ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - ตอนที่ 227: การประชุมแลกเปลี่ยนทางวิชาการที่อาคารตงไห่ 653
บทที่ 227: การประชุมแลกเปลี่ยนทางวิชาการที่อาคารตงไห่ 653
ในไม่ช้าฉินเย่ก็มาถึงที่ห้องทำงานของผู้อำนวยการ ซู่เฟิงและหลินฮั่นได้มาถึงก่อนแล้ว และใบหน้าของทั้งคู่ก็แดงก่ำด้วยความตื่นเต้น แม้แต่สวี่อันกั๋ว ชายผู้มักจะมีสีหน้าเรียบเฉยในทุก ๆ สถานการณ์ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้าง
“คุณมาแล้ว” เขาข่มความตื่นเต้นภายในใจของตัวเอง แต่ถึงกระนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าเขาก็ยังไม่จางหายไปเลยตั้งแต่ที่ได้เห็นหนังสือพิมพ์ผู้ฝึกตนรายสัปดาห์ เขาหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมาและวางมันลงตรงหน้าของฉินเย่ “คุณลองดูสิ นี่คือผลจากความพยายามอย่างหนักของคุณ กำหนดออกเดินทางของคุณคือตั้งแต่วันที่ 3 มิถุนายนและกลับมาในวันที่ 3 กรกฎาคม ลองดูคำเชิญพวกนี้และบอกผมว่าคุณตัดสินใจที่จะไปที่ไหน”
ในที่สุด…
ฉินเย่ลอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกภายในใจ สายลมตะวันออกที่เขารอมานานมาถึงในที่สุด
การแย่งชิงระหว่างทั้งสี่ฝ่ายกำลังจะเกิดขึ้นที่ตงไห่ ด้วยข้อเท็จจริงที่ว่ายมโลกของจีนเคยเป็นหนึ่งในยมโลกที่แข็งแกร่งที่สุด… เขาจะยอมพลาดโอกาสในการเข้าร่วมวต่อสู้ในครั้งนี้ไปได้อย่างไร ?!
เขาไล่สายตาดูเนื้อหาภายในกล่องจดหมายของสวี่อันกั๋วและพบว่ามีอีเมลอีกหลายฉบับที่ยังไม่ได้ถูกเปิดอ่าน หัวข้อของอีเมลเหล่านั้นล้วนคล้ายกัน – “ศูนย์วิจัย XX ขอเชิญอาจารย์ฉินและอาจารย์อีกสองท่านเข้าร่วมการประชุมแลกเปลี่ยนทางวิชาการ XX ที่จะถูกจัดขึ้นที่ XX”
“สถาบันวิจัย XX ขอเชิญ ขอเชิญอาจารย์ฉินและอาจารย์อีกสองท่านเข้าร่วมการประชุมแลกเปลี่ยนทางวิชาการ XX ที่จะถูกจัดขึ้นที่ XX”
แต่ชื่อของผู้ส่งและลักษณะของงานนั้นมีความหลากหลายเป็นอย่างมาก !
ดวงตาของซู่เฟิงเปลี่ยนเป็นสีแดงเล็กน้อยขณะที่เขามองดูอีเมลทั้งหมดด้วยความเหลือเชื่อ “ทั้งหมดนี่… ส่งมาเชิญพวกเราหรือครับ ?”
แม้แต่เหล่าศาสตราจารย์ทั้งหลายก็ยังไม่ได้รับโอกาสแบบนี้ !
“ใช่” สวี่อันกั๋วฉีกยิ้มให้อาจารย์ทั้งสามตรงหน้าของตน สำนักฝึกตนแห่งแรกกำลังได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก หากพูดกันตามตรง ศาสตราจารย์และแม้กระทั่งพวกผมที่เป็นผู้อำนวยการเองต่างก็พยายามค้นคว้าวิจัยและทำวิทยานิพนธ์อย่างหนักเพื่อตีพิมพ์ แต่พวกเรากลับไม่คิดเลยว่าผู้ที่จะไปถึงเส้นชัยเป็นคนแรกจะเป็นพวกคุณสามคนที่เป็นอาจารย์ผู้สอน
“ผู้ที่มีสิทธิ์ส่งจดหมายเชิญมาให้ผมทั้งหมดล้วนเป็นศูนย์วิจัยและสถาบันระดับต้น ๆ ของจีน การตัดสินใจสุดท้ายของพวกคุณเกี่ยวกับการประชุมแลกเปลี่ยนทางวิชาการจะถูกประกาศลงบนเว็บไซต์ฤกษ์มงคลเพื่อให้ทุกฝ่ายได้ทราบ และหลังจากนั้นพวกคุณทุกคนที่มีรายชื่อปรากฏอยู่ในรายการ ไม่ว่าจะเคยมีชื่อเสียงมาก่อนหรือไม่ จะถูกผลักดันไปสู่ชื่อเสียงทันที หากพูดกันตามจริง แม้แต่พวกระดับสูงของรัฐบาลกลางก็จะจับตามองมาที่พวกคุณตั้งแต่นี้เป็นต้นไป !”
“ยิ่งกว่านั้น ชื่อของพวกคุณจะถูกจดบันทึกไว้ในคลังข้อมูลพิเศษของผู้มีพรสวรรค์ทันทีที่คุณก้าวขึ้นสู่เวทีแรกในการประชุมแลกเปลี่ยนทางวิชาการ ! หลังจากนั้นคุณก็จะได้รับคำเชิญจากองค์กรต่าง ๆ …มันสามารถพูดได้เลยว่าพวกคุณได้จบการศึกษาก่อนที่สำนักฝึกตนแห่งแรกจะได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการเสียอีก ผู้คนมากมายต่างเดินทางมาที่นี่เพื่อทำให้ประวัติของพวกเขาสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น แต่พวกคุณ …ภายในภาคการศึกษาแรก กลับก้าวข้ามความสำเร็จที่คนพวกนั้นใฝ่ฝันหลังจากพยายามมาตลอดหลายสิบปี”
เขาสูดหายใจเข้าช้าๆและมองไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ “ผมส่งรายละเอียดของจดหมายเชิญพวกนี้ไปให้คุณผ่านทางแอปโม่โม่แล้ว ส่วนสาเหตุที่ผมเรียกพวกคุณมาที่นี่ก็เพื่อบอกให้พวกคุณเตรียมใจถึงสิ่งที่จะมาถึง ผมมั่นใจว่ามันจะต้องมีองค์กรและนักข่าวจำนวนมากที่มีความประสงค์จะสัมภาษณ์คุณในอีกไม่กี่วันหลังจากนี้ ผมได้ปรับตารางสอนของพวกคุณให้แล้ว หลังจากนี้ผมอยากให้พวกคุณไปหาศาสตราจารย์เถาเพื่อทำความเข้าใจในบางเรื่องกับเขาเพื่อที่จะพวกคุณจะได้ไม่ทำผิดพลาดและทำให้ชื่อของตัวเองหรือชื่อของสถาบันต้องเสื่อมเสีย !”
“ครับ!”
หลังจากนั้น ทั้งสามก็ใช้เวลาที่เหลืออยู่ทั้งหมดอยู่ในห้องทำงานของเถาหราน สถานที่ซึ่งพวกเขาได้เรียนรู้ถึงวิธีการรับมือกับสื่อของโลกแห่งการบ่มเพาะ สิ่งที่ควรพูดและไม่ควรพูด และอื่น ๆ อีกมากมาย พวกเขายังได้ตรวจทานร่างสุนทรพจน์ที่พวกตนได้เตรียมเอาไว้อีกด้วย ซึ่งกว่าที่ฉินเย่จะกลับมาที่ห้องของเขาก็เป็นเวลาเย็นมากแล้ว และเขาก็เหนื่อยมากจนอยากจะล้มตัวลงกับเตียงโดยเร็วที่สุด
ในขณะเดียวกัน ดูเหมือนว่าในที่สุดอาร์ทิสก็ตระหนักได้แล้วว่าแท้จริงแล้วนางเองก็เป็นตุลาการนรกตนหนึ่ง เมื่อฉินเย่ก้าวเข้าไปในห้อง เขาก็พบว่าบนพื้นเต็มไปด้วยแผ่นยันต์สีเหลืองจำนวนมาก และอาร์ทิสก็นั่งอยู่ท่ามกลางความเละเทะทั้งหมด จุ่มพู่กันลงในหมึกสีแดงเข้มเป็นครั้งคราวและวาดลวดลายลงบนยันต์เหล่านี้
มันเห็นได้ชัดเจนว่าอีกฝ่ายคือตุลาการนรกที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี
ทุกการเคลื่อนไหวของนางนั้นสง่างามและนุ่มนวล นางถกแขนเสื้อข้างหนึ่งของตนขึ้นด้วยมือข้างเดียวขณะที่มืออีกข้างยังคงนิ่งสนิทขณะที่นางค่อย ๆ วาดลวดลายอันงดงามลงไปบนแผ่นยันต์ด้วยการตวัดข้อมูลเพียงเล็กน้อย ในแต่ละจังหวะพู่กัน พลังหยินจำนวนหนึ่งจะก่อตัวขึ้นบนแผ่นกระดาษและจางหายไปอย่างรวดเร็ว และดอกบัวสีดำที่มีขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือก็จะปรากฏให้เห็นบ้างเป็นครั้งคราวภายใต้พู่กันก่อนจะล่องลอยไปในอากาศ
“นี่ท่านทำ…”
“หุบปากซะหากเจ้าไม่อยากตาย” อาร์ทิสไม่แม้แต่จะมองไปที่เด็กหนุ่ม จากนั้นนางก็ตวัดข้อมือของตัวเอง และลายเส้นสีแดงก็ปรากฏขึ้นบนแผ่นยันต์สีเหลือง ในวินาทีต่อมา แผ่นยันต์ทั้งแผ่นก็ลุกเป็นไฟราวกับผีเสื้อที่ถูกเผาไหม้ด้วยเปลวไฟนรกสีเขียวหยกและหายไปในอากาศ
“หึหึ…” นางแค่นหัวเราะออกมาอย่างประชดประชันและวางพู่กันลงข้างตัว “ดูเหมือนว่าข้าจะแก่แล้วสินะ… แม้แต่เรื่องง่าย ๆ พวกนี้ก็ทำไม่ได้เสียแล้ว…”
ฉินเย่หาโอกาสถามได้ในที่สุด “ท่านพยายามจะทำสิ่งใด ?”
อาร์ทิสลูบข้อมือยางของตนและหันไปมองฉินเย่ “เจ้าเคยประชันดาบกับโมริรันมารุหรือเปล่า ?”
ฉินเย่พยักหน้าอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก
“เช่นนั้นเจ้าก็คงตระหนักได้แล้วสินะ….” อาร์ทิสแค่นยิ้ม “ว่าเจ้าไม่สามารถกำจัดอีกฝ่ายได้ในทันที ?”
ฉินเย่กะพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง
ใช่แล้ว ยมทูตสมควรที่จะสามารถกำจัดวิญญาณอาฆาตได้ในการโจมตีเดียวตราบใดที่พวกเขามีพลังอยู่ในระดับเดียวกัน แต่เขา… กลับไม่สามารถจัดการกับโมริรันมารุได้เลยสักนิด !
ถ้าเป็นแบบนั้นมันก็แปลงว่าเขาจะไม่สามารถจัดการกับโอดะโนบูนางะได้ด้วยการโจมตีเดียวใช่ไหม ?
พระเจ้าเถอะ ! เขาต้องตายแน่ ! ฝ่านตรงข้ามเป็นขั้นยมทูตขาวดำที่แข็งแกร่งขนาดนั้น ! เดี๋ยวก่อนนะ… เราเองก็อยู่ขั้นยมทูตขาวดำเหมือนกันนี่… ไม่ นั่นไม่ใช่ประเด็น ! ประเด็นก็คือวิญญาณขั้นยมทูตขาวดำตนนี้ชื่อว่าโอดะโนบูนางะ และอีกฝ่ายก็ได้สร้างชื่อราชาปีศาจแห่งสวรรค์ชั้นที่ 6 ให้กับตัวเอง ! แบบนี้มันฟังดูเหมือนว่าเขากำลังเดินเข้าไปในกับดักแห่งความตายเลยไม่ใช่เหรอ ?!
สีหน้าของฉินเย่เปลี่ยนเป็นหวาดกลัวและขมขื่น มันใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่กว่าที่เขาจะสามารถตอบออกไปด้วยเสียงที่สั่นเทา “ถ้าเช่นนั้น… ท่านคิดว่ามันพอจะมีความเป็นไปได้หรือไม่ที่เราจะแอบขโมยถ้วยมา ? หรืออาจจะยืมมันเพื่อแย่งวิญญาณของโอดะโนบูนางะมาแล้วจึงคืนมันให้กับโรงประมูล ?”
“ไม่ ไม่มีทาง ฝันไปเถอะ” อาร์ทิสทำลายความฝันของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
“ประการแรก มันยังมีเงื่อนไขเบื้องต้นที่ว่าถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสีจะต้องจดจำผู้เป็นนายของของมันให้ได้เสียก่อน เจ้าถึงจะสามารถนำวิญญาณที่อยู่ภายในออกมาได้ ประการที่สอง มาตรการป้องกันของมันจะต้องแน่นหนามาก และข้าก็ไม่สามารถช่วยเจ้าได้เนื่องด้วยกฎข้อบังคับที่ว่ายมโลกห้ามเข้าไปแทรกแซงกิจการของแดนมนุษย์ ยิ่งกว่านั้นมันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่เจ้าจะได้มันมาในตอนนี้ ด้วยสถานการณ์ของเจ้า หากเจ้ามุ่งหน้าไปที่เมืองเยียนจิงเพื่อนำถ้วยมา ข้ารับรองเลยว่าทางหน่วยสอบสวนพิเศษจะต้องตามมาหาเจ้าภายในเวลาไม่ถึงสองวัน บางครั้งมันก็ไม่คุ้มกันกับที่จะต้องเข้าไปเสี่ยงในเมื่อเจ้าสามารถใช้เงินแก้ปัญหาได้ แน่นอน ถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสีนั้นมีค่า แต่เมื่อเทียบกับสิ่งที่เจ้าจะได้รับจากการเป็นส่วนหนึ่งของสำนักฝึกตนแห่งแรกแล้ว มันก็ไม่คุ้มค่าที่จะเสี่ยงเลยสักนิด”
ไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆ สำหรับตรรกะที่ไม่สามารถหักล้างได้พวกนี้
ฉินเย่หยิบโทรศัพท์ของตนออกมา กดเข้าไปในแอปและกดดูราคาตั๋วเครื่องบินสำหรับบินไปที่รัฐวาติกันทันที
ครู่ต่อมา แผ่นยันต์สองแผ่นก็ลอยไปอยู่ตรงหน้าของฉินเย่ ตามมาด้วยเสียงที่ดังสนั่นของอาร์ทิส “ข้านึกไว้อยู่แล้วว่าเจ้าจะต้องมีปฏิกิริยาเช่นนี้ ! ข้าพยายามทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อไม่ให้เจ้าปัดความรับผิดชอบของตัวเอง ! บรรพบุรุษของเจ้าที่อยู่ในหลุมศพจะต้องเสียใจหากพวกเขารู้ว่าลูกหลานของตนเป็นคนขี้ขลาดเช่นนี้ ! รับไปซะ และดูซะว่ามันมีไว้เพื่ออะไร !”
ฉินเย่ยืดหลังตรงทันที จากนั้นจึงจ้องเขม็งไปที่อาร์ทิส
เจ้าเล่ห์จริง ๆ …ทำไมนางถึงรู้จักตัวเขาดีถึงขนาดนี้ ? นี่นางหลงใหลในตัวตนด้านนั้นของเขาแล้วอย่างนั้นหรือ ? หัวใจของนางกำลังเบ่งบานด้วยความรักในฤดูใบไม้ผลิ ?
เด็กหนุ่มรับยันต์มาดูอย่างละเอียด ขณะที่อาร์ทิสอธิบายว่า “ยันต์เคลื่อนย้ายนพเคราะห์ทั้งเก้า ยันต์นี้สามารถใช้ได้เฉพาะตอนกลางคืนเท่านั้น ส่วนยันต์อีกแผ่นคือยันต์แม่ลูก ยันต์ลูก หรือยันต์รองมีไว้เพื่อกำหนดจุดหมายปลายทาง ในขณะที่ยันต์แม่ หรือยันต์ต้น มีไว้เพื่อย่นระยะการกระจัด เจ้าจะสามารถเดินทางข้ามระยะทางหลายพันลี้ได้ภายในชั่วพริบตา… ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ข้าได้เรียนรู้เมื่อตอนที่ยังเป็นยมทูต และข้าก็พยายามเขียนมันขึ้นมาเพื่อเจ้าโดยเฉพาะ ! เจ้าไม่คิดว่าตัวเองควรเอ่ยคำขอบคุณกับข้าสักนิดเลยหรือ ?!”
ฉินเย่ไม่แม้แต่จะตอบสนองความต้องการของตุ๊กตายางตรงหน้า เขาศึกษาแผ่นยันต์ตรงหน้าอยู่กว่าสามนาทีเต็มก่อนจะขมวดคิ้วยุ่ง “แต่นี่มันดูไม่ถูกต้องเลยสักนิด มันไม่มีพลังหยินอยู่บนยันต์พวกนี้เลย ท่านแน่ใจหรือว่ามันจะสามารถใช้ได้จริง ๆ?”
“มันใช้ไม่ได้” อาร์ทิสตอบเสียงเรียบ “ที่ข้าให้เจ้าก็เพื่อที่จะทำให้เจ้าสบายใจขึ้นเท่านั้น ข้าพอจะจำได้คร่าว ๆ ว่ามันควรจะมีลักษณะเป็นอย่างไรแต่ข้าลืมไปแล้วว่ามันต้องวาดอย่างไรกันแน่”
ให้ตายเถอะ !
บ้าไปแล้วเหรอ ?!
ถ้าเช่นนั้นอีกฝ่ายจะมอบมันให้เขาทำไมกัน ?! นะ นี่ …เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองควรเริ่มพูดจากตรงไหน !
“วิญญาณที่ยมทูตอย่างเราจะสามารถกำจัดได้ด้วยการดาบเดียวจะมีเพียงวิญญาณที่อยู่ภายใต้อำนาจของยมโลกตนเองเท่านั้น แน่นอน สำหรับพวกยมทูตนอกอาณาเขตเองก็เช่นกัน” อาร์ทิสอธิบายอย่างหงุดหงิด “ข้าคงไม่สามารถสบายใจได้หากข้าปล่อยให้เจ้าเดินทางไปยังสถานที่ที่ไม่รู้จักเพียงลำพัง… เอาเถอะ จะบอกให้ชัดก็คือข้าไม่ได้สนใจว่าเจ้าจะตายหรือไม่ ข้าเพียงไม่ต้องการให้เจ้าทำให้ยมโลกของจีนต้องขายหน้าต่อหน้ายมทูตจากญี่ปุ่นพวกนั้น เจ้ารู้หรือไม่ ยิ่งข้าคิดถึงมันมากเท่าไหร่ ข้าก็ยิ่งคิดถึงผลลัพธ์พวกนั้นมากยิ่งขึ้น… นั่นเป็นภาพที่แย่มากจริง ๆ”
นางถอนหายใจออกมา “ตัวเลือกเพียงอย่างเดียวในตอนนี้ก็คือขอยืมมือจากท่านหมิง”
“กระจกพูดมากนั่นน่ะหรือ ?”
“ ‘กระจกพูดมาก’ ที่เจ้าว่าได้อาบพลังของท่านแหยนหลาวหวาง พระยมในพระตำหนักที่ห้ามานานหลายร้อยปี ! นานจนสามารถแสดงร่องรอยพลังท่านออกมาได้ ยมทูตญี่ปุ่นพวกนั้นจะต้องทบทวนให้ดีเกี่ยวกับการที่จะปะทะกับเรา แม้ว่าพวกมันจะมีกองกำลังวิญญาณนับล้านตนมาด้วยก็ตาม” อาร์ทิสเอ่ยเสียงเย็น “เจ้าไม่เคยได้สัมผัสกับยุคสมัยอันรุ่งโรจน์ที่คำสั่งของยมโลกไม่เคยมีผู้ใดกล้าท้าทาย คำสั่งเพียงคำสั่งเดียวของหนึ่งในพระยมทั้งสิบสามารถหยุดกองกำลังของอิซานามิได้อย่างง่ายดาย ที่พวกมันกล้าขึ้นมาก็เพราะการล่มสลายครั้งใหญ่ของยมโลกเมื่อร้อยปีก่อน !”
“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าปล่อยให้เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของข้า ข้าจะพูดกับท่านหมิงในนามของเจ้าให้เอง”
เมื่อเอ่ยจบนางก็หายตัวไป ฉินเย่จึงเปิดแอปโม่โม่ของตนและเริ่มดูเอกสารที่สวี่อันกั๋วส่งมาให้
ฉินเย่รู้ดีว่าเขาไม่ใช่คนเลือดร้อนที่จะทำทุกอย่างตามแรงกระตุ้นจากการยั่วยุเพียงเล็กน้อย เหตุผลข้อเดียวที่เขา ผู้ซึ่งเป็นจ้าวนรกองค์ปัจจุบัน ถึงต้องเข้าร่วมสนามรบก็เพียงเพราะว่าตอนนี้เขายังไม่มีใครอยู่ใต้บัญชาการ และในเมื่อเขาไม่ได้มีฝีมือดีเหมือนอย่างนักรบที่เก่งกล้าหลายคน เขาก็ต้องเสริมในสิ่งที่ขาดไปด้วยอย่างอื่นแทน
เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นพวกขี้แพ้ ตรงกันข้าม… เขากลับค่อนข้างพึงพอใจในข้อเท็จจริงที่ว่าทุกคนล้วนมีจุดแข็งของตัวเอง
ยกตัวอย่างเช่น เขาเป็นเพียงคนเดียวในหมู่ผู้ฝึกตนที่สามารถเก็บเกี่ยวดวงวิญญาณ และเขาก็เป็นยมทูตเพียงตนเดียวที่สามารถแฝงตัวมาอยู่ในหมู่ผู้ฝึกตนได้สำเร็จ นอกจากนี้เขายังเป็นคนที่ไร้ยางอายมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา – คนที่ไม่มีขอบเขตเลยสักนิด !
“ไม่ว่าจะมองมุมไหน การเผชิญหน้าที่กำลังจะเกิดขึ้นครั้งนี้จะต้องเป็นการต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัวอย่างไม่ต้องสงสัย….” เขาเอ่ยออกมาขณะที่ไล่ดูเอกสารอย่างเรื่อยเปื่อย
และเขาก็เลือกสถานที่สำหรับการประชุมแลกเปลี่ยนทางวิชาการได้อย่างรวดเร็ว
การประชุมแลกเปลี่ยนทางวิชาการที่อาคารตงไห่ 653 มันถูกจัดขึ้นโดยอาคารตงไห่ 653 หนึ่งในสถาบันวิจัยระดับ S เพียงไม่กี่แห่งนอกเหนือจาก SRC
ถึงแม้ว่าเป้าประสงค์แรกในการออกไปข้างนอกของเขาในครั้งนี้จะเพื่อถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสี แต่การเดินทางก็ยังถูกสร้างขึ้นโดยข้ออ้างของการประชุมแลกเปลี่ยนทางวิชาการอยู่ดี มันจะน่าเสียดายมากหากจะปล่อยให้โอกาสที่จะได้เฉิดฉายต้องสูญเปล่า และเขาก็ไม่ต้องการให้ผู้เขียนร่วมอีกสองคนของเขาต้องผิดหวังเช่นกัน
เพราะอย่างไรแล้วเขาก็ยังต้องอยู่ที่สำนักฝึกตนแห่งแรกไปอีกสักพักใหญ่ แผนการแฮมเตอร์เพิ่งเริ่มขึ้นเท่านั้น แล้วแบบนี้เขาจะยอมปล่อยโอกาสสำคัญในการรักษาจุดยืนที่มั่นคงให้กับตัวเองไปได้อย่างไร ?
“เมืองตงไห่… เมืองที่ตั้งของสถาบันวิจัยระดับ S และอยู่ใกล้กับทะเลจีนตะวันออก…” เขาดูแผนที่บนหน้าจอแล็ปท็อปของตัวเองและพึมพำออกมาเสียงเบา “การประมูลจะถูกจัดขึ้นบนเกาะที่ทะเลหลวง ระหว่างปูซานและคิวชู มีเกาะบริเวณใกล้เคียงมากมายที่มีข้อพิพาทเรื่องดินแดนระหว่างประเทศ และผู้ประมูลบางคนน่าจะรู้สึกไม่สบายใจหากการประมูลถูกจัดขึ้นในสถานที่พวกนั้น ด้วยเหตุนี้ทะเลหลวงที่อันตรายและไร้กฎเกณฑ์จึงเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยมากที่สุด ผู้เข้าร่วมประมูลในครั้งนี้จะต้องเป็นผู้มีอิทธิพลอย่างแท้จริง…”
เด็กหนุ่มลูบคางของตัวเอง “เดินทางโดยเรือใช้เวลาประมาณ 30 นาที ที่สำคัญที่สุด… มณฑลอันฮุ่ยก็อยู่ติดกับมณฑลตงไห่ สถานที่ซึ่งเมืองตงไห่ตั้งอยู่ !”
ไม่มีสถานที่ไหนเหมาะกว่านี้อีกแล้ว !
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งฉินเย่ก็หยิบโทรศัพท์และกดโทรออก “สวัสดีครับคุณเกา”
และคนที่เขาต่อสายถึงก็คือเกาโย่วเหลียงแห่งกลุ่มบริษัทเครื่องเรือนจักรพรรดิ
“สวัสดีครับคุณฉิน” เสียงของเกาโย่วเหลียงนั้นดังและชัดเจน “มันจะเป็นการคิดไปเองหรือเปล่าว่าสาเหตุที่คุณโทรมาหาผมก็เพื่อที่จะนัดสถานที่สำหรับเจรจาของเรา ?”
แน่นอน…
แต่… คุณไม่ใช่บุคคลเดียวที่ผมจะเจรจาด้วยในการเดินทางครั้งนี้…
ฉินเย่มองไปทางทิศตะวันออกและหรี่ตาลงเล็กน้อย เขาสามารถพนันได้เลยว่าโรงประมูลเจียเต๋อจะเดินทางไปที่เกาะโดยใช้เส้นทางของทะเลจีนตะวันออก ! เพราะอย่างไรแล้วพวกเขาก็ไม่มีความกล้าพอที่จะเดินทางไปที่เกาะจากเมืองเยียนจิงภายใต้การจับตาดูของรัฐบาลกลางอย่างแน่นอน !
และหากเป็นเช่นนั้น… มันก็หมายความว่าการขนย้ายถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสีจะต้องหยุดลงช่วงหนึ่งระหว่างการเดินทางไปที่ทะเลตะวันออก บางที… เขาอาจจะสามารถเจรจาได้สำเร็จก่อนที่จะต้องเผชิญหน้ากับกองกำลังของอิซานามิ และด้วยวิธีนี้ เขาก็อาจจะสามารถหลบหนีได้อย่างง่ายดายขึ้นหากไม่มีอะไรผิดพลาด
ด้วยวิธีนี้ มันมีช่องทางอีกมากมายให้หลบหนี ยิ่งเขาคิดถึงมันมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าตงไห่นั้นเป็นตัวเลือกที่ถูกต้องที่สุดแล้ว !
“คุณฉินครับ ?” เกาโหย่วเหลียงเรียกคนปลายสายอีกครั้งหลังจากไม่ได้รับการตอบรับจากอีกฝ่าย
ฉินเย่ได้สติอีกครั้ง “คุณเกาครับ วันที่ 3-5 มิถุนายนผมจะเดินทางไปที่หอไข่มุกตะวันออก แล้วเจอกันที่นั่นนะครับ”
“เยี่ยมไปเลยครับ !” ย้อนกลับไปที่เมืองหลงเจียง เกาโย่วเหลียงนั่งอยู่ที่เก้าอี้ของตน สูดหายใจเข้าช้า ๆ “แล้วเจอกันครับ ผมตั้งหน้าตั้งตารอดูตัวอย่างสินค้าของคุณอยู่นะครับ ! หากทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี กลุ่มบริษัทเครื่องเรือนจักรพรรดิของเราก็ไม่มีปัญหาในการรับซื้อไม้ฮวงหัวลี่มูลค่าหลายพันล้านนี้แน่นอน !”