ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - ตอนที่ 135: กระจกส่องกรรม
บทที่ 135: กระจกส่องกรรม
อาร์ทิสเงียบไปครู่หนึ่งราวกับกำลังรวบรวมความคิดภายในหัว หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง นางก็เอ่ยขึ้นว่า “กระจกส่องกรรมนั้น…โดยพื้นฐานแล้วมันก็คือดาบ”
“มันถูกหลอมขึ้นจากหินห้าสีแบบเดียวกับที่เทพีนฺหวี่วาใช้ซ่อมแซมท้องฟ้า ไว้เฝ้ามองมนุษย์และตัดสินความในยมโลก นอกจากนี้ ทุกสิ่งที่เคยเห็นจะถูกบันทึกไว้ในกระจกส่องกรรม เจ้าจะสามารถดูบันทึกเหล่านี้ได้ตลอดเวลาตราบเท่าที่เจ้ายังเป็นยมทูตแห่งนรก”
ฉินเย่ขมวดคิ้วเข้าหากัน สัญชาตญาณของเขาบอกว่ามันยังมีอะไรบางอย่างมากกว่าที่ตาเห็น เพราะความรู้สึกเย็นยะเยือกไปตามกระดูกสันหลังที่เขารู้สึกได้เมื่อครู่เป็นหลักฐานแล้วว่ากระจกนี่….เจตนาปล่อยจิตสังหารมาที่เขา
“เมื่อครู่นี้เจ้าสัมผัสได้ถึงอันตรายหรือภัยคุกคามต่อชีวิตของเจ้าบ้างหรือไม่?” อย่างไม่คาดคิด อาร์ทิสถามออกมาอย่างตรงจุด “นั่นคือข้อพิสูจน์ กระจกส่องกรรมคือกฎของยมโลก มันไม่เคยปล่อยให้ความชั่วลอยนวล และไม่ปล่อยให้ความดีต้องรอนาน มันมีเกณฑ์ในการตัดสินของตัวเอง และมัน…ก็มีความรู้สึกเป็นของตัวเองด้วย”
“หากเจ้าทำการอะไรที่ทำให้ตัวตนของยมทูตต้องแปดเปื้อน อย่างเช่นยุ่งกับสมุดแห่งความเป็นตาย หรือการสร้างนรกส่วนตัวของเจ้าเองขึ้นมา มัน…ก็จะลบเจ้าออกไปจากโลกนี้โดยไม่ปรานี!”
“มันมีชีวิตอย่างนั้นเหรอ?” ฉินเย่จ้องไปที่กระจกในมือด้วยความเหลือเชื่อ แต่มันก็สะท้อนภาพของเขาเองเหมือนกับกระจกทั่วไป เด็กหนุ่มพลิกมันไปมาอยู่หลายรอบ แต่เขาก็ไม่ได้รับการตอบสนองที่ดูเหนือธรรมชาติจากมันเลยสักนิด
ทว่าขณะที่เขากำลังจะวางมันลง ฉินเย่ก็ชะงักไป หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ไม่สามารถต้านทานความต้องการที่จะจัดทรงผมของตัวเองหน้ากระจกได้
ใบหน้าของอาร์ทิสซีดเผือดไปทันที
ฉินเย่ยังคงไม่สะทกสะท้าน และยังคงชื่นชมใบหน้าของตนในกระจกอย่างต่อเนื่อง อืม…นายที่มันหล่อเหมือนเดิมไปเปลี่ยน…
“…โรคหลงตัวเอง รักษาอย่างไรก็ไม่หาย” อาร์ทิสถอนหายใจออกมาอย่างเวทนา
“อะแฮ่ม…นิสัยนี้ของข้ามันแทบจะกลายเป็นธรรมชาติไปแล้ว…” ฉินเย่กระแอมออกมา “แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น! ประเด็นหลักก็คือ…ข้ามีเคล็ดลับบางอย่างที่จะกระตุ้นให้มันตอบสนองเรา ไม่ว่ามันจะเย็นชาหรือหยิ่งยโสเพียงใด”
“…เจ้าต้องกำลังล้อเล่นแน่ ๆ!” อาร์ทิสมองฉินเย่ราวกับเห็นผี
แม้แต่อาร์ทิสเองก็ไม่เคยเห็นวิญญาณของกระจกส่องกรรมมาก่อน
ฉินเย่แสยะยิ้ม จากนั้นก็ลูบกระจกเบา ๆ “กระจกวิเศษ…บอกข้าเถิด….”
รอยยิ้มบนใบหน้าของอาร์ทิสหายไปทันที และถูกแทนที่ด้วยความจริงจัง
“….ใครงามเลิศในปฐพี?”
“เจ้ามัน@#%*&*$(&%!!” อาร์ทิสรู้สึกอยากจะตบยมทูตตรงหน้าขึ้นมาทันที! ข้าน่าจะรู้ดีว่าไม่ควรหวังอะไรจากเจ้า! ข้ามันโง่เอง!
นางโมโหจนสามเทพผี [1] ในร่างแทบจะหลุดออกมา แต่ขณะที่นางกำลังจะระเบิดอารมณ์ใส่ฉินเย่ จู่ ๆ พื้นผิวของกระจก…ก็เกิดการกระเพื่อม
อาร์ทิสแทบจะไม่เชื่อสายตาของตัวเอง!
ยมทูตคนสุดท้ายได้ถามคำถามแปลกประหลาดมากที่สุดออกมา แต่กระจก…กระจกส่องกรรมกลับตอบสนองจริง ๆ อย่างนั้นน่ะหรือ?!
มันตอบสนองหรือ?!
นี่เจ้ากำลังล้อข้าเล่นหรือเปล่า?!
ฉินเย่เองก็ผงะไปเล็กน้อยเช่นกัน แต่เขาก็รีบปรับสีหน้าของตัวได้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะมองออกไปนอกหน้าต่างมองก้อนเมฆที่ลอยอยู่ไกล ๆ “เป็นอย่างที่คิด…ความงดงามบนใบหน้าคือความเที่ยงธรรมที่สุด”
“แหวะ!” ทว่าก่อนที่ฉินเย่จะพูดอวยตัวเองจบ เปลวไฟนรกสีเขียวก็พุ่งออกมาจากกระจกในมือ จากนั้นข้อความสีแดงเข้มที่เอียงเล็กน้อยก็ปรากฏขึ้นบนผิวกระจก ราวกับมันถูกเขียนด้วยความโกรธเกรี้ยว “เอามือของเจ้าออกไป เจ้าคนน่าเกลียด!”
“….”
ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็เงียบไปทันที
หลังจากผ่านไปประมาณสองวินาที อาร์ทิสก็เอ่ยออกมาอย่างหวาดกลัว “มัวทำอะไรอยู่?!…รีบปล่อยมือของเจ้าซะ! เจ้าไม่รู้หรือว่านี่คือสมบัติในตำนานของยมโลก?! เชื่อหรือไม่ว่าการสร้างความเสียหายให้มัน แม้เพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้เจ้าได้รับโทษจำคุกในนรกไปตลอดชีวิต!”
“ไม่มีใครสามารถหยุดข้าได้!! อย่างไรข้าก็จะเค้นความจริงออกมาจากมันให้ได้! มองหน้าข้าและพูด!! พูดออกมาจากจิตใต้สำนึกของเจ้า!” ฉินเย่เอ่ยลอดไรฟันขณะที่เส้นเลือดบริเวณขมับของเขาเต้นตุบ ๆ อย่างไม่สามารถควบคุมได้ ร่างครึ่งบนของเขาหายออกไปนอกหน้าต่างแล้วครึ่งหนึ่ง ขณะที่อาร์ทิสก็ดึงเสื้อของเด็กหนุ่มเอาไว้อย่างลนลาน ช่างเป็นภาพที่ไม่น่าดูเลยสักนิด
แม้ว่ากระจกที่อยู่ในมือของฉินเย่จะแกว่งไปมาอย่างน่ากลัว แต่บรรทัดข้อความที่ดูเหมือนต้องการจะยั่วยุฉินเย่กลับยังคงปรากฏขึ้นบนพื้นผิวของกระจก “โยนเลย! โยน หากเจ้ากล้าพอ! แล้วมาดูกันว่าเจ้าจะสามารถสร้างความเสียหายให้ข้าได้หรือไม่!”
“อ๋อ แน่นอนข้าทำได้แน่! คิดก่อนที่จะพูดอะไร! เจ้าคิดหรือว่าข้าไม่กล้า?!” ตอนนี้เด็กหนุ่มกำลังคีบกระจกดังกล่าวด้วยนิ้วโป้งและนิ้วกลางอย่างอันตราย อาร์ทิสจ้องมองฉินเย่อย่างหวาดกลัวขณะที่ดึงร่างของฉินเย่
“เฮ้ย ๆ ๆ …แต่แผนที่ภาพรวมของนรกยังอยู่กับมัน! ช่างเป็นกระจกที่น่ากลัวจริง ๆ ได้โปรดเถอะ ปล่อยมือซะ! หรือถ้าเจ้าไม่ปล่อย ข้าจะตะโกนบอกทุกคนแถวนี้ว่าเจ้าจะข่มขืนข้า?!”
ฉินเย่กลืนน้ำลายอย่างเป็นกังวล ทันใดนั้นเขาก็หันหน้าและดึงตัวกลับเข้ามาในห้องตามเดิม จากนั้นก็มองไปยังอาร์ทิสด้วยสีหน้าเหมือนได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง
“อาร์ตี้ ข้าบอกท่านกี่รอบแล้วว่าท่านสามารถทุบตีหรือฆ่าใครก็ได้ แต่ท่านไม่ควรทำเรื่องน่าละอายเช่นนี้ จงใช้ชีวิตอย่างมีค่า และตายอย่างวีรบุรุษ ข้าผู้เป็นยมทูตจะยอมปล่อยให้ดวงวิญญาณมาปั่นหัวเล่นแบบนี้ได้อย่างไร? แล้วข้าบอกกี่ครั้งแล้วว่าให้ท่านปล่อยมือ?! วิญญาณบางตนก็ควรที่จะได้รับบทเรียนเพื่อที่จะได้รู้ว่าแท้จริงแล้วใครคือเจ้านายของมัน!”
อาร์ทิสมองมือของตนที่กอดเอวของอีกฝ่ายไว้แน่น จากนั้นจึงจ้องฉินเย่ด้วยสายตาเย็นยะเยือก “เจ้าหนู…เจ้าอยากตายจริง ๆ สินะ?”
“แต่ในเมื่อท่านอุตส่าห์ขอร้องข้าถึงเพียงนี้ ข้าก็จะยอมเมตตาให้สักครั้งและยอมรับคำขอร้องของท่านก็แล้วกัน…ข้าจะยอมปล่อยให้มันมีชีวิตต่อไปก็ได้” ฉินเย่เดินกลับไปที่เตียงพร้อมกับเอ่ยขึ้นและวางกระจกลงด้านข้าง จากนั้นเขาก็หยิบปลอกหมอนขึ้นมาและเริ่มเช็ดและขัดเงาให้กับมันอย่างแผ่วเบา
การเคลื่อนไหวของเขาเป็นธรรมชาติและราบรื่นอย่างไม่น่าเชื่อ
“หืม? ไม่ใช่ว่าเมื่อกี้มีใครบางคนพยายามที่จะทำลายกระจกบานนี้อยู่แล้วรึ? ข้าขอเตือนเจ้านะ ข้าจะไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไปง่าย ๆ แน่! ข้าเคยอยู่ในยมโลกมานานหลายพันปี แต่ข้ายังไม่เคยเห็นผู้ใดที่กล้าทำตัวหยิ่งยโสต่อหน้าข้าผู้นี้เฉกเช่นเจ้ามาก่อน!” บรรทัดข้อความปรากฏขึ้นติดต่อกันอย่างรวดเร็วบนผิวกระจก
ฉินเย่ขมวดคิ้ว “ในฐานะของสมบัติอมตะ เจ้าช่วยมีความอดทนมากกว่านี้สักนิดไม่ได้หรือ?”
จากนั้นเขาก็รีบหันไปหาอาร์ทิสและเอ่ยว่า “อาร์ตี้ รีบขอโทษสิ ท่านไม่เห็นหรือว่าท่านทำให้มันโกรธแล้ว?!”
เงียบกริบ
หลังจากผ่านไปสามวินาที….โครม ร่างของฉินเย่กระเด็นไปกระแทกกับประตูห้องและล้มลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง
“นายท่าน ท่านไม่จำเป็นต้องสนใจเขาเลยสักนิด” อาร์ทิสยิ้มขณะที่เดินไปหากระจกส่องกรรมและโค้งคำนับมันและเอ่ยว่า “ข้า….”
“ข้ารู้ อรากษส ไม่ใช่ว่าเจ้าคือผู้ที่ทำให้เกิดเหตุระเบิดที่หว่างกงฉ่างเมื่อครั้งนั้นและถูกข้าเนรเทศไปที่หุบเหวลึกบริเวณสะพานไน่เหออย่างนั้นหรือ? เจ้าสามารถหลบหนีออกมาจากเนรเทศได้อย่างไร? บอกข้ามา” บรรทัดข้อมูลสองสามบรรทัดปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
ฉินเย่ได้ยินเสียงลมปริออกมาจากมือที่เป็นยางของอาร์ทิส
เสียงที่ออกมาจากตุ๊กตายางเมื่อครู่นี้แสดงถึงความโกรธของอาร์ทิสได้เป็นอย่างดี
“นายท่าน…” ฉินเย่ก้มหน้าและยิ้มออกมาอย่างช้า ๆ “เมื่อครู่นี้ข้าเพียงล้อเล่นเท่านั้น…ข้า….หมายความว่า แดนมนุษย์ในยามนี้กำลังเกิดวิกฤตการณ์เหนือธรรมชาติอยู่ ในขณะที่ข้าเป็นผู้จัดการกิจการในนรกเพียงคนเดียวเท่านั้น มันเป็นเรื่องยาก แต่ในที่สุดข้าก็สามารถรวบรวมทีมก่อสร้างที่มีฝีมือได้ พวกเขาพร้อมที่จะเริ่มงานได้ทันที และสิ่งเดียวที่พวกเราขาดตอนนี้ก็คือแผนที่ภาพรวม ท่าน…จะใจดีพอที่จะมอบมันให้กับข้าได้หรือไม่?”
“ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ของข้า” กระจกส่องกรรมตอบกลับมาด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ แต่ก่อนที่ประโยคบนผิวกระจกจะขึ้นจนครบ
อาร์ทิสก็เอ่ยแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “นายท่าน นี่มิใช่เรื่องที่น่าหัวเราะเลยสักนิด ถึงแม้ว่ากระจกส่องกรรมจะเป็นสมบัติอมตะ แต่ท่านได้รับความเสียหายมากเพียงใดตอนที่นรกล่มสลาย? มีเพียงพวกข้าเท่านั้นที่จะสามารถช่วยท่านกลับสู่สภาพเดิมได้ เหล่าวิญญาณจะต้องออกอาละวาดทันทีที่แดนมนุษย์ล่มสลาย และเมื่อเวลานั้นมาถึง พวกเราก็จะไม่สามารถรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นในแดนมนุษย์ได้ นับประสาอะไรกับการมีเวลามาปลดปล่อยวิญญาณของท่านและซ่อมแซมสมบัติอมตะ!”
ทั้งห้องถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบ
หลังจากผ่านไปสักพัก กระจกส่องกรรมก็เอ่ยขึ้นว่า “สาวน้อย…เจ้ามองเห็นบาดแผลบนร่างของข้าอย่างนั้นหรือ?”
อาร์ทิสโค้งคำนับอย่างนุ่มนวล “ครั้งหนึ่งข้าเองก็เคยเป็นตุลาการนรกผู้ทำหน้าที่ดูแลทั่วทั้งมณฑล ท่านเป็นสมบัติอมตะที่ไม่สามารถเปิดเผยจิตวิญญาณของตนเองได้ ยิ่งกว่านั้น ตอนที่ข้าปลดผนึกท่านก่อนหน้านี้ ท่านก็ไม่สามารถทะลุผ่านมิติกักขังของข้าไปได้ ทั้งหมดนี้มีความหมายเพียงอย่างเดียว…และนั่นก็คือพลังของท่านในตอนนี้นั้นไม่ได้มากไปกว่ายมทูตยาวดำเลยสักนิด”
ทุกอย่างตกสู่ความเงียบอีกครั้ง
หลังจากผ่านไปประมาณสิบนาที กระจกส่องกรรมก็ขจัดเสี้ยนหนามของมันออกไปและเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำกว่าเดิม ทว่ามันก็ยังไม่สามารถบอกได้เลยว่าวิญญาณดวงนี้เป็นชายหรือหญิง “สถานการณ์ที่โลกมนุษย์ในตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
จากนั้นเป็นเวลากว่า 30 นาทีที่ฉินเย่เล่าถึงสถานการณ์ในแดนมนุษย์และอธิบายการเตรียมการทุกอย่างที่เขาได้ดำเนินการไปแล้วในนรกให้กับอีกฝ่ายฟัง
กระจกส่องกรรมเงียบไป หลังจากผ่านไปสักพักใหญ่ มันก็ถอนหายใจออกมา “พิภพเดรัจฉาน พิภพอสูร และพิภพเปรต…คิดว่าราชาผีทั้งสามไม่ได้ถูกปัดเป่าไปเมื่อครั้งที่นรกล่มสลาย….”
กระจกหันหน้าไปเผชิญหน้ากับฉินเย่ตรง ๆ แต่ครั้งนี้เงาที่สะท้อนบนกระจกของฉินเย่กลับพูดว่า “ข้าให้เวลาอย่างมากที่สุด 10 ปี สงครามระหว่างแดนมนุษย์และกองกำลังจากยมโลกจะต้องอุบัติชึ้นเป็นแน่ พวกเขา…ไม่ได้ใจดี! แม้ว่าข้าจะเคยเห็นวิญญาณชั่วร้ายมามาก แต่ราชาผีพวกนั้น…เป็นผีที่ชั่วร้ายและเลวทรามที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นมา!”
“ท่านเคยเห็นพวกเขามาก่อนอย่างนั้นหรือ?” แววตาของฉินเย่กะพริบถี่
“ใช่…” กระจกส่องกรรมสูดหายใจเข้าลึก “ตอนนั้น ตอนที่กงล้อแห่งสังสารวัฏถูกสร้างขึ้นมาในช่วงแรก มันไม่มีความเสถียรเลยสักนิด และพวกเราก็ต้องการวิญญาณที่ชั่วร้ายที่สุดในทุกยุคสมัยเพื่อที่จะทำหน้าที่เป็นรากฐานของมัน เพื่อที่จะจับตัวดวงวิญญาณดังกล่าว…ทางนรกได้ระดมกองกำลังฝู่จวินทั้ง 18 ราชันย์วิญญาณสามตน ตุลาการนรกมากกว่า 200 ตน และยมทูตขาวดำ นักล่าวิญญาณและยมเทพอีกจำนวนมาก…และพวกเจ้าอย่าคิดเชียวว่าข้าสามารถเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของพวกมันได้ เพราะแม้แต่ข้า…ก็ไม่สามารถเปิดเผยความชั่วร้ายของมันพวกมันได้เช่นกัน”
ฉินเย่อ้าปากค้าง “ถ้าเช่นนั้น…ค่าดัชนีพลังหยินของวิญญาณพวกนั้นคือเท่าใดกัน หากสมมติว่าค่าดัชนีพลังหยินของตี้ทิงนั้นอยู่ที่ 30 ล้าน?”
กระจกส่องกรรมครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “อย่างน้อยแต่ละตนก็น่าจะประมาณ 12 ล้าน!”
ภายในหัวของอาร์ทิสและฉินเย่มึนงงทันที
“ฝู่จวินสูงสุด…ผู้ที่ใกล้จะได้เป็นพระยม ไม่แปลกใจ…ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดนรกจึงต้องระดมพลคนจำนวนมากขนาดนั้น…” อาร์ทิสพึมพำ
“แม้ว่าพวกเขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัสในการหลบหนีจากพระกษิติครรภโพธิสัตว์ในครั้งที่พระองค์ทรงตรัสรู้ แต่ค่าดัชนีพลังหยินก็คงเกินล้านไปแล้วในตอนนี้!”
หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ มันยังมีดวงตาแดงก่ำอีกสามคู่ในแดนมนุษย์ที่อาจจะจับตาดูการกระทำของพวกนางอยู่
กระจกส่องกรรมสูดหายใจเข้าลึก ๆ อีกครั้ง “เจ้าหนู…ในฐานะที่เจ้าเป็นยมทูตที่ยายเมิ่งเป็นผู้เลือกด้วยตนเอง ข้าก็จะยอมมองข้ามเหตุการณ์ที่ผ่านมา เมื่อลงไปด้านล่าง เจ้าจงแขวนกระจกบานนี้ไว้ที่ด้านบนสุดของประตูนรก มันจะเป็นประโยชน์ต่อตัวเจ้า”
“ส่วนเรื่องแผนที่ภาพรวม ข้ามีมันอยู่กับตัวจริง ๆ หากพูดกันตามตรง ยายเมิ่งเพิ่งได้รายงานกับท่านเปา [2] เมื่อนางสัมผัสได้ถึงการตรัสรู้ของพระกษิติครรภโพธิสัตว์ ปฏิกิริยาแรกของนางในตอนนั้นก็คือคว้าข้าและให้ข้าดูแผนที่ภาพรวมของนรกทั้งหมด ช่างมีสติปัญญาล้ำเลิศจริง ๆ….”
ฉินเย่ถามเสียงอ่อน “อ่าา…ยายเมิ่งแข็งแกร่งถึงขนาดนั้นเลยอย่างนั้นหรือ? นางถึงสามารถมุ่งหน้าจากพระตำหนักของท่านเปาไปยังที่ที่ท่านอยู่ได้ในชั่วพริบตา?”
อาร์ทิสเอ่ยตอบเด็กหนุ่มอย่างไม่แยแสนัก “ท่านเปาคือผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบพระตำหนักที่ 5 ของนรก นามเต็มของท่านคือเปาเจิ่ง เจ้าเองก็คงจะรู้ดีว่าท่านคือใคร กระจกส่องกรรมคือสิ่งที่ท่านจ้าวนรกส่งมอบให้กับท่านเปาด้วยตัวของพระองค์เอง มันถูกแขวนไว้ในพระตำหนักที่ 5 คอยชั่งน้ำหนักการกระทำชั่วทั้งหมด ข้อเท็จจริงที่ว่านางสามารถนำมันมาได้ไม่ใช่เรื่องที่น่าอัศจรรย์ขนาดนั้น”
ฉินเย่พยักหน้า และมองไปยังกระจกส่องกรรมอย่างจริงใจ “ถ้าเช่นนั้น…เมื่อใดท่านถึงจะมอบแผนที่นั่นให้กับข้า?”
“ตอนนี้เลย”
และก่อนที่มันจะเอ่ยจบ ลำแสงสีแดงก็พุ่งตรงไปที่บริเวณกลางหน้าผากของฉินเย่ เด็กหนุ่มรู้สึกได้ว่าร่างของเขาสั่นสะท้านอย่างรุนแรง เขากะพริบตาหนึ่งครั้ง จากนั้นก็หมดสติและล้มลงกับพื้นอย่างแรง
“เขาจะเป็นอะไรหรือไม่?” อาร์ทิสถาม
“เขาไม่เป็นอะไรหรอก” กระจกส่องกรรมตอบ “ยมโลกแห่งเก่านั้นมีขนาดใหญ่มาก พื้นที่ทั้งหมดของมันครอบคลุมพื้นที่หลายล้านตารางกิโลเมตร ข้าเพิ่งใส่ข้อมูลพวกนี้เข้าไปในหัวของเขาด้วยเวทมนตร์บางอย่าง อาจเป็นเพราะว่าข้อมูลพวกนั้นมีมากเกินไป และเขาก็ไม่สามารถประมวลผลมันได้ทั้งหมดในคราวเดียว แต่เดี๋ยวอีกไม่กี่วันเขาก็จะฟื้นเอง”
ฉินเย่ไม่สามารถได้ยินสิ่งที่ทั้งคู่พูดได้อีกต่อไป
ในวินาทีนี้ แม้ว่าร่างกายกายภาพของเขาจะหมดสติไป แต่จิตของเขากลับถูกเคลื่อนย้ายไปยังโลกที่กว้างใหญ่อย่างไม่สามารถหาที่เปรียบได้
พลังหยินมากมายไหลเวียนอยู่ในอากาศ ท้องฟ้าปกคลุมไปได้วยสายฟ้าสีแดง ในขณะที่เสาไฟนรกสีเขียวขนาดมหึมาพุ่งขึ้น 1 หมื่นฟุตจากพื้นดิน มหานครขนาดใหญ่ที่ยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของเขา
วิญญาณนับล้านมารวมตัวกันจากทุกทิศทาง พลังหยินที่น่าสะพรึงกลัวของสถานที่แห่งนี้ทำให้ลมหายใจของเขาติดขัด แต่ในขณะเดียวกัน ฉินเย่ก็รู้สึกราวกับว่าตนกำลังมองทุกอย่างจากดวงตาของจักรพรรดิสวรรค์ที่จ้องมองไปยังมหานครที่ยิ่งใหญ่อย่างน่าเหลือเชื่อ!
อนุสาวรีย์หินตั้งตระหง่านอยู่ที่ประตูสู่นคร และตัวอักษรสีแดงเลือดถูกเขียนด้วยลักษณะที่ทรงพลัง!
นรก!
กงล้อแห่งสังสารวัฏ พระตำหนักทั้ง 10 ขุมนรกท้ัง 18 ขุม สะพานไน่เหอ หินสามชาติภพ [3]….ทุกอย่างล้วนอยู่ที่นี่ มันคือภาพของนรกก่อนที่เหตุหายนะที่ทำให้นรกเกิดกลียุคครั้งใหญ่จะอุบัติขึ้น!
[1] มักรู้จักกันในชื่อของสามอสุภะ หรือสามพยาธิ เป็นแนวคิดทางสรีรวิทยาของลัทธิเต๋าที่เชื่อว่าในร่างกายของมนุษย์นั้นมีปีศาจร้ายสิงอยู่ และพวกมันก็พยายามที่จะเร่งการตายของเจ้าของร่าง เพื่อที่สาวกเต๋าจะได้รับชีวิตนิรันดร์ พวกเขาจะต้องขจัดสามอสุภะออกจากร่างให้ได้
[2] อ้างอิงถึงเปาเจิ่ง หรือเป็นที่รู้จักในนาม ‘เปากง’ หรือเปาบุ้นจิ้น ตุลาการผู้ใช้สติปัญญาของเขาในการเอาชนะการทุจริตในเหตุการณ์ต่าง ๆ
[3] ก้อนหินที่วางอยู่บริเวณริมแม่น้ำแห่งความหลงลืมซึ่งบันทึกชีวิตในชาติที่แล้วและชาตินี้ของเราเอาไว้ทั้งหมด