถูกปล่อยออกมา…
มันเป็นเสียงที่คุ้นเคยอย่างน่าประหลาด ภายในหัวของฉินเย่หมุนติ้ว จากนั้นเสี้ยววินาทีต่อมา ศักดิ์ศรีแห่งอำนาจของเขาก็สั่นไหวอย่างรุนแรง และเสียงของบางอย่างที่พยายามจะเจาะทะลุการป้องกันของเขาก็ดังขึ้น!
ใช่แล้ว…
เขาค่อยๆได้สติ และทันใดนั้นเด็กหนุ่มก็ต้องเบิกตากว้าง
ใช่แล้ว มันคือลูกธนู! ลูกธนูที่ใช้โดยกองกำลังของขงโม่ในขณะที่พยายามจะลอบสังหารเขาในตอนนั้น!
เขาได้ยินเสียงมากมายแม้ว่าจะอยู่ในสภาวะมึนงง น่าเสียดายที่เสียงธนูเมื่อครู่ไม่ได้เป็นเพียงเสียงลูกธนูที่ถูกปล่อยออกมาเพียงแค่ครั้งเดียว แต่มันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความวุ่นวายที่กำลังจะตามมาเท่านั้น!
มีวิญญาณเต็มไปหมด… ไม่สิ… มันมีวิญญาณร้ายอยู่ทั่วทุกหนแห่ง!
และที่ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างแย่ลงกว่าเดิมก็คือ วิญญาณทั้งหมดนั้นยืนประจำการอยู่ในลักษณะของค่ายกลสู้รบ!
ภายในใจของเขาส่งเสียงกรีดร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนกและร้อนใจ ทว่าเขาไม่สามารถตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที พลังหยินปะทุออกมาจากร่างของเขา และศักดิ์ศรีแห่งอำนาจของเขาก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง แต่ในเสี้ยววินาทีต่อมา…
โฮกกกกก!! เสียงคำรามที่ทำให้พื้นดินต้องสั่นสะเทือนก็ดังขึ้น และทุกสิ่งทุกอย่างโดยรอบก็ร้อนขึ้นอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกัน ลูกธนูจำนวนมากยังคงถูกยิงออกมาอย่างต่อเนื่องราวกับคลื่นกระแทกที่ไม่หยุดหย่อน
ฉินเย่ได้ยินเสียงของอาวุธจำนวนนับไม่ถ้วนที่แหวกอากาศเข้ามาและเกิดเป็นระเบิดคลื่นเสียงที่รุนแรง