ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 399: ประกาศสงคราม (1)
บทที่ 399: ประกาศสงคราม (1)
ณ เมืองกู่เฉิง
กลุ่มเมฆล่องลอยไปมาอย่างไม่รู้จบ มันให้ความรู้สึกโศกเศร้าอย่างบอกไม่ถูก
หลุมของโครงกระดูกนับพันยังไม่ได้ปะทุอะไรอีก หากพูดตามความจริง กลุ่มก้อนพลังหยินที่อยู่ภายในก็แทบจะหายไปจนหมดเช่นกัน และการระบาดของเหตุการณ์เหนือธรรมชาติก็เริ่มสงบลงแล้วเช่นกัน! แต่…
แต่ผู้ฝึกตนขั้นยมทูตขาวดำที่กระโดดลงไปในหลุมกลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย!
มันผ่านมากว่าห้าวันแล้ว แต่พวกเขากลับยังไม่ได้รับรายงานใด ๆ จากขั้นยมทูตขาวดำคนนั้นเลยแม้แต่น้อย และทุกคนก็ยิ่งตกใจมากขึ้นไปอีกเมื่อพวกเขาได้รู้ถึงประวัติของฉินเย่จากแหล่งข่าวอื่น ๆ เนื่องจาก…เด็กหนุ่มคืออาจารย์ผู้สอนจากสำนักฝึกตนแห่งแรก!
ตลอดสองสามวันที่ผ่านมา ทางสำนักฝึกตนแห่งแรกได้ต่อสายมาที่เมืองกู่เฉิงในเวลาตี 5 ตรงอยู่เสมอ แทบจะเหมือนกับว่ามันเป็นการโทรตามกิจวัตรประจำวันไม่มีผิด อย่างไรก็ตาม ผู้ว่าการซูเตอฝางกลับลังเลและไม่แน่ใจทุกครั้งว่าเขาควรรับสายหรือไม่ เพราะอย่างไรแล้ว เขาก็ไม่อยากตอบคำถามสายเหล่านี้ด้วยประโยคง่าย ๆ อย่างคำว่า ‘ยังไม่มีความคืบหน้า’ เลยแม้แต่น้อย หัวใจของเขาสั่นไหวอย่างรุนแรงทุกครั้งที่ต้องเอ่ยคำเหล่านี้ออกไป
“…ครับ เราเข้าใจ พวกเราจะระดมกองกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อค้นหาตำแหน่งของเขา ทางนั้นสบายใจได้ครับ…” ซูเตอฝางวางสายโทรศัพท์และปาดเหงื่อเย็นบนหน้าผากของตัวเอง จากนั้น เขาก็หันไปหาเฉินเหนียนและเจิงไสว่ “มีความคืบหน้าอะไรบ้างไหม? นี่มันไม่ใช่แค่เรื่องของสำนักฝึกตนแห่งแรกแล้ว… แม้แต่เมืองหยุนเฉิงเองก็เริ่มโทรมาหาเราเช่นกัน พวกเราจะไม่มีอะไรไปรายงานพวกเขาแน่หากเราไม่ระบุตำแหน่งของคุณฉินให้ได้โดยเร็ว!”
ในน้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นไม่มีความขุ่นเคืองเจืออยู่เลยแม้แต่น้อย
ฉินเย่ได้หายตัวไป ในขณะที่หลุมของโครงกระดูกนับพันได้สงบลงแล้ว ทุกคนต่างคาดเดาว่าฉินเย่อาจจะเสียสละตัวเองเพื่อกำจัดหลุมของโครงกระดูกนับพันไปพร้อมกับตน อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครกล้ารายงานกลับไปเช่นนั้น เพราะพวกเขาจำเป็นจะต้องมีหลักฐานบางอย่างเพื่อมาพิสูจน์มัน แต่ยิ่งเวลาผ่านไป ความหวังเองก็ค่อย ๆ เหือดหายไปเช่นกัน ถึงแม้ว่ามันจะมีโอกาสน้อยมากในการระบุตำแหน่งของเด็กหนุ่ม แต่พวกเขาก็รู้ดีว่าพวกตนจะต้องดำเนินการค้นหาต่อไป
มันเป็นวันที่มีเมฆมาก
เมฆครึ้มปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า ในขณะที่แสงอาทิตย์ยามเย็นส่องลงมาเบื้องล่าง ซูเตอฝางเหลือบมองไปยังท้องฟ้าที่ดำมืดเหนือเมืองกู่เฉิงด้วยสายตาเหม่อลอยขณะที่พึมพำกับตัวเองเบา ๆ “คุณฉิน… คุณไปอยู่ที่ไหนกัน…”
“หืม?” ทันใดนั้น เจิงไสว่และเฉินเหนียนต่างเงยหน้าขึ้นพร้อมกันและมองไปในทางเดียวกัน และมันก็ไม่ใช่แค่พวกเขาเท่านั้น หากพูดกันตามตรง ผู้ฝึกตนทั้งหมดในเมืองต่างมองขึ้นฟ้าพร้อมกัน
พวกวิญญาณ… กำลังปั่นป่วน?
โดยทั่วไปแล้วพวกวิญญาณจะไม่เคลื่อนไหวอย่างโจ่งแจ้งนัก และผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถมองเห็นวิญญาณเร่ร่อนได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม พวกเขาทั้งหมดต่างรู้ดีว่าแดนมนุษย์นั้นเต็มไปด้วยวิญญาณเร่ร่อนอยู่จำนวนนับไม่ถ้วน และการมีอยู่ของพวกวิญญาณก็สามารถสัมผัสและรับรู้ได้ผ่านความหนาแน่นของพลังหยินที่อยู่โดยรอบ และตอนนี้ พวกเขาก็สัมผัสได้ว่าพลังหยินภายในเมืองกู่เฉิง…กำลังสั่นเทา
“มันไม่ใช่ความตื่นเต้น… แต่… ดูเหมือนว่าจะเกิดจาก...ความหวาดกลัว?“ เฉินเหนียนเอ่ยออกมา จากนั้นจึงมองดูเวลา ตอนนี้ใกล้จะหกโมงตรงแล้ว
มันคือเวลาที่ประกาศสาธารณะเกี่ยวกับการเตือนภัยของเหตุเหนือธรรมชาติจะถูกเปิด
“แต่พวกเขากลัวอะไรล่ะ?” เจิงไสว่มองไปรอบ ๆ “ความหวาดกลัวที่ท่วมท้นได้ทำให้พลังหยินภายในเมืองกู่เฉิงปั่นป่วนไปหมด มันจะต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นภายในเมืองอย่างแน่นอน – บางสิ่งบางอย่างที่ทำให้เหล่าวิญญาณหวาดกลัวไปจนถึงขั้วกระดูก!“
ผู้ใดก็ตามที่มีความสามารถในการมองเห็นวิญญาณล้วนพบว่าเหล่าวิญญาณบนท้องถนนที่ตรงไปสู่สถานีโทรทัศน์ของเมืองต่างกำลังกรีดร้องออกมาอย่างสุดเสียง ขณะที่พวกเขากระจัดกระจายไปทั่ว มีแม้กระทั่งวิญญาณที่ถูกความหวาดกลัวเข้าครอบงำจนทรุดร่างลงกับพื้นด้วยอาการสั่นระริกขณะที่ร้องขอความเมตตา
ในขณะนั้นเอง บนท้องถนนที่มีระยะทางกว่าหลายร้อยเมตรต่างก็เต็มไปด้วยวิญญาณที่กำลังคุกเข่าและอ้อนวอนขอชีวิต ในขณะที่วิญญาณตนอื่น ๆ ต่างก็หลบหนีเพื่อรักษาชีวิตของตนเอง
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าพวกเขามองเห็นบุคคลที่น่าสะพรึงกลัวสองคน
คนสองคนที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยสายตาของมนุษย์ธรรมดา
พวกเขาแต่งกายด้วยชุดเสื้อคลุมยาวสีดำ พร้อมด้วยหมวกไม้ไผ่ทรงกรวย และยังสวมหน้ากากสีขาวซึ่งปกปิดใบหน้าของพวกเขาไว้อีกด้วย เท้าของพวกเขาลอยอยู่เหนือพื้นประมาณหนึ่งนิ้ว ในขณะที่มือทั้งสองข้างประกบเข้าหากันอยู่ภายใต้แขนเสื้อยาว สายลมรุนแรงพัดผ่านในทุก ๆ ที่ที่พวกเขาเดินผ่าน แต่ ไม่เหมือนกับกลุ่มก้อนพลังหยินสีเขียวของแดนมนุษย์ พลังหยินที่หลั่งไหลออกมาจากร่างกายของเขากลับเป็นสีดำสนิท แม้แต่ต้นไม้ที่อยู่ข้างถนนก็อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงด้วยความหวาดกลัว
มันยังอยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ดังนั้นท้องฟ้าจึงมืดเร็ว และไฟถนนก็ถูกเปิดให้สว่างขึ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ถึงกระนั้น ในทุก ๆ ย่างก้าวที่พวกเขาก้าวเดิน หลอดไฟที่อยู่รอบ ๆ ก็จะเริ่มกะพริบและดับไป!
นี่เป็นสัญญาณที่บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่ามีวิญญาณร้ายกำลังย่ำตะวันอยู่!
“พระเจ้าช่วย…” โรงเรียนมัธยมปลายกู่เฉิงตั้งอยู่ห่างออกไปไม่มากนัก เหล่านักเรียนที่เพิ่งเลิกเรียนต่างได้รับการทักทายด้วยภาพที่ทำให้พวกเขาต้องขนลุกชัน ไฟถนนกะพริบติด ๆ ดับ ๆ ในขณะที่ต้นไม้โดยรอบพริ้วไหวอย่างแปลกประหลาด แทบจะเหมือนกับว่าโค้งคำนับต่อสิ่งมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่ซึ่งยืนอยู่กลางถนน แต่ถึงกระนั้น ไม่นานพวกเขาก็กลับมาได้สติอย่างรวดเร็ว กรีดร้องออกมาสุดเสียงและกระโจนขึ้นรถจักรยานพร้อมกับปั่นกลับบ้านโดยเร็วที่สุดเท่าที่ขาจะสามารถปั่นได้
ชั่วโมงแม่มดกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว
ทุกคนต่างสัมผัสได้ว่า…บางอย่างที่น่ากลัวมาก ๆ กำลังจะเกิดขึ้นในคืนนี้
แม้แต่รถสามล้อ รถมอเตอร์ไซค์ และยานพาหนะอื่น ๆ บนท้องถนนต่างก็หยุดชะงักลงเพื่อจ้องมองภาพที่แปลกประหลาดตรงหน้า ก่อนที่จะพุ่งไปยังที่กำบังที่ใกล้ที่สุดที่พวกเขาจะใช้หลบภัยสำหรับค่ำคืนนี้
สถานีโทรทัศน์ของเมืองกู่เฉิงนั้นตั้งอยู่ที่ปลายสุดของถนน และสถานีวิทยุที่ประกาศสาธารณะเองก็ตั้งอยู่ติดกัน ทหารจำนวนมากที่ยืนเฝ้าประตูของอาคารทั้งสองหลังต่างเห็นแสงไฟถนนที่กะพริบติด ๆ ดับ ๆ และต้นไม้ที่พริ้วไหวอย่างรุนแรงแม้ว่าจะปราศจากลมได้อย่างชัดเจน พวกเขามองหน้ากันและกัน จากนั้นจึงเล็งปืนในมือของตนไปที่ถนนสายหลักโดยไม่ลังเล!
ถนนตรงหน้าว่างเปล่า แต่ด้วยเหตุผลที่แปลกประหลาดบางประการ...พวกเขากลับรู้สึกถึงความหวาดกลัวที่ทำให้ขนลุกไปทั่วร่าง
“รีบไปรายงานท่านผู้บังคับบัญชาการเร็ว…” นายตำรวจยศร้อยตำรวจเอกจ้องมองไปยังถนนที่รกร้างตรงหน้าด้วยหัวใจที่เต้นแรง ความหวาดกลัวต่อสิ่งที่ไม่รู้จักคือความกลัวที่น่าหวั่นสะพรึงมากที่สุด
“สถานีโทรทัศน์เรียกกำลังเสริม…” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา อย่างไรก็ตาม เหล่าทหารที่เล็งปืนไปที่ถนนกลับตอบกลับด้วยเสียงที่เลื่อนลอย “แต่…มันดูเหมือนจะไม่มีอะไรเลยนะครับ…”
นายตำรวจคนดังกล่าวตะคอกกลับด้วยความโมโห “ถ้าจะรอให้เห็นมันก็จะสายเกินไปแล้ว!!! รีบไปทำตามที่สั่งเดี๋ยวนี้!!”
พวกเขาหารู้ไม่ว่า ณ ตอนนี้ ชายสวมเสื้อคลุมดำสองคนได้ยืนอยู่ที่ด้านล่างสุดของขั้นบันไดของสถานีโทรทัศน์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เสื้อผ้าของพวกเขากระพืออย่างรุนแรงขณะที่ทั้งคู่ยืนมองภาพที่ค่อนข้างน่าขบขันตรงหน้า
“พร้อมหรือยัง?” ฉินเย่ถามเบา ๆ
แต่ถึงกระนั้น หวังเฉิงห่าวกลับตอบออกมาอย่างไม่เต็มใจนัก “ในทางเทคนิคแล้ว ข้าพร้อม… แต่ว่า… ท่านจำเป็นต้องทำขนาดนี้เลยหรือ?”
“ไม่ต้องห่วง” ฉินเย่ตอบกลับเสียงเรียบ “พวกเราสวมหน้ากากอยู่ นอกจากนี้ มันจะไม่มีงานเฉลิมฉลองได้อย่างไรกันในเมื่อจ้าวนรกกำลังจะทำการเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ในแดนมนุษย์?”
“แต่มันก็ยังน่าอายสุด ๆ อยู่ดี!! นี่ท่านรู้จักคำว่าอายบ้างหรือไม่?!” หวังเฉิงห่าวแทบจะตะโกนตอบกลับอีกฝ่าย “เอาอย่างนั้นเป็นอย่างไร ข้าจะให้โทรศัพท์กับท่าน! นี่!”
ฉินเย่จ้องมองเด็กหนุ่มตรงหน้าราวกับเห็นผี “นี่เจ้าพูดเรื่องบ้าอะไรกัน? เจ้ากำลังจะบอกว่าข้ากำลังทำตัวไร้ยางอายอย่างนั้นหรือ?”
“บ้าเอ๊ย…”
“นอกจากนี้ นี่มันไม่ใช่ประเด็น! ตอนนี้เป็นเวลากี่โมงแล้ว?” ฉินเย่เป็นเหมือนกับเครื่องจักรที่ใส่น้ำมันเครื่องอย่างดีเมื่อเป็นเรื่องของการขัดจังหวะในช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด
หวังเฉิงห่าวสูดหายใจเข้าช้า ๆ อดทน… อดทน… เหมือนอย่างที่ท่านพี่ฉินมักจะทำกับท่านอาร์ทิส… หลังจากผ่านไปไม่กี่วินาที เขาก็หยิบโทรศัพท์ออกมาด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย “17.30 น.…”
“Good” ฉินเย่โต้ตอบเป็นภาษาอังกฤษ “It’s SHOW TIME~!”
หวังเฉิงห่าวที่ได้ยินเช่นนั้นก็ทำได้เพียงเดินตามไปติด ๆ ด้วยความระอาใจ
พร้อมกับการดีดนิ้ว ฉินเย่ก็ปรากฏตัวขึ้นที่ตรงหน้าสถานีโทรทัศน์ เหล่าผู้ฝึกตนและผู้คุ้มกันทั้งหมดที่อยู่โดยรอบต่างอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง
ตูม!
และก่อนที่พวกเขาจะทันได้ตอบสนอง กลุ่มก้อนพลังหยินที่น่าสะพรึงกลัวก็เข้าปกคลุมเมืองกู่เฉิงทั้งเมืองทันที!
ครื้นนน...ท้องฟ้ามืดลงอย่างฉับพลัน นี่คือครั้งแรกที่ฉินเย่เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงภายในแดนมนุษย์ พลังหยินขั้นตุลาการนรกกระเพื่อมออกไปโดยรอบราวกับคลื่นขนาดใหญ่ เปลวไฟนรกสีทองสองจุดลุกโชนขึ้นจากภายใต้หน้ากาก สร้างความตกตะลึงให้กับเหล่านักรบผู้กล้าที่อยู่บริเวณนั้นเป็นอย่างมาก “ไม่ต้องกลัว พวกข้าไม่ใช่วิญญาณร้าย”
ในขณะเดียวกัน เครื่องตรวจจับค่าพลังหยินก็ส่งเสียงร้องขึ้นพร้อมกัน เจ้าหน้าที่รัฐบาลและกองกำลังรักษาการณ์ทั้งหมดต่างหันไปมองเครื่องมือที่อยู่โดยรอบซึ่งกำลังส่งเสียงดังสนั่นทันที “ตรวจจับพลังหยินขั้นตุลาการนรกได้ที่อาคารโทรทัศน์ครับ ตัวเลขดัชนีค่าพลังหยินคาดว่าเกิน 4 ล้าน เจ้าหน้าที่ทั้งหมดเตรียมพร้อมสำหรับการปะทะ ขอย้ำ… พลังหยินขั้นตุลาการนรก…”
เงียบกริบ
คนทั้งหมดเงียบไปในทันที ไม่กี่วินาทีต่อมา ซูเตอฝางก็ลุกพรวดขึ้น “คุณเฉิน คุณเจิ้ง ระดมกองกำลังป้องกันของเราเดี๋ยวนี้! เรียกกองกำลังของพวกคุณและมุ่งหน้าไปยังจุดหมายทันที! เร็วเข้า!!”
ชายทั้งสองวิ่งออกมาจากห้องด้วยดวงตาที่แดงก่ำและหัวใจที่เต้นแรง
ตุลาการนรก… พลังหยินขั้นตุลาการนรก… ไม่ใช่พลังปราณ!
หมายความว่าวิญญาณร้ายขั้นตุลาการนรกได้ปรากฏตัวขึ้นที่นี่อย่างนั้นเหรอ? แต่เป็นไปได้อย่างไรกัน? ทำไมถึงเป็นเมืองกู่เฉิง?
ภายในหัวของพวกเขายังคงเต็มไปด้วยคำถามเมื่อมาถึง แต่พวกเขาก็ไม่จำเป็นจะต้องเรียกกำลังเสริมแต่อย่างใด เพราะ…ทันทีที่พวกเขามาถึง รถทหารกว่าสิบคันก็กำลังจะขับออกไปแล้ว กองกำลังพิเศษที่ทำหน้าที่รักษาการณ์อยู่ที่นี่ต่างหยิบกระสุนเจาะวิญญาณและเตรียมที่จะไปเสริมกำลังที่สถานีโทรทัศน์
……………
กลับมาที่ศาลากลาง หลังจากได้มอบหมายหน้าที่ป้องกันเมืองให้กับชายทั้งสอง เขาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและกดโทรออก “เหล่าสวี่ รีบระดมกองกำลังตำรวจเพื่อรักษาความสงบของประชาชนทันที! จัดหาที่พักสำหรับผู้ที่ยังเดินทางกลับไม่ถึงบ้าน! จากนั้น ผมอยากให้คุณกระจายคำสั่งว่าอย่าให้ผู้ใดก้าวเท้าออกนอกเขตที่พักอาศัยหรือบ้านของพวกเขาจนกว่าจะมีประกาศอีกครั้ง! ให้ทุกคนเตรียมพร้อมอพยพทันที!!”
จากนั้น ก่อนที่อีกฝ่ายจะได้ตอบกลับมา เขาก็รีบวางสายและโทรไปยังอีกหมายเลขหนึ่ง “เลขาหวัง… คุณทราบถึงสถานการณ์หรือยัง? ดีมาก เรียกกองกำลังเสริมจากเมืองหยุนเฉิงเดี๋ยวนี้! ว่าไงนะ? คุณทำแล้วเหรอ? เยี่ยมมาก...”
เขารีบวางสายทันที ทันใดนั้น ประตูห้องทำงานก็ถูกเปิดออก และเลขานุการที่มักจะมีความสุขุมก็รีบเดินเข้ามาพร้อมกับเม็ดเหงื่อมากมายที่ผุดพรายขึ้นบนหน้าผากขณะที่ตะโกนสุดเสียง “ท่านผู้ว่าซู! หนี–… ท่านต้องหนีเดี๋ยวนี้ครับ!!”
แต่ถึงกระนั้น ซูเตอฝางกลับยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่
ธงประจำชาติผืนใหญ่ถูกแขวนอยู่ด้านหลังโต๊ะทำงานของเขา เขานั่งลงและรินชาให้กับตัวเอง นิ้วมือสั่นเทาอย่างไม่สามารถควบคุมได้ แต่เขาก็ยังคงจ้องไปที่เลขานุการของตนเอง “นับตั้งแต่ตอนนี้ คุณถูกไล่ออก”
“ครับ?” เลขานุการคนดังกล่าวชะงักไปด้วยความตกตะลึง
“นี่คุณรู้หรือเปล่าว่าตัวเองกำลังพูดอะไรอยู่? คนที่เป็นผู้นำจะหนีจากเมืองของเขาได้อย่างไร?! แล้วประชากรอีกแสนกว่าคนที่ยังอยู่ที่นี่ล่ะ?!!!” ซูเตอฝางลุกขึ้นยืนและปาที่เขี่ยบุหรี่ของเขาไปที่ผู้เป็นเลขา “คุณรู้บ้างหรือเปล่าว่าทำไมจีนถึงยังไม่ล่มสลาย?! มันก็เป็นเพราะว่าไม่มีผู้นำคนไหนที่ยอมทอดทิ้งประชาชนของพวกเขายังไงล่ะ! เลขาหวัง ผมผิดหวังในตัวคุณจริง ๆ! ผู้ช่วยเกา!!”
ชายที่อยู่ด้านนอกรีบตอบรับและเดินเข้ามาในห้องทันที หน้าอกของซูเตอฝางกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง “คุณช่วยพาหมอนี่ไปให้พ้น ๆ หน้าผม! หน่วยงานของเราไม่มีที่ว่างสำหรับพวกเศษสวะ!!! การเป็นข้าราชการหมายถึงการรับใช้ประชาชน ไม่ใช่การมอบอภิสิทธิ์ในการรับรู้ข้อมูลล่วงหน้าเพื่อที่จะได้หลบหนีเป็นคนแรก!”
อีกฝ่ายพยักหน้า แต่ก็ถามขึ้น “แต่… ไม่ใช่ว่าเลขาหวังเพิ่งเข้ามารับหน้าที่เหรอครับ…”
“ไม่ต้องสนใจ ผมมั่นใจว่าเขารู้ดีว่าสิ่งที่ตัวเองเพิ่งพูดออกมานั้นมีความหมายว่าอย่างไร” ซูเตอฝางพ่นลมหายใจออกมาอย่างเย็นชา ความรู้สึกที่พุ่งพล่านของเขาสงบลงอีกครั้ง “เตรียมรถ และเรียกรวมหัวหน้าฝ่ายทั้งหมดของสถานีโทรทัศน์เดี๋ยวนี้! ผู้ใดก็ตามที่ไม่มาปรากฏตัวจะต้องถูกไล่ออกอย่างไม่มีข้อยกเว้น!!”
……………
ฉินเย่ไม่รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย แต่นี่คือครั้งแรกที่ยมโลกปรากฏตัวออกมาจากเงามืดของแดนมนุษย์ ดังนั้นมันจึงเป็นธรรมดาที่การปรากฏตัวของเขาจะทำให้เกิดการเคลื่อนไหวของเหล่าผู้นำชาวมนุษย์ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เขาไม่ได้สนใจอะไรนัก เด็กหนุ่มมองกลุ่มทหารที่ยืนเรียงกันตรงหน้าของตนด้วยสายตาเรียบเฉย ก่อนจะค่อย ๆ ยกมือขึ้น เป๊าะ! เขาดีดนิ้ว และเข่าของคนทั้งหมดก็สั่นเทา พวกเขาล้มลงกับพื้นในทันที
“ทั้ง ๆ ที่เข่าสั่นขนาดนี้ เหตุใดจึงยังพยายามต่อต้านอยู่อีก?” ฉินเย่ถอนหายใจออกมา “มนุษย์…พลังแห่งความเชื่อมั่นนั้นช่างน่าชื่นชมจริง ๆ มันเป็นเพราะสิ่งนี้เองที่ทำให้พวกเขาสามารถยืนหยัดอยู่ภายใต้การกดขี่ของราชาผีทั้งสามในทุกวันนี้ได้ หนึ่งหาง…นี่?! เหตุใดเจ้าถึงยังไม่เปิดเผยร่างของตัวเองตามที่วางแผนกันเอาไว้อีกเล่า?”
“ขออภัย…แต่มันน่าอับอายเกินไป… แม้ว่าหน้ากากที่สวมอยู่จะบดบังใบหน้าของข้า แต่ข้าก็ยังรู้สึกว่าแก้มของตัวเองร้อนฉ่าอยู่ดี…” หวังหนึ่งหางตอบกลับเสียงเบา ในเสี้ยววินาทีต่อมา ประตูทางเข้าหลักของสถานีโทรทัศน์ก็ถูกเปิดออกอย่างแรง เผยให้เห็นข้อเท็จจริงที่ว่าภายในกำลังยุ่งเหยิงเป็นอย่างมาก ทุกคนสามารถบอกได้ทันทีว่าเหล่าคนที่ทำงานอยู่ด้านในต่างพยายามตะเกียกตะกายหาที่ซ่อนตัว และเอกสารทั้งหมดที่พวกเขาถืออยู่ก่อนหน้านี้ก็กระจัดกระจายไปทั่วพื้น
ทันทีที่พวกเขาเดินเข้าไปในสถานีโทรทัศน์ เสียงเบสอันหนักหน่วงก็ดังขึ้น ตามมาติด ๆ ด้วยเสียงดนตรีพื้นหลังที่น่าเร้าใจ หวังเฉิงห่าวกัดฟันแน่น เปิดกระเป๋าเป้ของตน และเริ่มโปรยเงินกระดาษไปโดยรอบ
ตื๊อ… ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก… ตื๊อ ตึก ตึก… ทันทีที่ท่วงทำนองที่คุ้นหูเริ่มบรรเลง ฉินเย่ก็พุ่งตัวขึ้นไปที่ชั้นสองภายใต้เศษเงินกระดาษที่โปรยปราย
“นี่มัน…เพลงประกอบหนังเรื่อง Kill Bill… Battle Without Honor or Humanity นี่?!” เมื่อครู่นี้ เหล่าผู้ที่ซ่อนตัวอยู่ภายในสถานีโทรทัศน์ต่างได้ยินเสียงเต้นของหัวใจตัวเอง แต่ตอนนี้ จิตวิญญาณที่ตึงเครียดของพวกเขาคลายตัวลง ในขณะที่ดวงตาเบิกกว้างขึ้นอย่างฉับพลัน
เขาหมายถึง… ไม่ใช่ว่านี่ควรจะเป็นภูตผีคลุ้มคลั่งหรืออะไรทำนองนั้นหรอกหรือ? ทำไมอีกฝ่ายถึงได้เล่นเพลง Battle Without Honor or Humanity ขึ้นมา?!
นี่เพลง ๆ นี้ถูกเลือกมาเพื่อการปรากฏตัวโดยเฉพาะเลยอย่างนั้นหรือ? เขาไม่รู้เลยว่าวิญญาณสามารถทำอะไรพวกนี้ได้ด้วย!