ฉันก็แค่อยากตาย แต่ไหงต้องมาเกิดใหม่ด้วยล่ะ! - ตอนที่ 40 คำบอกเล่าของลูเมี่ยน
“ฟันเฟือง? มันมีระบบกลไกการทำงานของมันเหรอ?”
ยูริตระหนักได้อย่างรวดเร็วถึงความแตกต่างระหว่างกฎธรรมชาติและกฎระเบียบที่พระเจ้าสร้างขึ้น
หากพิจารณาจากชื่อ ระบบกลไกการทำงานต่างๆ ของ ‘ฟันเฟืองแห่งโลก’ มันอาจจะคล้ายๆ กับเครื่องจักรที่มีกลไกการทำงานที่สลับซับซ้อน แต่ในขณะเดียวกันมันก็ไม่อาจใช้งานได้หากปราศจากผู้ที่คอยควบคุมแผงวงจรของมัน
มันต่างจากกฎธรรมชาติที่ดำเนินไปด้วยรูปแบบของตัวมันเอง ไม่จำเป็นต้องมีใครมาควบคุม และไม่ต้องการให้ใครมาควบคุม
แม้ว่าช่วงแรกๆ เธออาจจะสับสนอะไรหลายๆ อย่างเกี่ยวกับสามัญสำนึกของโลกนี้ไปบ้าง แต่อย่างน้อยๆ ตอนนี้เธอก็เข้าใจโลกนี้มากขึ้นแล้ว
จุดสำคัญที่ทำให้เธอทำความเข้าใจได้อย่างรวดเร็วว่าฟันเฟืองของโลกมีกลไกการทำงานยังไง มันมาจากการทำความเข้าใจว่าพลัง ตัวตน ตำแหน่ง และความสำคัญต่างๆ ของโลกนี้มักจะสอดคล้องกับ ‘ชื่อ’ อยู่เสมอๆ
ยกตัวอย่างเช่น อโลวีนัสได้ ‘ชื่อ’ ว่าเป็นเทพธิดาแห่งความหวัง แสงสว่าง และปาฏิหาริย์ เพราะพลังอำนาจของยัยนั่นสามารถบงการแสงสว่างและความศรัทธาของมวลมนุษย์ได้
ดังนั้น เธอจึงนำความหมายของชื่อ ‘ฟันเฟืองแห่งโลก’ ไปเชื่อมโยงกับระบบและกลไกการทำงานที่มีลำดับขั้นตอนของอุปกรณ์ที่เรียกว่าฟันเฟือง และตีความมันออกมาได้ว่า
‘หากจะเรียกกฎระเบียบของพระเจ้าว่าฟันเฟือง นั่นก็แปลว่าระบบต่างๆ ที่พระผู้เป็นเจ้านั้นสร้างมันขึ้นมามันทำงานได้ด้วยตัวของมันเอง’
‘ถ้าให้อธิบายง่ายๆ มันเหมือนเวลาที่นักพัฒนาเกม (พระเจ้าผู้สร้าง) ได้เขียนโค้ดและสร้างระบบต่างๆ ภายในเกมขึ้นมา และเมื่อผู้เล่น (โชคชะตา) ได้ลงมือเล่นเกม ระบบต่างๆ ภายในเกมก็จะดำเนินไปตามโค้ดที่เขียนขึ้น’
‘หากผู้สร้างได้สร้างกฎที่ว่า หากไม่มีปีกก็จะไม่สามารถโบยบินอยู่เหนือฟ้า ระบบของโลกก็จะดำเนินไปตามนั้น หากมนุษย์ผู้หนึ่งตกเหวตาย นั่นไม่ใช่เพราะพระเจ้าได้ผลักเขาตกลงไปโดยตรง แต่เป็นเพราะกฎระเบียบแห่งการโบยบินที่พระเจ้าได้สร้างขึ้นต่างหาก’
‘เหมือนที่เวลาตัวละครในเกมตาย ตัวละครนั้นตายเพราะถูกโปรแกรมมาแบบนั้น ไม่ใช่เพราะผู้พัฒนาเกมแอบเฝ้ามองผู้เล่นจากใต้เตียงแล้วแอบแฮกเข้าไปในไอดีเกมของผู้เล่น’
‘ดังนั้น บางครั้ง พระเจ้าก็คงไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าระเบียบที่ตัวเองสร้างขึ้นนั้นได้คร่าชีวิตไปกี่คนแล้ว’
“ประมาณนั้นแหละ ดูจากสีหน้าแล้วคุณน่าจะเข้าใจแนวคิดและระบบการทำงานของมันแล้วงั้นสิ? โอเค งั้นผมขออธิบายต่อเลยแล้วกัน ระดับที่ห้าคือตัวตนที่สร้าง ‘ฟันเฟืองแห่งโลก’ ขึ้นมา และสาเหตุที่ระดับสองสามารถแหกกฎระเบียบได้นั้น นั่นก็เพราะกฎระเบียบที่พวกนั้นแหกไม่ใช่กฎระเบียบที่ระดับห้าสร้างขึ้นมา แต่เป็นระเบียบที่มีอยู่แต่เดิม”
เข้าใจแล้ว สรุปก็คือแม้ว่าระดับสองจะมีพลังมากพอที่จะแหกกฎเกณฑ์ของธรรมชาติได้ แต่มันก็ไม่รวมไปถึงกฎระเบียบที่ตัวตนในระดับที่ห้าสร้างขึ้นมา
สรุปแล้ว ระดับห้ายังคงแข็งแกร่งกว่าระดับสองมากอยู่ดี
“อยากพักหายใจสักหน่อยไหม?”
โนอาถามด้วยท่าทีเป็นห่วง เขารู้สึกว่าข้อมูลที่ตัวเองมอบให้อีกฝ่ายนั้นเยอะและต้องใช้เวลานานในการทำความเข้าใจและย่อยมัน แต่เด็กสาวกลับส่ายหน้า
“ไม่ต้อง สิ่งผิดปกติมีทั้งหมดเจ็ดระดับ นายอธิบายไปแล้วห้าระดับ ไหนๆ ก็ใกล้จะครบแล้วก็ทำให้มันจบๆ ไปเลย”
นอกจากนั้น ในฐานะของคนที่เคยปวดหัวกับการพยายามจดจำความเป็นไปได้นับล้านๆ รูปแบบของหมากรุก แม้ว่าสุดท้ายจะจำได้แค่ห้าร้อยรูปแบบก็เถอะ แต่บอกได้เลยว่าแบบนั้นมันปวดหัวกว่าการมาฟังข้อมูลแบบนี้เยอะเลย
“โอเค…ถ้าไม่ไหวก็บอกได้ ผมอาจจะบอกว่ามันเป็นข้อมูลสำคัญก็จริง แต่ไม่ได้แปลว่าคุณต้องฝืนหรอกนะ งั้น ระดับต่อไป ระดับที่หก ‘นอกตรรกะ’ “
นอกตรรกะ?
“ขอเดานะ? ระดับนี้อยู่เหนือกฎเกณฑ์ทางธรรมชาติ อยู่เหนือเหตุและผลของโลก และเป็นตัวตนที่โชคชะตาทำอะไรไม่ได้ใช่มะ?”
ยูริคาดเดา หากฟังจากชื่อและนำไปเปรียบเทียบกับชื่อและพลังของลำดับก่อนๆ หน้านั้น มันคือตัวตนที่อยู่เหนือกฎเกณฑ์อย่างแท้จริง
“ถูกต้อง แต่ถ้าให้ถูก แม้จะอยู่เหนือกฎระเบียบ แต่มันก็ยังอยู่ภายใต้โชคชะตาอยู่นะ”
เดี๋ยวนะ? นั่นหมายความว่าโชคชะตาคือสิ่งที่อยู่เหนือกว่ากฎระเบียบของโลกงั้นเหรอ? ตอนแรกเธอก็นึกว่าโชคชะตาคือส่วนหนึ่งของธรรมชาติเสียอีก
“ฮะแฮ่ม ก่อนหน้านี้คุณอาจจะเข้าใจผิด ตรรกะและเหตุผลที่ผมพูดถึงมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้มันจะเกี่ยวข้องกับกฎเกณฑ์ต่างๆ ของจักรวาล เช่นแรงโน้มถ่วง ความเร็วแสง เวลาและพื้นที่ รวมไปถึงการย้อนอดีตและการระลึกชาติด้วย แม้แต่แนวคิดที่ว่าเมื่อตายไปแล้วจะกลายเป็นวิญญาณคอยหลอกหลอนผู้คนก็นับว่าเป็นตรรกะและเหตุผลด้วย”
โนอากระแอมไอและอธิบายอย่างละเอียด
เข้าใจล่ะ เอาง่ายๆ ว่ากฎระเบียบมันคือแนวคิดพื้นฐานของสรรพสิ่ง ทั้งแนวคิดที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม แนวคิดทางชีวะวิทยา คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ การดำรงอยู่ของตัวตนบางอย่าง
“แต่โชคชะตาไม่ใช่อะไรแบบนั้น มนุษย์พยายามจะวิจัยมันมานานหลายหมื่นปีแล้ว แต่สุดท้ายมนุษย์ก็ไม่สามารถให้คำนิยามใดๆ เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่าโชคชะตาได้เลย”
หากการมีอยู่ของระเบียบแห่งตัวตนทำให้มนุษย์สามารถสรรหาคำมานิยามหรือใช้คำจำกัดความกับมันได้ โชคชะตาจะเป็นสิ่งที่แม้แต่มนุษย์ยังไม่อาจให้คำอธิบายได้
หากมนุษย์ผู้หนึ่งสามารถให้คำอธิบายกับปรากฎการณ์เหนือธรรมชาติบางอย่างได้ว่าเป็นยังไง เช่นหลักการทำงานของเวทมนตร์ลอยตัว หรือกลไกการปล่อยพลังเวทของสัตว์ร้าย โชคชะตาจะเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถอธิบายกระบวนการทำงานของมันได้ ทำได้เพียงคาดเดาและสร้างสมมุติฐานขึ้นมาเอง และแน่นอนว่าพวกเขาไม่มีวันไปถึงคำตอบที่แท้จริง
หากมนุษย์สามารถอธิบายได้ว่าแรงโน้มถ่วงคืออะไร เกิดจากอะไร และมีกลไกการทำงานแบบไหน โชคชะตาจะเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่มีวันเข้าใจ ไม่มีวันอธิบายได้ ไม่สามารถใช้ทั้งวิทยาศาสตร์และเวทมนตร์มาอธิบายได้
“ดังนั้น แม้ว่าระดับที่หกจะทรงพลังอย่างน่าเหลือเชื่อ แต่มันก็ยังไม่ทรงพลังพอที่จะอยู่เหนือโชคชะตาได้”
แม้ว่าจะทรงพลังในระดับที่อยู่เหนือกฎระเบียบของโลก แต่สุดท้ายก็ยังเทียบชั้นโชคชะตาไม่ติดงั้นเหรอ…
แล้วถ้าเกิดว่าเป็นแบบนั้น พระเจ้าล่ะ? อยู่เหนือโชคชะตารึเปล่า?
โนอาคิดว่าพระเจ้าคือผู้สร้างโชคชะตาขึ้นมา นั่นหมายความว่าระดับตัวตนของโชคชะตายังไม่อาจเทียบเท่ากับ ‘พระเจ้า’ ได้เลยไม่ใช่เหรอ?
“…ต่อไปคือระดับที่เจ็ด ระดับสุดท้ายที่มนุษย์รู้ว่าแข็งแกร่งที่สุดในตอนนี้”
ในตอนนี้…พูดราวกับว่าอนาคตอาจจะมีอะไรที่แข็งแกร่งกว่างั้นแหละ
“พระเจ้าผู้สร้าง เทพปีศาจ เทพบรรพกาล และเหล่ามารโบราณในอดีตที่แข็งแกร่งเทียบเท่าเทพมารเบนิล”
เดี๋ยวนะ…
ระดับที่เจ็ดคือพระเจ้าไม่ใช่เหรอ?
“เอ่อ สิ่งผิดปกติระดับที่เจ็ดคือพระเจ้าเหรอ?”
นี่มันบ้าอะไร? เธอนึกไม่ถึงเลยว่าระดับที่เจ็ดจะเป็นถึงเทพแท้จริงแบบนี้! ปกติมนุษย์ของโลกนี้ศรัทธาพระเจ้าไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงทำอะไรอย่างการ ‘จัดอันดับ’ แบบนี้ล่ะ? นี่มันโคตรจะลบหลู่เลยไม่ใช่เหรอ?
“ก็…ไม่เชิง อย่างที่ผมเล่าไปว่าสิ่งผิดปกติเกิดมาจากคำสาปและความโกรธแค้นของเทพมารเบนิล สิ่งผิดปกติในระดับที่หนึ่งถึงหกจึงถือว่าเป็น ‘สิ่งผิดปกติ’ ที่แท้จริง”
“ส่วนระดับที่เจ็ด…ความจริงแล้วมันไม่ใช่ระดับที่เป็นทางการมากขนาดนั้น นักวิชาการหลายคนไม่ยอมรับแนวคิดของสิ่งผิดปกติในระดับที่เจ็ดเพราะมองว่ามันเป็นการดูหมิ่นเทพเจ้า แต่คนบางส่วนกลับยอมรับว่ามันคือแนวคิดที่น่าสนใจและทำการจัดอันดับอย่างจริงจังมาก”
โนอาขมวดคิ้วขณะที่เล่า เขาเองก็ไม่ค่อยเห็นด้วยกับแนวคิดของสิ่งผิดปกติในระดับที่เจ็ดมากนัก
พระเจ้า สำหรับเขาแล้ว พวกท่านคือตัวตนที่ยิ่งใหญ่และอยู่เหนือความรู้ความเข้าใจของมนุษย์ การพยายามจะนิยามพวกท่านด้วยการจัดอันดับนั้นจึงไม่ต่างอะไรกับการพยายามดึงพวกท่านให้ลงมาเกลือกกลั้วกับมนุษย์เลย
และที่สำคัญ ยังจะเอาพวกท่านไปรวมกับ ‘สิ่งผิดปกติ’ พวกนั้นอีก พระเจ้าที่ทั้งยิ่งใหญ่ ปราดเปรื่องและทรงพลังจะถูกเหมารวมกับพวกปีศาจแบบนั้นได้ยังไง?
“นายดู…ไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่เลยนะ?”
ยูริตั้งข้อสังเกต
“แน่นอน ใครบ้างจะพอใจกับเรื่องนี้? การจัดระดับสิ่งผิดปกติโดยให้พระเจ้าไปอยู่ในรายการจัดลำดับนั้น มันก็คือการเย้ยหยันเทพอย่างชัดเจน”
แต่ฉันพอใจ ยูริแอบหัวเราะในใจอย่างเงียบงัน ในฐานะของศัตรูของพระเจ้าอย่างอโลวีนัส การได้ยินอะไรที่มันลบหลู่แบบนี้มันทำให้เธอรู้สึกดีเป็นธรรมดา
แต่จะว่าไป ดูเหมือนว่าตอนนี้โนอาจะพูดจบแล้ว เขาได้อธิบายสิ่งผิดปกติทั้งเจ็ดระดับไปแล้วนี่น่า ถ้าไม่มีอะไรอีกนั่นแปลว่าเรื่องในตอนนี้จบลงแล้ว และก็หมดธุระคุยของเขากับเธอแล้วใช่ไหม?
“ครบแล้วใช่ไหม? ถ้าจำไม่ผิดนายเล่าเรื่องสิ่งผิดปกติทั้ง ’ เจ็ด’ ระดับเพื่อให้ข้อมูลกับฉันล่วงหน้าและจะได้รับมือได้ถูกหากเผชิญหน้าในอนาคตใช่ไหม?”
ยูริทบทวน การนั่งฟังอีกฝ่ายพล่ามมานานมันทำให้สมองของเธออ่อนล้าและหลงลืมไปบ้าง
“ถูกต้อง คุณอาจจะมองว่ามันไร้สาระ แต่อนาคตคุณจะต้องขอบคุณผม”
มั่นหน้าจังนะ
มุมปากของยูริกระตุกแผ่วเบา เธอกล่าวขอบคุณอีกฝ่ายอย่างไม่เต็มใจนัก
“มีอะไรจะพูดอีกไหม?”
“ไม่มีแล้ว”
“โอเค…ไม่มีเรื่องแบบ ถ้าออกนอกบ้านวันนี้แล้วฉันจะโชคร้ายไรงี้เหรอ?”
เธอสังเกตุเห็นตาซ้ายของชายหนุ่มกระตุกเล็กน้อย
“…ไม่ ไม่มีแล้ว นอกจากเรื่องสิ่งผิดปกติกับเรื่องสาเหตุที่ผมไม่สามารถเล่าอะไรหลายๆ อย่างให้คุณฟังได้ ก็ไม่มีอย่างอื่นอีกแล้ว”
“โอเค เยี่ยม งั้นฉันอยากจะขออะไรนายหน่อย”
ยูริยิ้มกว้าง
“ขอ? อะไรเหรอ?”
“อย่างที่นายก็รู้ว่าฉันจะต้องเดินทางไปยังเขตสลัมเป็นบางครั้ง แต่มันติดปัญหาตรงที่ฮันน่าเนี่ยสิ”
การมีอยู่ของพี่สาวของเธอทำให้เธอไม่สามารถเดินทางไปยังเขตสลัมได้อย่างสะดวก กลอุบายเดิมๆ อย่างการวางยานอนหลับก็สุ่มเสี่ยงเกินไป เธอจึงต้องการให้โนอาช่วยหน่อย
“อืม…เข้าใจแล้ว”
โนอาลูบคางเบาๆ ขณะครุ่นคิด
“คุณอยากให้ผมช่วยทำให้พี่สาวของคุณไม่สามารถรับรู้ได้ใช่ไหมว่าคุณออกไปข้างนอกมา? ถ้าเป็นแบบนั้นก็ง่ายมาก”
ชายหนุ่มยิ้มอบอุ่น
“ผมมีเวทมนตร์ที่ทำให้สลบนะ”
ใบหน้าของยูริแข็งค้างเล็กน้อย…
เวทมนตร์ทำให้สลบบ้านป้าแกสิ คิดว่าฉันจะยอมให้นายเอาเวทมนตร์แปลกๆ แบบนั้นร่ายใส่พี่สาวของฉันรึไง?
แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าโนอาไม่ได้มีเจตนาแบบนั้น แต่เธอเป็นคนที่มีนิสัยขี้ระแวงโดยธรรมชาติอยู่แล้ว เด็กสาวกลัวว่าหากปล่อยให้โนอาทำอะไรอย่างการทำให้พี่สาวของเธอสลบ แล้วตอนเธอไม่อยู่เธอจะแน่ใจได้ยังไงว่าหมอนั่นจะไม่คิดทำอะไรแปลกๆ กับฮันน่าเข้า?
เธอเข้าใจสัญชาตญาณของมนุษย์ดี ต่อให้จะเป็นคนที่มีรสนิยมไม่สนเรื่องเพศหรือความรัก แต่หากถูกกระตุ้นมากๆ เข้าก็อาจทำอะไรที่มันขัดกับรสนิยมและความชอบของตัวเองได้
ในโลกเก่ามีข่าวผู้ชายข่มขืนผู้หญิงเยอะไป แถมบางคนไม่ได้มีรสนิยมชอบเพศตรงข้ามด้วยซ้ำ แต่กลับทำเรื่องเลวๆ แบบนั้นซะงั้น
และโนอาก็ไม่เหมือนคนที่ไม่สนใจเรื่องความรักด้วย ดังนั้น เธอจึงไม่ไว้ใจหมอนั่น
จะว่าเธอหวาดระแวงจนหลอนไปเองก็ได้ แต่เธอจะไม่ยอมเสี่ยงกับปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้เด็ดขาด
ยูริครุ่นคิดอย่างอารมณ์เสียขณะที่มองออกไปนอกรถม้า ตอนนี้เธอกำลังเดินทางไปยังเขตสลัมเพื่อที่จะไปพบกับพวกลูเมี่ยนและลอยด์อีกครั้ง
คำถามว่า ถ้าหากเธอไม่ต้องการให้โนอาใช้เวทมนตร์ทำให้พี่สาวของเธอสลบ แล้วเธอทำยังไงถึงสามารถแอบออกมาข้างนอกได้โดยที่อีกฝ่ายไม่รู้?
ก็นะ…แม้ว่ายาสลบมันจะหาไม่ได้เลยก็ตาม และยานอนหลับก็ไม่ขายให้เด็กตัวเล็กๆ แต่เธอแค่ใช้ยาแก้ไอหลายๆ เม็ดก็พอแล้ว
ก่อนนอนเมื่อคืนนี้เธอเล่นกับฮันน่าไปเยอะมาก หรือถ้าให้ถูก เธอแกล้งก่อกวนอีกฝ่ายจนเหนื่อยและนอนไม่หลับแทบจะทั้งคืน จากนั้นก็ตามด้วยการยัดยาแก้ไอเป็นสิบๆ เม็ดให้อีกฝ่ายกินโดยไม่รู้ตัว
ฮันน่าเป็นแวมไพร์ ร่างกายแข็งแรงและแทบจะเป็นอมตะไม่มีวันตาย ยาแก้ไอแค่กระปุกเดียวคงไม่ทำให้เธอเจ็บป่วยตรงไหนด้วยซ้ำ มากสุดก็แค่ทำให้เพลียอย่างรุนแรง
ด้วยความเหน็ดเหนื่อยและอ่อนล้าจากการที่ถูกเธอก่อกวนและวางยา ฮันน่าจึงหลับไปทั้งวัน
อย่างน้อยๆ มันก็ปลอดภัยกว่าการใช้เวทมนตร์ของโนอาที่ไม่รู้ว่าจะแอบเล่นตุกติกอะไรรึเปล่าล่ะนะ
แต่—เธอคงใช้วิธีนี้บ่อยๆ ไม่ได้ ต้องหาทางอื่น ไม่งั้นฮันน่าได้สงสัยแน่ว่าทำไมตัวเองถึงง่วงเพลียแบบนั้นอยู่ตลอด
แต่ตอนนี้ ค่อยคิดถึงเรื่องนั้น และไปพบกับเจ้าพวกนั้นอีกครั้งดีกว่า
“แล้ว? ตอนนี้มีกลุ่มคนน่าสงสัยกำลังทำตัวลับๆ ล่อๆ แถวๆ ท่อระบายน้ำงั้นรึ?”
ยูริแสดงออกถึงความสับสนขณะที่ฟังคำบอกเล่าของลูเมี่ยน
“ใช่ครับ พวกนั้นใส่ชุดแปลกๆ พร้อมกับมีหน้ากากประหลาด จริงๆ แล้วตอนแรกก็กะว่าจะเข้าไปซักถามอยู่หรอกครับ แต่พอเข้าไปใกล้แล้วรู้สึกได้เลยว่าคนพวกนั้นน่ะอันตราย”
ลูเมี่ยนเล่าพลางปกปิดความจริงที่ว่าเขาได้กลิ่นอายของ ‘เทพปีศาจ’ มาจากคนพวกนั้นด้วย เขากลัวเกินกว่าจะเล่าให้ท่านแพนโดร่าฟัง
“อืม…นั่นมันน่าสงสัยมาก”
ยูริขมวดคิ้วพลางลูบคางของตัวเองเบาๆ ก่อนหน้านี้เธอรู้ว่าบางทีอาจจะมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นในเขตสลัม เพราะว่าก่อนหน้านี้ที่เธอได้รับสารจากเทพธิดาตอนไปที่โบสถ์ มันมีการกล่าวถึงองค์กรที่ชื่อว่าองค์กรล่ามารเอาไว้ด้วย
และจากความรู้และความเข้าใจของเธอ องค์กรล่ามารคือองค์กรลับที่มักจะมาตั้งฐานแถวๆ เขตสลัมเสมอ และเธอก็ได้ฝากฝังให้พวก
ลูเมี่ยนและลอยด์คอยสืบเรื่องนี้ระหว่างที่เธอไม่อยู่
และดูเหมือนว่าลูเมี่ยนจะไปเจออะไรที่มันน่าสนใจเข้าซะแล้วสิ…
“ฉันคิดว่าคุณน่าสงสัยยิ่งกว่าอีกนะคะ”
ร่างเล็กๆ ผมยาวสีน้ำตาลออกดำเอ่ยพลางกอดอกและทำหน้าไม่ไว้ใจ ดวงตาสีฟ้าหรี่ลงอย่างจับผิด ภาพนั้นทำให้ยูรินึกถึงแมวจรจัดที่ทำท่าไม่ไว้ใจคนให้อาหารเลยล่ะ
“โอ้? เจ้ายังคงสงสัยข้าอีกงั้นหรืออัลเล่? แต่เอาเถอะ ท่าทีแบบนั้นก็สมกับเป็นเจ้าดี”
ยูริพูดพลางยิ้มๆ อัลเล่คือเด็กสาวที่ลูเมี่ยนและลอยด์แนะนำให้รู้จักตอนที่เธอเดินทางมาที่นี่
ตอนเจอกันครั้งแรกเป็นความประทับใจที่ไม่ค่อยดีนัก—อย่างน้อยๆ ก็ในมุมมองของอีกฝ่าย เพราะก่อนหน้านั้นเธอคนนี้เผลอเอามีดแทงยูริจนเกือบตายไงล่ะ
แต่แน่นอน เด็กสาวไม่ถือหรอก ไม่ใช่เพราะว่าคนน่ารักทำอะไรย่อมไม่ผิด แต่เป็นเพราะเธอวางแผนให้ตัวเองเจออะไรแบบนั้นตั้งแต่แรกแล้ว
และอัลเล่แทงเธอเพราะเธอไปบีบคออีกฝ่ายก่อนล้วนๆ ไม่มีอะไรน่าเจ็บแค้นเลยสักนิด
“ม แม้ว่าก่อนหน้านี้คุณจะให้ของขวัญมาก็เถอะค่ะ!แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ฉันเชื่อว่าคุณเป็นผู้เผยพระวจนะของเทพธิดาหรอกนะคะ!”
อืม ท่าทางเหมือนแมวหวาดระแวงนั่นดูน่ารักกว่าที่คิดอีกแฮะ
ยูริครุ่นคิดกับตัวเองพลางพยักหน้าแผ่วเบา
“แล้ว? ตอนนี้ดอกกุหลาบที่ข้ามอบให้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
เรื่องที่เกิดขึ้นคราวก่อนทำให้เธอต้องมอบของขวัญให้อีกฝ่ายเป็นการปลอบใจไป ซึ่งของขวัญที่ว่าก็คือดอกกุหลาบนั่นเอง
“เอ่อ—จะทิ้งไปก็น่าเสียดาย ฉันเลยเอาไปใส่กระถางที่ขอยืมจากคนอื่นมาและรดน้ำให้บ่อยๆ ค่ะ—เอาเป็นว่าตอนนี้ดอกกุหลาบนั่นยังอยู่ดี…”
ว่าแล้วก็ก้มหน้าเล็กน้อย เด็กคนนี้เป็นพวกซึนเดเระกว่าที่คิดเอาไว้ซะอีกนะเนี่ย
“งั้นเหรอๆ เก่งมาก เด็กดีๆ”
ยูริลูบหัวของอีกฝ่าย และอัลเล่ก็ก้มลงมาและยอมให้ทำอย่างไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย ใบหน้าแดงระเรื่อ
น่ารักแฮะ อยากแกล้งชะมัด
“ฉันยังไม่ยอมรับว่าคุณคือข้ารับใช้แห่งเทพหรอกนะคะ…”
อัลเล่พึมพำแผ่วเบา
“…แต่ ดูๆ แล้วคุณก็ไม่ใช่คนเลวอะไร…”
อืม น่ารัก
ยูริยิ้มเล็กน้อย อีกฝ่ายทำให้เธอนึกถึงลูกแมวจรจัดที่หวาดระแวงผู้คนและอ่อนต่อโลก ขณะเดียวกันก็มีมุมอ่อนไหว
ถ้าให้พูดตามตรง อีกฝ่ายทำให้เธอนึกถึงตัวเองในสมัยเด็กเลยล่ะ ใสซื่อและไร้เดียงสา แต่ขณะเดียวกันก็ขี้ระแวงและชาญฉลาด มันเป็นส่วนผสมทางบุคลิกภาพที่ทั้งแปลกประหลาดและผสมผสานกันได้อย่างลงตัว
อืม ตอนแรกเธอนึกว่าอัลเล่ก็แค่เด็กขี้ระแวงธรรมดาๆ แต่ดูท่าจะใสซื่อและว่าง่ายกว่าที่คิดเอาไว้มาก แม้ว่าอีกฝ่ายจะเจออะไรมามากมายจนหล่อหลอมให้กลายเป็นคนขี้ระแวง แต่ขณะเดียวกันในบางแง่มุมของจิตใจก็ยังมีความอ่อนเยาว์และไร้เดียงสาอยู่สินะ
“อืม อืม…”
เธอลูบหัวของอีกฝ่ายอย่างเพลิดเพลิน
ใช่แล้ว เป็นเด็กก็ควรมีความไร้เดียงสาแบบเด็กสิถึงจะถูก
เด็กที่นิสัยขี้ระแวงเพราะสังคมมันห่วยน่ะ เป็นอะไรที่น่าเศร้าไม่ใช่หรือ?
“ชิ”
ลูเมี่ยนเดาะลิ้นเบาๆ ด้วยความรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย เขาอยากให้ท่านแพนโดร่าลูบหัวเขาอย่างงั้นบ้าง
“ยังไงก็ตาม เจ้าทำงานได้ดีทีเดียวลูเมี่ยน เทพธิดาจะต้องพอใจกับเรื่องนี้แน่”
ยูริหันมายิ้มและชื่นชมอีกฝ่าย นั่นทำให้เด็กหนุ่มดีใจจนตัวลอย
“ข้าอยากจะให้พวกเจ้าจับตาดูความผิดปกติที่อาจจะเกิดขึ้นในสถานที่แห่งนี้ต่อไป แต่อย่าเอาตัวเองไปเสี่ยงกับอันตรายเด็ดขาด”
เพราะถ้าพวกเขาเป็นอะไรขึ้นมา เธอก็อาจจะไม่สามารถบรรลุแผนการของตัวเองได้อีก การที่จะหาเหยื่อที่หลอกง่ายๆ แบบนี้มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น
อีกอย่าง—ใช่ว่าเธอจะเป็นห่วงเด็กๆ พวกนี้หรอกนะ เธอแค่รำคาญที่ต้องมารับรู้ว่าคนของเธอบาดเจ็บแค่นั้นแหละ เดี๋ยวพอพวกนี้บาดเจ็บเธอก็ต้องหาทางช่วยรักษาให้อีก ยุ่งยากจะตายไป
“ครับท่าน ผมจะตั้งใจทำงานให้ดีที่สุด!”
ลูเมี่ยนยืดตัวตรงพลางพยายามสร้างความประทับใจให้อีกฝ่าย แน่นอนว่ายูริไม่สนหรอก
“งั้น ตอนนี้ข้าต้องไปก่อน เอ้านี่ พวกเจ้าจงนำเงินพวกนี้ไปใช้ซื้ออาหารและยารักษาโรคด้วย ข้าไม่อาจปกป้องพวกเจ้าได้ตลอดเวลาหรอกนะ”
ยูรินำเงินที่ตัวเองเก็บมาอย่างยากลำบากมอบให้พวกนั้นไป
“ขอเตือนไว้อย่างหนึ่ง โดยเฉพาะเจ้า ลูเมี่ยน”
ยูริเอ่ย เธอคิดว่ามันถึงเวลาที่เธอต้องเตือนอย่างจริงๆ จังๆ แล้ว
“ลอยด์บอกข้าว่าเจ้ามีนิสัยชอบวิ่งราวชนชั้นกลางที่เข้ามายังสถานที่แห่งนี้ใช่หรือไม่? เจ้ารู้รึเปล่าว่าการทำแบบนั้นมันทำให้เจ้าถูกเพ่งเล็งและอาจจะถูกฆ่าได้”
ใช่แล้ว ลอยด์เคยเล่าให้เธอฟังถึงนิสัยเสียของลูเมี่ยนที่ชื่นชอบความท้าทายและชอบไปลักเล็กขโมยน้อยด้วย แถมหมอนั่นยังเล่าอีกว่าลูเมี่ยนมีอาการความทรงจำบิดเบือนนิดๆ ด้วย
พ่อแม่และน้องสาวของลูเมี่ยนตายไปนานแล้ว และในบางครั้ง
ลูเมี่ยนก็เล่าว่าพ่อตัวเองตายเพราะติดเหล้า น้องสาวตายเพราะติดโรค แม่ฆ่าตัวตายตามไป
แต่ในบางครั้ง ลูเมี่ยนก็จะเล่าสาเหตุการตายของครอบครัวตัวเองด้วยสาเหตุอื่น เช่นน้องถูกรถม้าชนตาย แม่หนีหาย พ่อฆ่าตัวตาย
และในหลายครั้ง ลูเมี่ยนมักจะเล่าเรื่องพวกนั้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้มราวกับว่าไม่ได้กำลังเล่าเรื่องของตัวเองยังไงยังงั้น
ยูริรู้ในทันทีว่าจิตใจของอีกฝ่ายแตกสลายไปนานจนกู้คืนไม่ได้แล้ว และแน่นอน เธอไม่คิดจะกู้คืนเพราะมันไม่มีความสำคัญกับเธอ
และต่อให้อยากทำ เธอก็ทำไม่ได้ เธอเป็นเพียงฆาตกร ไม่ใช่จิตแพทย์
เธออาจจะมีความสามารถในการปั่นหัวผู้คนทางจิตวิทยา แต่เธอไม่สามารถรักษาจิตใจของใครได้ การทำลายมันง่ายกว่าการสร้างสรรค์หรือซ่อมแซมเสมอ และนั่นคือสัจธรรมของโลก
แม้แต่จิตใจของตัวเองเธอยังรักษาไม่ได้ แล้วจะให้ไปช่วยคนอื่นอีกงั้นหรือ? ใครจะไปทำได้กันล่ะ?
“ลอยด์!นายบอกท่านเหรอ?”
ลูเมี่ยนหันไปโวยกับเพื่อนของตัวเองอย่างหงุดหงิด
“ก็ท่านแพนโดร่าบอกว่าอยากรู้จักพวกเราให้มากกว่านี้ ฉันก็แค่ทำตามประสงค์ของท่านแค่นั้น”
ลอยด์พูดอย่างใจเย็น
“ใช่ ลอยด์พูดถูกแล้ว ข้าแค่คิดว่าข้าอยากรู้จักพวกเจ้าทุกคนให้มากกว่านี้แค่นั้น มันแปลกงั้นหรือ?”
ยูริเอียงคออย่างน่ารัก แน่นอน หากอยากใช้งานใครสักคนก็จะต้องเข้าใจคนๆ นั้นเสียก่อน ทั้งลักษณะนิสัย อุดมคติในการใช้ชีวิต สไตล์การใช้ชีวิต รวมไปถึงความสามารถและความถนัดด้วย
หากเป็นพวกที่ ‘ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด’ เธอจะไม่จ้างคนแบบนั้นเด็ดขาด เพราะถึงจะความรู้เยอะแต่ก็ไม่สามารถนำความรู้พวกนั้นมาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิ์ภาพ แปลว่าเป็นพวกไร้ความสามารถในด้านการนำความรู้มาประยุกต์ใช้นั่นเอง
หากเป็นพวกที่เชื่อฟังและไม่ค่อยใช้สมองมากนัก เธอจะจัดให้อยู่ในหมวดหมู่แรงงานที่มีค่าและมีประโยชน์
ถ้าเป็นพวกฉลาดๆ ล่ะก็ เธอจะวางให้ไปอยู่ในตำแหน่งระดับสูงขององค์กรและให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมแก่คนๆ นั้น คนฉลาดน่ะสำคัญนะ
ถ้าเป็นพวกไม่เอาอ่าวแถมโง่ ก็ไล่ออกสถานเดียว
“ไม่ ไม่เลยครับท่าน ไม่แปลกเลยสักนิด”
ลูเมี่ยนรีบพูดทันที
อืม หมอนี่อยู่ในหมวดหมู่แรงงานที่มีประโยชน์
“ว่าแต่ท่านแพนโดร่าครับ กระผมขอถือวิสาสะถามอะไรหน่อยได้รึเปล่าครับ”
ลอยด์ถามขึ้น หมอนี่อยู่ในหมวดหมู่บุคคลระดับสูงขององค์กร
เพราะฉลาดยังไงล่ะ
“ว่ามา”
“กลุ่มคนพวกนั้นที่ลูเมี่ยนไปเจอมาเป็นใครเหรอครับ ทำไมท่านถึงต้องให้จับตาดูคนพวกนั้นด้วย แล้วอยากให้พวกเราทำอะไรเป็นพิเศษรึเปล่าครับ?”
อืม ยูริลูบคางของตัวเองแผ่วเบา ควรบอกพวกเขาดีไหมนะ? แต่มันก็ยังเป็นเพียงการคาดการณ์ของเธอเท่านั้น การฟันธงไปก่อนอาจจะไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก
“ข้าคิดว่าพวกเขาคือองค์กรล่ามารน่ะ”
เธอเห็นว่าลูเมี่ยนและลอยด์ทำสีหน้างุนงง ส่วนอัลเล่ทำท่าตกตะลึง
อืม สมกับเป็นลูกสาวของฉัน—ไม่สิ สมกับเป็นอัลเล่ดีแฮะ
“อัลเล่ ดูเหมือนว่าเจ้าจะรู้อะไรนะ ลองอธิบายให้พวกเขาฟังทีสิ”
เพราะเธอขี้เกียจพูดแล้ว
“เอ๊ะ? ฉันเหรอ?”
“ใช่ เจ้านั่นแหละ”
ฉันไว้ใจเธอนะคุณลูกสาว—แค่กๆ หมายถึง ฉันไว้ใจเธอนะอัลเล่
“โอเค…องค์กรล่ามารที่คุณแพนโดร่าพูดถึงคือองค์กรลับที่ว่ากันว่าเกลียดชังทุกๆ เผ่าพันธุ์ที่ไม่ใช่มนุษย์ พวกนั้นมีเป้าหมายเป็นการทำลายเผ่าพันธุ์ทั้งหมดและทำให้มนุษยชาติปกครองแต่เพียงผู้เดียวน่ะ”
องค์กรล่ามารคือองค์กรที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดในประเทศนี้ แม้ว่าจะชื่อองค์กรลับก็เถอะนะ
“อืม เบื้องหน้าก็เป็นแบบนั้นแหละ”
ยูริเอ่ยอย่างครุ่นคิด
“เบื้องหน้าเหรอคะ?”
อัลเล่เอ่ยด้วยใบหน้าสงสัย ท่าทีแบบนั้นแสดงว่าเข้าใจว่ามันอาจจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรอีกสินะ
“ใช่ ข้าคิดว่าองค์กรล่ามารไม่ใช่องค์กรที่มีเป้าหมายเพ้อ
เจ้อแบบนั้นหรอก นั่นน่าจะเป็นฉากบังหน้าเสียมากกว่า”
จากประสบการณ์ในการก่อตั้งองค์กรลับของตัวเองและเคยร่วมงานกับองค์กรลับอันตรายมาแล้วทั่วโลก ทั้งองค์กรสายลับ องค์กรก่อการร้าย ค้าอาวุธ ลักพาตัว และค้ายาเสพติด
องค์กรพวกนั้นมักจะไม่เปิดเผยเป้าหมายที่แท้จริงของตัวเอง เว้นแต่ว่าจะมั่นใจว่าตัวเองยิ่งใหญ่และทรงอิทธิพลพอ
“เป้าหมายที่แท้จริงของพวกนั้นคือ…”