ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - ตอนที่ 29 กองกำลังเต็มรูปแบบ
บทที่ 29 กองกำลังเต็มรูปแบบ
“ยังไม่เจออีกหรือ?” น้ำเสียงของอาร์ทิสที่เปล่งออกมาดูร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด “เจ้าควรก้มลงไปมองด้านล่างดูนะ”
ฉินเย่นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะก้มลงไปมองด้านล่าง และเขาก็ต้องย่นคิ้วเข้าหากันทันที
เขาบินด้วยระดับความสูงแค่ประมาณ 100 เมตรเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าบนถนนที่มีแสงสลัว มีรถกว่าสิบคันกำลังขับไล่ตามหลังของเขามาติด ๆ! ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว มันทำให้ในเวลานี้ทั้งเมืองดูสว่างขึ้นขึ้นกว่าปกติ แม้ว่าจะเป็นเวลากลางคืนก็ตาม
ราวกับทั่วทั้งเมืองได้ตื่นจากการหลับใหล
นี่คือพลังของมนุษย์
แต่เดิมที เมืองชิงซีก็ไม่ได้ใหญ่มากอยู่แล้ว ดังนั้นฉินเย่จึงสามารถจดจำและรู้ได้ทันทีว่าบริเวณที่เปิดไฟสว่างอยู่คือที่ใดบ้าง
มันคือสำนักงานรักษาความปลอดภัย….สถานีตำรวจ….ค่ายทหาร…. ไม่นานหลังจากที่ไฟในสถานที่พวกนี้สว่างขึ้น รถยนต์หลายสิบคันก็กระจายตัวไปทั่วทุกพื้นที่ราวกับคลื่นยักษ์ที่กลืนกินทุกสิ่ง!
“ฉลาด ไม่เพียงแต่ตอบสนองอย่างทันท่วงที แต่พวกเขายังตรวจสอบด้วยว่ามีใครภายในเมืองที่ไม่ได้อยู่บ้านของตัวเองในตอนนี้บ้าง และสถานที่แรกที่พวกเขามุ่งหน้าไปก็คือถนนของผู้ล่วงลับและตลาดไสยเวทย์ เจ้าหนู…เจ้าคงจะไม่สามารถผ่านสถานการณ์ในครั้งนี้ไปได้เสียแล้ว” อาร์ทิสเอ่ยอย่างพึงพอใจเมื่อเห็นความทุกข์ใจของเด็กหนุ่ม
คิ้วของฉินเย่ในเวลานี้กำลังขมวดเข้าหากันยุ่ง พวกเขาเร็วมาก…ความเร็วในการตอบสนองของคนพวกนี้ไม่ธรรมดาเลย นอกจากนั้น…เขาเองก็บินหนีออกมาจากถนนของผู้ล่วงลับโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นมันไม่มีทางที่เขาจะกลับไปที่นั่นได้อย่างทันเวลาแน่!
ใจเย็น ๆ… ใจเย็น ๆ ไว้…
เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ หากอย่างไรเสียตัวตนของเขาก็จะถูกเปิดเผยอยู่แล้ว อย่างน้อยเขาก็ควรจะพยายามให้ถึงที่สุดเสียก่อน หรืออย่างแย่ที่สุด เขาก็คงต้องเดินหนีออกไปจากความยุ่งเหยิงทั้งหมดนี้ในภายหลัง
“ท่านครับ” ทันใดนั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นให้ได้ยิน “กรุณารอสักครู่ครับ”
ก่อนที่เจ้าของเสียงจะเอ่ยจบ เส้นด้ายสีดำบางอย่างก็พุ่งมาจากขึ้นมาจากรถออฟโรดที่อยู่ด้านล่าง พยายามที่จะพันรอบข้อเท้าของเขา
“เขาเป็นผู้ฝึกตนระดับ s ตัวจริง” อาร์ทิศเอ่ยอย่างเคร่งเครียด “นี่มันไม่ง่ายเลยสักนิด พวกเขาปิดซ่อนความแข็งแกร่งที่แท้จริงของตัวเองมาตลอด แม้ว่าจางเฟิงจือจะเป็นผู้ที่จัดการกับเรื่องทั้งหมดนี้ แต่มันก็ช่างน่าขันนักที่เขาสามารถปกปิดตัวตนอันทรงพลังพวกนี้เอาไว้ในเงามืดมาได้นาน จนถึงตอนนี้”
คนที่อยู่ระดับเดียวกับเรา…ตอนนี้ ฉินเย่เริ่มเป็นกังวลอย่างแท้จริง เขาวาดกระบี่ในมือและตัดด้ายดำที่พุ่งมาหาตนอย่างรวดเร็ว เมื่อกระบี่และเส้นด้ายปะทะเข้าด้วยกันพลันเกิดเป็นเสียงดังสนั่น! ทว่าฉินเย่กลับไม่คิดจะหันไปมองสิ่งที่เกิดขึ้นให้ชัดเจนเลยสักนิด มือซ้ายของเขายังคงเลื่อนหน้าจอดูเอกสารที่อยู่ในโทรศัพท์ของจางเฟิงจือต่อไปอย่างเร่งรีบ
27 มีนาคม ช่างฝีมือแห่งโลกใต้พิภพ ฮวงเซิงห่าวได้รับงานในฐานะของผู้สื่อสารจากมณฑลหนานเฟิง ค่าตอบแทน 300,000 หยวน ระยะเวลา 1 เดือน สถานะ สิ้นสุด 27 เมษายน ผู้ว่าจ้างคือหลิวยวิน ผู้ประกอบการเหล็กภายในมณฑลหนานเฟิง
5 เมษายน ช่างฝีมือแห่งโลกใต้พิภพ หวังอี้เทียนได้รับงานอัญเชิญดวงวิญญาณมาจากเมืองซิงผิง ค่าตอบแทน 500,000 หยวน ระยะเวลา 7 วัน สถานะ สิ้นสุด 12 เมษายน ผู้ว่าจ้างคือจูหยาง เจ้าสัวในเมืองซิงผิง
30 เมษายน ช่างฝีมือแห่งโลกใต้พิภพ ซูอูได้รับงานเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพมาจากมณฑลเสฉวน ค่าตอบแทน 250,000 หยวน ระยะเวลา 7 วัน สถานะ สิ้นสุด 6 มิถุนายน….
ไม่…ไม่มี ไม่ใช่สักคน!
“ท่านครับ พวกเราไม่ได้มีเจตนาร้ายแต่อย่างใด จุดมุ่งหมายของนรกนั้นสอดคล้องกับสายงานของเราเช่นกัน พวกเราเพียงอยากที่หารือกับท่านเท่านั้น ได้หรือไม่ครับ?”
“พวกเรารู้ดีว่ายมทูตที่อาศัยอยู่บนโลกมนุษย์จำเป็นจะต้องยืมร่างกายของคนธรรมดา ตอนนี้พวกเราได้เริ่มการค้นหาไปทั่วทั้งมณฑลแล้ว และไม่นาน…ตัวตนของท่านก็จะถูกเปิดเผยออกมา ความร่วมมือของท่านจะนำไปสู่ผลดีแก่เราทั้งสองฝ่าย พวกเราไม่ได้มีเจตนาร้ายจริง ๆ ครับ”
ฉิยเย่ยังคงไถหน้าจอต่อไปเรื่อย ๆ และทันใดนั้นดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้น
“7 พฤษภาคม ช่างฝีมือแห่งโลกใต้พิภพ โจวเชาได้รับหามหีบศพมาจากมณฑลตงไห่ ค่าตอบแทน 500,000 หยวน ระยะเวลา ไม่ระบุ วัน สถานะ กำลังดำเนินการ ผู้ว่าจ้างคือจูหยาง ไม่มีรายละเอียดของผู้ว่าจ้าง”
คนนี้สินะ!
ฉินเย่ถอนหายใจออกมาในที่สุด ด้วยเปลวไฟที่ลุกโชนภายในแววตาคู่คม เขาโยนโทรศัพท์ในมือลงพื้นและพุ่งตัวไปอีกทางหนึ่งอย่างรวดเร็วราวกับนกอินทรีโผบิน
เมื่อใดที่สวมเครื่องแบบยมทูต จะไม่มีใครมองเห็นเขา ทว่ามันกลับคนละเรื่องกับตอนที่ใช้พลังของเศษตราจ้าวนรก เมื่อเขาใช้มัน เขาจะมีพลังที่สามารถบินอยู่บนฟ้าได้ในระยะเวลาสั้น ๆ แต่น่าเสียดายที่ข้อเสียของมันก็คือ เขาจะไม่สามารถปกปิดตัวตนของตัวเอง จากสายตาของมนุษย์ได้
หากเขาอยากออกไปจากที่นี่ มันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำแบบนั้นขณะที่ใช้พลังของเศษตราจ้าวนรกไปด้วย
“เจ้าคิดจะทำสิ่งใด?” น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาของอาร์ทิสในเวลานี้ ฟังดูยั่วยวนใจอย่างแปลกประหลาด “บางที…ข้าอาจจะแนะนำบางอย่างที่น่าสนใจให้กับเจ้าได้นะ”
“ตอนนี้…ปลดผนึกลูกบอลผนึกซะ ตราบใดที่เจ้าปลดปล่อยข้า ข้าสามารถรับรองให้เจ้าได้เลยว่าทั่วทั้งมณฑลเสฉวนจะอยู่ภายใต้การควบคุมของเรา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเมืองชิงซีทั้งหมด”
“ว่าแล้วเชียว…” ฉินเย่ร่อนลงจอดที่หลังคาของอาคารแห่งหนึ่งอย่างนุ่มนวล และกลิ้งไปตามทางเพื่อลดเสียงกระแทก เขาไม่คิดที่จะบินขึ้นไปอีกและเพียงสลายพลังหยินจากเศษตราจ้าวนรกไปจนหมดก่อนจะพุ่งไปที่ถนนด้านล่างภายใต้การปกปิดของชุดเครื่องแบบของยมทูต
“ข้าเพียงแต่รู้ว่าเจ้ายังไม่ยอมละทิ้ง ความหวังที่ข้าจะทิ้งลูกบอลผนึกก็เท่านั้น”
“เหตุใดเจ้ายังสงสัยในตัวข้าอยู่อีก? พวกเราผูกพันธสัญญากันแล้ว เจ้าเองก็รู้ดีว่าข้าไม่สามารถทำร้ายเจ้าได้”
ฉินเย่เพียงแค่นหัวเราะเย็นออกมา “ข้าไม่เชื่อใจท่าน”
รถยนต์จำนวนมากจอดนิ่ง ณ จุดที่ฉินเย่โยนโทรศัพท์ทิ้งไว้ ทว่าพวกเขากลับใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีก่อนที่จะเริ่มเคลื่อนกำลังอีกครั้ง ในขณะเดียวกัน รถบรรทุกมากกว่าสิบคันก็เพิ่งไปถึงที่หมายปลายทางและปิดล้อมพื้นที่ในรัศมีหนึ่งกิโลเมตรจากตำแหน่งสุดท้ายที่พบตัวฉินเย่
อาร์ทิสเพียงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อว่า “เจ้าแน่ใจอย่างนั้นหรือว่าตัวเองได้เตรียมพร้อมที่จะเปิดศึกกับโลกมนุษย์แล้ว?”
“อย่าหาว่าข้าไม่เตือน โดยปราศจากพลังของข้า เจ้าก็เป็นเหมือนกับหลอดไฟที่ส่องสว่างยามค่ำคืน โดดเด่นและดึงสายตามากเกินไป”
ฉินเย่ยังคงนิ่งเงียบ เขาไม่มีเวลาที่จะพูดอะไรสักนิด เวลานี้ ศัตรูของเขาได้เผยตัวออกมาอย่างเต็มที่แล้ว และก็อยู่ห่างออกไปเพียง 500 เมตรเท่านั้น ในที่สุดก็เริ่มเป็นฝ่ายรุกบ้าง
มันคือรูปปั้นโบราณ
มันดูเก่ามาก มีทั้งคราบสีดำและรอยร้าวเต็มไปหมด ตัวรูปปั้นถูกปกคลุมไปด้วยเครื่องรางและยันต์จำนวนมาก
ธรรมดา
ธรรมดาเกินไป
ทว่าสัญญาณเตือนภัยในหัวของเขากลับดังขึ้นทันทีที่เขาสังเกตเห็นมันในระยะไกล!
“เจ้าพ่อหลักเมือง” อาร์ทิสเอ่ยออกมาอย่างไม่ลังเล “ไม่มีผู้ใดในนรกสามารถหลบซ่อนตัวตนได้ เมื่ออยู่ใกล้กับเจ้าพ่อหลักเมือง มันอาจจะดูทั้งเก่าและมีรอยแตก และมันก็อาจจะสูญเสียความสามารถในการระบุแหล่งพลังหยินไปแล้วก็เป็นได้ แต่ความจริงที่ว่าไม่มีตัวตนจากนรกตนไหนที่สามารถหลุดรอดสายตาของมันได้นั้นยังคงเป็นความจริง”
วูบบบ….ทว่าก่อนที่นางจะเอ่ยจบ ชายร่างสูงผอมคนหนึ่งที่อยู่ในชุดคลุมสีดำก็ก้าวออกมาจากรถออฟโรด เขาสร้างผนึกหลายชั้นด้วยมือของตน ขณะที่เสื้อคลุมที่สวมอยู่เริ่มสะบัดอย่างแรง ภายในไม่กี่อึดใจ ยันต์และเครื่องรางที่อยู่บนรูปปั้นก็เริ่มสะบัดปลิวอย่างรุนแรง!
“เจ้าหนู…ข้าไม่มีทางผิดสัญญา! เมื่อใดที่เจ้าปลดผนึกลูกบอลผนึก ทั่วทั้งมณฑลเสฉวนก็จะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของเจ้า!”
ทว่าฉินเย่ก็ยังคงพุ่งตัวไปข้างหน้าต่อไป ราวกับไม่ได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายพูด อาร์ทิสที่เห็นเช่นนั้นจึงสูดหายใจเข้าเต็มปอดและเอ่ยว่า “เจ้าไม่เข้าใจหรืออย่างไร? ไม่ว่าอย่างไร ตัวตนที่แท้จริงของเจ้าก็จะถูกเปิดเผยในคืนนี้อยู่ดี หากไร้ความช่วยเหลือจากข้า ชีวิตเจ้าก็จะจบลงไม่ต่างกับหนูทดลองของพวกเขาเท่านั้น…”
“อย่างนั้นหรือ?” ในที่สุดเด็กหนุ่มก็หยุดเดินขณะที่เอ่ยปนหอบว่า “เจ้าจำได้หรือไม่ว่าเหตุใจข้าถึงมั่นใจว่าจางเฟิงจือคือเจ้าภาพของตลาดไสยเวทย์”
พยายามข่มเปลวไฟที่ลุกโชนอยู่ในส่วนลึกของจิตใจของตนเอง อาร์ทิสเอ่ยตอบอย่างใจเย็น “แน่นอน อย่างที่ข้าเคยพูดไปก่อนหน้านี้ พูดเขาระบุพลาดว่าโรงพยาบาลที่หวังเฉิงห่าวนอนรักษาตัวตั้งอยู่ในจุดที่มีพลังหยินหนาแน่นที่สุด และคิดว่าดวงวิญญาณร้ายที่ตามหลอกหลอนตระกูลของเด็กคนนั้นยังไม่ถูกปัดเป่าไปอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นพวกเขาจึงคิดเรื่องการอัญเชิญดวงวิญญาณดวงนั้นมาเพื่อตรวจสอบผู้ที่ปัดเป่ามัน….”
ทันใดนั้นนางก็หยุดพูดไปก่อนที่จะพูดจบ
เบื้องหน้าของพวกนางคือโรงพยาบาลของเมืองชิงซี!
ฉินเย่อ้าปากเพื่อหายใจและเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ท่านบอกว่ารูปปั้นเจ้าพ่อหลักเมืองนั้นเก่าจนไม่สามารถแยกแยะแหล่งพลังหยินได้ เพราะฉะนั้น….หากข้าซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางกลุ่มพลังหยินที่หนาแน่นของผู้อื่นล่ะ?”
“ยกตัวอย่างเช่น…พลังหยินที่เป็นของชู้รักคนนั้น ผู้ที่เคยครอบครองเศษตราจ้าวนรกที่ข้าถือครองอยู่ในตอนนี้เป็นไง? พลังหยินที่หลงเหลืออยู่ของนางน่าจะหนาแน่นกว่าของตัวข้าเองเสียอีก…”
อาร์ทิสที่ได้ยินเช่นนั้นก็เงียบไป
ขณะที่อาร์ทิสยังคงนิ่งเงียบ ฉินเย่ก็พุ่งตัวไปที่ประตูหน้าของโรงพยาบาลและเดินตรงไปยังห้องพักผู้ป่วยที่หวังเฉิงห่าวพักอยู่ทันที
ในเวลาเดียวกันกับที่ฉินเย่เดินไปที่ห้องของหวังเฉิงห่าว ยันต์และเครื่องราวที่ติดอยู่บนรูปปั้นของเจ้าพ่อหลักเมืองก็เริ่มหลุดออก จากนั้น เสี้ยววินาทีถัดมา รูปปั้นเจ้าพ่อหลักเมืองก็เริ่มปริแตกและค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา!
วูบบบบ…..คลื่นพลังไร้เสียงที่สามารถมองเห็นได้แค่ผู้ฝึกตนเท่านั้นแพร่กระจายไปในความมืด มันดูเหมือนกับคลื่นยักษ์ที่สาดซัดไปทั่วทั้งมณฑล และรูปปั้นเจ้าพ่อหลักเมืองก็ตั้งอยู่ที่จุดกึ่งกลางดูเป็นภาพอันงดงาม
“ฉลาดดี” ในขณะเดียวกัน ฉินเย่ก็กระโจนผ่านหน้าต่างเข้าใปในห้องพักที่หวังเฉิงห่าวพักอยู่โดยที่อยู่ภายใต้การปกปิดของเครื่องแบบยมทูต ทันใดนั้นอาร์ทิสก็เอ่ยขึ้นมาเสียงเบาว่า “แม้แต่คนขลาดก็ยังมีช่วงเวลาฉลาด…”
หวังเฉิงห่าวกำลังนอนดูทีวีอยู่ภายในห้องพักของตนเองขณะที่เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้น ตอนแรก เขารู้สึกตกใจเป็นอย่างมากที่เห็นว่าผ้าม่านที่หน้าต่างเริ่มปลิวไสวด้วยตัวของมันเอง ทว่าต่อมา เขาก็ได้ยินเสียงกระซิบบางอย่างดังขึ้นข้างหู
วินาทีนั้น เขารู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก จากนั้นก็ค่อย ๆ สงบลง และในที่สุดก็ล้มตัวนอนไปอย่างเงียบ ๆ
ในระหว่างนั้น….
ขณะที่คลื่นพลังไรเสียงที่มนุษย์ธรรมดาไม่สามารถมองเห็นของรูปปั้นเจ้าพ่อหลักเมืองสาดซัดไปทั่ว มันค่อย ๆ เพิ่มความถี่และกระจายตัวออกไปไกลขึ้นเรื่อย ๆ ภายในระยะเวลาสิบนาที เสียงวืดดดด…ดังขึ้น และทั่วทั้งเมืองชิงซีก็ถูกปกคลุมไปด้วยคลื่นไร้เสียงพวกนี้!
เมืองทั้งเมืองได้ตื่นตัวอย่างเต็มรูปแบบ!
ในขณะเดียวกัน ภายในค่ายทหารแห่งหนึ่งในนครเหลียนฮวา นายทหารที่อยู่เวรในเวลากลางคืนคนหนึ่งกำลังเลื่อนดูหน้าจอโทรศัพท์ของตนขณะที่เสียงสัญญาณแจ้งเตือนดังขึ้น
อ๊อดดดดด… แม้ว่าเสียงเตือนจะฟังดูห่างไกล ทว่ากลับได้ยินชัดเจนนัก
ในเวลานี้ เขากำลังภายในห้องที่ดูแปลกประหลาดห้องหนึ่ง ทุกอย่างภายในห้องดูเก่าและโบราณ ทั้งห้องมีเพียงมีโต๊ะหนึ่งตัว และชายหนึ่งคน บริเวณกลางห้องมีเครื่องมือที่สูงประมาณ 10 เมตรซึ่งดูคล้ายกับเครื่องวัดแผ่นดินไหวตั้งอยู่
เครื่องมือดังกล่าวถูกสร้างขึ้นจากทองสัมฤทธิ์ โดยที่มีรูปร่างคล้ายกับภาชนะใส่ไวน์โบราณที่เปิดฝาอยู่ ด้านในของมันรูปเต่า นก และสัตว์อื่น ๆ สลักอยู่บน ส่วนภายนอกมีรูปลักษณ์ของมังกรแปดตัวที่คาบเม็ดวิเศษสีแดงเอาไว้ในปาก ขณะที่ฐานของมันถูกตกแต่งด้วยคางคกที่อ้าปากกว้าง
ทันใดนั้นเอง เสียงเรียกเข้าก็ดังขึ้นมาจากเครื่องมือดังกล่าว
ทหารหนุ่มตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เขารีบวางโทรศัพท์ของตนลงและเริ่มพิมพ์ข้อมูลลงบนคอมพิวเตอร์ที่อยู่ด้านหน้าของตนอย่างรวดเร็ว วินาทีต่อมา เขาก็ต้องสูดหายใจเข้าช้า ๆ “เมืองชิงซีได้ตื่นตัวอย่างเต็มรูปแบบอย่างนั้นหรือ?”
“เป็นไปได้ยังไง….นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่หน่วยสอบสวนพิเศษแห่งชาติเปิดการใช้งานสัญญาณเตือนทั่วเมือง มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
หลังจากมึนงงอยู่ครู่หนึ่งเขาก็รีบลุกขึ้นและเดินไปด้านนอกทันที
ในขณะเดียวกัน ที่กองบัญชาการตำรวจในนครเซี่ยเจียง ชายคนหนึ่งตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ของตนที่วางไว้บนโต๊ะข้างเตียงมารับสายด้วยใบหน้านิ่วคิ้วขมวดหลังจากที่มันดังติดต่อกันอยู่หลายครั้ง “ครับ?”
ภรรยาของเขาที่นอนอยู่ข้าง ๆ เองก็ตื่นขึ้นเช่นกัน เขาเพียงโอบกอดอีกฝ่ายอย่างอบอุ่นพร้อมกับลูบผมของเธอเบา ๆ ขณะที่คนที่อยู่ในวงแขนถามขึ้นเสียงแผ่ว “มีอะไรหรือคะ?”
เขาเพียงส่ายหน้าเพื่อบอกให้อีกฝ่ายไม่ต้องเป็นกังวล จากนั้นจึงหันไปสนใจคนในสายต่อ “อืม…เข้าใจแล้ว…ว่าไงนะ? นครเซี่ยเจียงเรียกระดมพลอย่างนั้นเหรอ? ได้…ฉันจะไปที่หน่วยสอบสวนพิเศษแห่งชาติเดี๋ยวนี้เลย…”
เขารีบคว้าเสื้อผ้าของตนเองและดึงตัวออกจากผ้าห่มที่อุ่นสบายของตน
………………………………………………
ณ เมืองชิงซี
ไม่ไกลจากโรงพยาบาลประจำเมือง รถเอสยูวีจำนวนมากกำลังมุ่งหน้าไปที่จุดหมายอย่างเต็มกำลัง ร่างในชุดเสื้อคลุมสีดำและจางเฟิงจือต่างนั่งมองหน้าจอมือถือของตนอย่างไม่ละสายตา
จุดสีดำจำนวนมากปรากฏขึ้นบนหน้าจอเป็นครั้งคราว ทว่ายิ่งพวกเขามองมันนานเท่าไหร่ คิ้วของคนทั้งคู่ก็ยิ่งขมวดเข้าหากันมากขึ้นเท่านั้น
ไม่…
ไม่ใช่…
เขาอยู่ไหน?
จุดสีดำที่ใหญ่ที่สุดบนหน้าจอได้ระบุตำแหน่งที่ใกล้กับพวกเขาที่สุดในตอนนี้ และมันก็คือสถานที่เดียวกันกับที่ หวังเฉิงห่าวพักอยู่ ทว่าพวกมันกลับไม่ได้แสดงถึงค่าพลังของเป้าหมายของพวกเขา จางเฟิงจือมองดูหน้าจอด้วยสายตาเหลือเชื่อ ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างตกใจ “เขาไปแล้วหรือ?”
“นี่มัน… เป็นไปได้อย่างไร?…”
ทว่าภายในพริบตา ราวกับนึกได้ถึงเรื่องสำคัญบางอย่าง เขารีบตะโกนสั่งคนขับรถเสียงดัง “รีบไปที่โรงพยาบาลเดี๋ยวนี้! เร็วเข้า!”
“จางเฟิงจือ…” ทว่าก่อนที่จางเฟิงจือจะเอ่ยจบ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากที่นั่งด้านหลัง “นายกำลังจะบอกว่าเขาซ่อนตัวอยู่ใต้เรดาร์อย่างนั้นเหรอ?”
“มันก็มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นเช่นนั้น…”
“แต่ฉันไม่คิดอย่างนั้น เหตุการณ์นี้แสดงให้ฉันเห็นแล้วว่านายไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะรับมือกับเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้ได้ สิ่งที่พวกเรากำลังพูดถึงคือยมทูต…บันทึกของการเผชิญหน้าระหว่างพวกเราและอีกฝ่ายนั้นมีน้อยมาก แม้แต่ในพงศาวดารและบันทึกของท่านอาจารย์ของเราเองก็ตาม บอกฉันมาสิ…ทำไมนายถึงคิดว่าเขาจากไปแล้ว?”
จางเฟิงจือส่ายศีรษะ
“นายได้คิดถึงความเป็นไปได้ที่เขาจะไม่ใช่ยมทูตบ้างหรือเปล่า?” เสียงนั้นเอ่ยถาม “นายปล่อยให้อารมณ์ของตัวเองอยู่เหนือเหตุผล…หากเขาหนีไปแล้ว แล้วยังไง? นั่นไม่ใช่สิ่งที่ต้องเป็นกังวลเลยสักนิด นอกจากนี้ ความจริงที่ว่าเขาสวมใส่เครื่องแบบยมทูตก็ไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นยมทูต ความผิดพลาดของนายทำให้เราต้องเสียเวลาเปล่า ใช้กำลังที่มีอยู่ทั้งหมดอย่างสิ้นเปลือง”
จางเฟิงจือหลับตาลงและถอนหายใจออกมาอย่างยากลำบาก หลังจากผ่านไปหลายวินาที เขาก็เอ่ยกัดฟันแน่นก่อนจะเอ่ยออกมาว่า “ใช่…ฉันรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น”
“แต่จนกว่าฉันจะได้ตรวจดูทุกที่ ฉันจะยังไม่ยอมแพ้เด็ดขาด!”
โรงพยาบาลเมืองชิงซี
หวังเฉิงห่าวกำลังเคี้ยวขนมมันฝรั่งทอดอยู่ ประตูก็ถูกเปิดออกอย่างกะทันหัน
“คุณ…” เด็กหนุ่มกำลังจะเอ่ยออกมาขณะที่จางเฟิงจือพูดแทรกขึ้นเสียก่อน เขามองไปยังผู้ที่นั่งอยู่ปลายเตียงของหวังเฉิงห่าวด้วยน้ำเสียงตกตะลึง “ท่าน …ทำไมท่านมาอยู่ที่นี่ละ?!”