ฉันก็แค่อยากตาย แต่ไหงต้องมาเกิดใหม่ด้วยล่ะ! - ตอนที่ 39 การแบ่งระดับ ‘ตัวตนที่ผิดปกติ’
- Home
- ฉันก็แค่อยากตาย แต่ไหงต้องมาเกิดใหม่ด้วยล่ะ!
- ตอนที่ 39 การแบ่งระดับ ‘ตัวตนที่ผิดปกติ’
ยูริอ่านข้อความที่ตัวเองไม่เข้าใจอยู่หลายต่อหลายหน สีหน้าสับสน
เธอพยายามที่จะหาบทความอื่นเพื่อทำความเข้าใจว่าสิ่งผิดปกติที่ว่ามันคืออะไรกันแน่ แต่ว่าที่เธออ่านไปเมื่อกี้คือบทความสุดท้ายแล้ว
“อ่านจบแล้วสินะ”
โนอาเอ่ยพลางยิ้มเจ้าเล่ห์
“ทีนี้ คุณเข้าใจรึยังล่ะ?”
“ไม่เลย สรุปแล้วว่าฉันได้อะไรจากข่าวนี้?”
โนอาให้เธออ่านข่าวของคดีฆาตกรรม และให้อ่านบทความวิเคราะห์คดีทั้งหมดนั่นด้วยเหตุผลที่ว่า เขาอยากทำให้เธอรู้ว่า ‘ความรู้’ ที่เป็นอันตรายที่เขาพูดถึงมันหมายถึงอะไรกันแน่
แต่สุดท้ายนอกจากคำศัพท์แปลกๆ อย่าง ‘สิ่งผิดปกติ’ และคดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นแล้ว เธอก็ไม่เห็นความเชื่อมโยงของ ‘ความรู้ที่เป็นอันตราย’ ที่โนอาพูดถึงเลย
“ประเด็นสำคัญของข่าวนั่นไม่ใช่เรื่องที่เกิดคดีฆาตกรรม แต่เป็นตัวตนของผู้ก่อเหตุ”
ยูริตระหนักได้ว่าโนอากำลังจะอธิบาย เธอจึงเริ่มตั้งใจฟัง
“สิ่งผิดปกติคือสิ่งมีชีวิตรูปแบบหนึ่งที่จะปรากฏตัวในค่ำคืนที่จันทร์หายนะสาดส่อง พวกมันเป็นดั่ง ‘คำสาป’ ที่มีชีวิต”
“พวกมันไม่กินอาหาร พวกมันไม่ต้องการสืบพันธุ์ พวกมันคือตัวตนที่จะดำรงค์อยู่ได้หากมีแสงจากจันทร์ในคืนแห่งจันทร์หายนะ แต่หากพวกมันโดนแสงอาทิตย์ พวกมันก็จะดับสูญไป”
“ตัวตนที่แท้จริงของพวกมันคือความชั่วร้าย ถ้าให้นิยาม พวกมันคืออารมณ์ด้านลบของเทพมารเบนิลที่ยังคงหลงเหลืออยู่บนโลกใบนี้ คำสาป ความอาฆาตแค้น และสัญชาตญาณแห่งการทำลายล้าง นั่นคือคำที่สามารถนิยามพวกมันได้”
เอาง่ายๆ ว่าเทพมารเบนิลอะไรนั่นเป็นพวกแพ้แล้วพาลงั้นเหรอ? พอสู้กับเทพธิดาแล้วร่วงหล่น นอกจากจะร่ายคำสาปเอาไว้กับพระจันทร์แล้ว ยังจะสร้างไอ้สิ่งมีชีวิตพวกนั้นมาอีกงั้นเหรอ?
ทำไปเพื่ออะไรกันนะ เพราะเป็นเทพปีศาจเลยต้องทำเรื่องเลวๆ แบบนั้นรึไง?
“พวกมันคือตัวตนที่ ถ้าคุณพยายามรับรู้หรือทำความเข้าใจพวกมันแล้ว คุณก็จะเสียสติและกลายเป็นคนจิตไม่ปกติทันที ถ้าคุณไม่ปกติอยู่แล้วคุณก็จะตายอย่างทรมานแทน พวกมันคือเศษเสี้ยวพลังงานด้านลบจากความโกรธของเทพเจ้า ดังนั้นอย่าประมาทพวกมันเด็ดขาด”
เดี๋ยวนะ…
อย่าบอกนะว่าที่เขาเล่าเรื่องทั้งหมดนี่ รวมถึงทำอะไรที่มันยุ่งยากอย่างการให้เธออ่านหนังสือพิมพ์พวกนั้น…
นั่นก็เพราะเหตุผลที่ว่า อยากอธิบายเรื่องตัวตนของสิ่งผิดปกติแค่นั้นอะนะ? ที่ว่าถ้าพยายามทำความเข้าใจก็จะกลายเป็นบ้าน่ะ?
ใช้วิธีอ้อมค้อมแบบนั้นเพราะเหตุผลแบบนั้นเนี่ยนะ? เหลือจะเชื่อเลย
แล้วทำไมไม่ใช้วิธีอธิบายที่มันเรียบง่ายกว่านี้กัน?
“แค่นั้น? ด้วยเหตุผลข้อนั้นข้อเดียวนายถึงกับต้องยกตัวอย่างมามากมายเลยอะนะ?”
ยูริถึงกับฉุนจัด ตอนแรกเธอนึกว่ามันมีเรื่องอะไรที่มันสำคัญมากๆ เธอจึงตั้งใจฟัง แต่สุดท้ายแล้ว ทั้งการยกตัวอย่างด้วยข่าวคดีฆาตกรรม การทำให้เธอรู้จักสิ่งที่เรียกว่า ‘สิ่งผิดปกติ’ ทั้งหมดนั่นก็แค่เพื่ออธิบายให้เธอเข้าใจง่ายๆ ว่า ‘ถ้าคุณรู้ คุณจะเป็นบ้า’ อะนะ?
นี่เธอเสียเวลาไปเพื่ออะไรกัน…
“ใจเย็น มันมีสาเหตุที่ว่าทำไมผมถึงทำอะไรอ้อมค้อมแบบนี้”
โนอาปรามให้เธอใจเย็นลง เขาเข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่
“ผมบอกได้แค่ว่าชะตากรรมของคุณนั้นผูกมัดกับ ‘เรื่องราว’ ของโลกใบนี้เอาไว้อย่างแน่นหนา ด้วยการกำหนดของชะตากรรมทั้งมวล อนาคตคุณอาจจะได้เผชิญหน้ากับ ‘สิ่งผิดปกติ’ พวกนั้น ผมจึงใช้โอกาสนี้อธิบายเกี่ยวกับตัวตนของพวกมันเอาไว้ด้วยเลย”
อนาคตเธออาจจะได้เผชิญหน้ากับตัวตนพวกนั้นงั้นเหรอ? ยูริเบะปากอย่างไม่เชื่อถือ เชื่อถือได้ไหม? คงไม่ใช่ว่าจริงๆ แล้วโนอาก็แค่เป็นพวกเสพยาเกินขนาดแล้วหลอนไปเองหรอกใช่ไหม?
“พวกมันคือตัวตนที่เป็นภัยคุกคามของโลกใบนี้ ผมจึงต้องการให้คุณรู้วิธีรับมือมันเอาไว้ เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมคุณจะได้ป้องกันตัวเองและปกป้องโลกนี้ได้”
โนอาพูดและทำทีไม่สนใจสีหน้าแปลกๆ ของเด็กสาว
จะให้คนที่เคยทำลายโลกมาช่วยปกป้องโลกเนี่ยนะ? คิดอะไรของเขากันนะ หรือว่าโนอาจะไม่รู้ว่าเธอเคยทำอะไรมาก่อน?
“ปกป้องโลก? ฉันเนี่ยนะ?”
นี่มันค่อนข้างจะน่าขันเลย ในฐานะของอาชญากรที่เป็นที่ต้องการตัวมากที่สุดในโลก เธอไม่เคยมีความคิดอย่างการปกป้องโลกเลยแม้แต่น้อย
เธอเคยหลอกให้นายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นกินเนื้อของภรรยาและลูกๆ ของตัวเองมาแล้ว เธอเคยวางแผนที่ทำให้อเมริกาสั่งยิงขีปนาวุธนิวเคลียร์มาแล้ว—แม้ว่าแผนนี้จะไม่สำเร็จเพราะมัตสึโมโตะมาขวางเอาไว้ก็เถอะ
และเธอยังเป็นคนที่ทำให้ชาติพันธุ์มนุษย์ที่อาศัยอยู่บนเกาะรกร้างห่างไกลผู้คนสูญสิ้นหมดทั้งเผ่าพันธุ์มาแล้ว เรียกได้ว่าเธอได้ละเมิดอนุสัญญาว่าด้วยการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มาแล้ว
แล้วทำไมเธอที่เคยทำให้โลกทั้งใบโกลาหลและวอดวายไปครั้งหนึ่งแล้วจะต้องมาปกป้องโลกด้วยล่ะ?
“ใช่ ผมเห็นว่าชะตากรรมของคุณกับโลกนี้เชื่อมโยงกันอย่างเหนียวแน่น ถึงคุณจะพยายามหลีกเลี่ยงมากขนาดไหน แต่สุดท้ายในอนาคตคุณจะต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่ชะตากรรมจัดเตรียมเอาไว้ให้”
โนอาพูดด้วยท่าทางสุขุมนุ่มลึก ดวงตาของชายหนุ่มทอประกายลึกลับ
“คุณอาจจะคิดว่าโชคชะตาเป็นดั่งลูกเต๋าที่จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตราบใดที่มีตัวแปรต่างๆ มาเกี่ยวข้อง เช่นหากคุณเลือกที่จะแต่งงานแทนที่จะใช้ชีวิตเป็นโสด จุดจบของคุณจะแตกต่างจากอีกเส้นทางหนึ่งมาก ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องจริง แต่ผมไม่เรียกอะไรที่เปลี่ยนแปลงง่ายๆ แบบนั้นว่า ‘โชคชะตา’ แต่ผมจะเรียกมันว่า ‘ความเป็นไปได้’ ซึ่งมันแตกต่างจากโชคชะตาที่แท้จริง”
“คุณอาจจะสามารถเปลี่ยนแปลงความเป็นไปได้ได้ แต่คุณไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาได้”
“ถ้าโชคชะตากำหนดให้คุณกลายเป็นคนไร้บ้านในอีกห้าปีข้างหน้า ต่อให้คุณจะพยายามอย่างหนักเพื่อผลักดันตัวเองให้กลายเป็นมหาเศรษฐีได้ในสองปี แต่นั่นก็เป็นเพียงสร้างความเป็นไปได้ใหม่ๆ ขึ้นมาเท่านั้นเอง เพราะสุดท้ายแล้ว พอครบห้าปี คุณก็จะล้มละลายและกลายเป็นยาจกทันที”
ยูรินิ่งเงียบ เธอกำลังพยายามทำความเข้าใจคำพูดของอีกฝ่าย
“…นั่นแปลว่าอนาคตฉันจะต้องเจอกับ ‘สิ่งผิดปกติ’ พวกนั้น?”
โนอาพยักหน้า
“ถูกต้อง”
“งั้นเหรอ…โลกนี้น่าสนใจดีนะ”
ยูริยิ้มกว้าง เธอไม่เชื่อในการกำหนดของโชคชะตา เธอคิดว่ามันเป็นเพียงคำกล่าวอ้างของพวกขี้แพ้ที่เวลาทำอะไรไม่สำเร็จก็โทษโชคชะตาเอาไว้ก่อนก็เท่านั้น
กำหนดให้กลายเป็นคนไร้บ้านในเวลาห้าปี? เฮอะ เธอจะกลายเป็นมหาเศรษฐีในเวลาสองปี และจะทำลายการกำหนดของโชคชะตานั่นซะ เธอจะไม่มีวันกลายเป็นคนไร้บ้านเด็ดขาด
“ถ้าเป็นอย่างที่นายเล่าล่ะก็ ใครเป็นคนกำหนดโชคชะตาล่ะ? พระเจ้าเหรอ?”
ไม่มีใครสมควรกำหนดชะตาของคนอื่นได้ทั้งนั้น ไม่ว่าโลกนี้จะบอกให้เธอทำอะไร กำหนดให้เธอมีจุดจบแบบไหน หรือจะลิขิตให้เธอต้องเผชิญกับเรื่องไม่สมเหตุสมผลมากขนาดไหนก็ตาม เธอก็จะก้าวไปข้างหน้าและเหยียบย่ำชะตากรรมพรรค์นั้นให้จมดิน
พระเจ้ามันห่วยแตก ใครจะไปอยากทำตามข้อกำหนดของพวกนั้นกันล่ะ?
“คำถามนั้นมันค่อนข้างตอบยากนะ”
ตรงข้ามกับความคาดหวังของเธอ โนอากลับตอบราวกับไม่แน่ใจเสียอย่างงั้น
“บางคนมีความเชื่อที่ว่าพระเจ้าคือผู้กำหนดชะตากรรมของมวลมนุษย์ พวกท่านคือตัวตนที่ดำรงอยู่เหนือกฎเกณฑ์ทั้งหมดทั้งมวล ทั้งคณิตศาสตร์ ปรัชญา ฟิสิกส์ ความน่าจะเป็น อดีต ปัจจุบัน อนาคต พวกท่านอยู่เหนือสิ่งเหล่านั้น”
“แต่บางคนก็ไม่คิดแบบนั้น มีแนวคิดหนึ่งที่นำเสนอว่าพระเจ้าไม่ได้เป็นผู้กำหนดโชคชะตา แต่โชคชะตาคือผู้ที่กำหนดพระเจ้า”
โชคชะตากำหนดพระเจ้า? จะบอกว่าแม้แต่พระเจ้ายังต้องยอมจำนนให้กับการกำหนดของโลกใบนี้อย่างงั้นเหรอ?
นี่มันเรื่องไร้สาระอะไรกันเนี่ย พระเจ้าแบบไหนถูกโชคชะตาควบคุมได้?
“แล้ว นายเชื่อในทฤษฎีไหนล่ะ?”
โนอาจะเชื่อในทฤษฎีไหน? ทฤษฎีที่ว่าทุกสรรพสิ่งดำเนินไปอย่างมีระบบระเบียบเพราะทวยเทพกำหนด หรือทฤษฎีที่ว่าแม้แต่การดำรงค์อยู่ของเหล่าผู้สร้างยังไม่อาจก้าวข้ามสิ่งที่เรียกว่า ‘โชคชะตา’ ได้
เธอรู้สึกอยากให้ทฤษฎีแรกเป็นจริงซะมากกว่า อย่างน้อยๆ การได้รับรู้ว่าเรื่องไม่สมเหตุสมผลทั้งหมดทั้งมวลในจักรวาลนี้มาจากไหนย่อมทำให้เธอรู้สึกสบายใจได้มากกว่า
แต่หากเป็นทฤษฎีที่สองที่ว่าแม้แต่พระเจ้ายังต้องยอมจำนนให้แก่โชคชะตา แล้วไอ้สิ่งที่เรียกว่า ‘โชคชะตา’ นั่นมันเกิดมาจากไหน และมีกลไกการทำงานยังไงกันแน่
หากผู้สร้างไม่ได้สร้างโชคชะตา แล้วอะไรคือสิ่งที่สร้างมันขึ้นมาล่ะ?
เธอแค่…รู้สึกกลัวในสิ่งที่เธอไม่รู้แค่นั้นเอง
“ผมงั้นเหรอ? ผมคิดว่าผมเชื่อในแนวคิดที่ว่าพระเจ้าคือผู้ที่กำหนดทุกอย่างเอาไว้นะ”
“เหรอ ดีใจที่ได้ยินแบบนั้นนะ”
ฟู่ ยูริถอนหายใจ
อย่างน้อยๆ ไอ้ความเชื่อที่ว่าพระเจ้ากำหนดทุกอย่างมันก็ไม่น่ากลัวเลย หากเอาไปเทียบกับอีกความเชื่อหนึ่ง
“แล้ว ว่าแต่นายจะบอกให้ฉันรู้ทำไม? คือยังไงดีอะ ไอ้เรื่องที่ ‘โชคชะตา’ กำหนดให้ฉันต้องเผชิญกับ ‘สิ่งผิดปกติ’ พวกนั้น การที่นายมาเตือนฉัน มันทำให้นายได้ประโยชน์อะไร?”
ไม่มีการกระทำไหนบนโลกนี้ที่ไม่หวังผลตอบแทน แม้แต่คนที่ทำดีเพราะอยากทำก็ทำเพราะพวกนั้นจะได้รับผลตอบแทนที่เรียกว่า ‘ความสุขที่ได้ทำ’ เลย
โนอา นายมีเป้าหมายอะไรกันแน่ เป็นใคร รู้เรื่องของฉันได้ยังไง และรู้มากแค่ไหน?
“ผมบอกได้แค่ว่าเราได้ผลประโยชน์ร่วมกัน”
โนอาตอบอย่างคลุมเครือ ตาสีแดงของเด็กสาวจับจ้องไปที่ใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างเอือมระอา
นิสัยแบบนี้มันน่ายิงทิ้งชะมัดเลย
“ก่อนอื่น ผมคงต้องขอให้คุณฟังอะไรสักหน่อย เรื่องนี้สำคัญมาก มันเกี่ยวพันกับอนาคตของคุณและโลกนี้ด้วย”
“เอาเถอะ พูดมาเลย”
วาคาดะ ซายูริยักไหล่ขณะที่นั่งลงบนโซฟาแถวๆ นั้น เธอเอียนกับท่าทีเก็บงำความลับของเขาเต็มทีแล้ว แต่เธอทำอะไรไม่ได้ในตอนนี้
“อย่างที่บอกไป สิ่งผิดปกติคือตัวตนที่เกิดมาจากความโกรธแค้นของเทพมารเบนิล แต่ใช่ว่าสิ่งผิดปกติทุกตัวจะเหมือนๆ กันหมด และแน่นอน ผมไม่ได้หมายถึงนิสัย”
“พวกมันมีลำดับชั้นและระดับพลังเป็นของตัวเอง สิ่งผิดปกติบางตัวอ่อนแอซะโดนพิธีปัดเป่าธรรมดาๆ จัดการได้แล้ว แต่บางตัวกลับแข็งแกร่งพอที่จะสั่นคลอนประเทศได้ทั้งประเทศ”
โนอาอธิบายสิ่งต่างๆ อย่างมีระบบระเบียบและเข้าใจได้ง่าย แตกต่างจากท่าทีเก็บงำความลับของเขาก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง
“สิ่งผิดปกติแต่ละตัวแข็งแกร่งไม่เท่ากัน ทางรัฐบาลกับโบสถ์เลยช่วยกันทดสอบและทำการวัดระดับพวกมันมาหลายร้อยปีแล้ว พวกเขาทั้งทดลองและศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับตัวตนต่างๆ ของพวกมัน”
แต่ถึงจะชมไปว่าเขาอธิบายเข้าใจง่าย แต่บางครั้งโนอาก็ชอบเผลอตัวอธิบายยืดยาวเกินไปหน่อย
แต่ ค้นคว้าสิ่งผิดปกติเหรอ? ยังกะองค์กรวิจัยแบบที่เห็นบ่อยๆ ในหนังหรืออนิเมะเลย
“และจากการศึกษาค้นคว้า สิ่งผิดปกติพวกนั้นแบ่งออกได้เป็นเจ็ดระดับ โดยที่ระดับที่หนึ่งคืออ่อนแอที่สุด และระดับที่เจ็ดคืออันตรายที่สุด”
“ระดับที่หนึ่งคือระดับที่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า ‘ผิดปกติ’ คือระดับที่อ่อนแอและสามารถกำจัดได้ด้วยพิธีปัดเป่าหรือพิธีกรรมไล่ผีธรรมดาๆ วิธีสังเกตก็ง่ายมาก ลองนึกถึงเวลาที่คนในครอบครัวคุณถูกผีเข้าหรือทำตัวแปลกไปจากเดิมดูสิ บางทีนั่นอาจจะเกิดจากสิ่งผิดปกติในระดับที่หนึ่งก็ได้นะ”
ถ้าให้อธิบายสั้นๆ ระดับที่หนึ่งมันค่อนข้างคล้ายกับกรณีเหนือธรรมชาติที่ไม่อาจหาคำอธิบายมาอธิบายได้ในโลกเก่าสินะ เช่นแม่ที่เอาแต่จ้องมองจากด้านหลังแล้วยิ้มกว้างๆ หรือเด็กนักเรียนที่ทำตัวแปลกไปจากเดิม หรือคนสูญหายแบบไม่มีสาเหตุ
โคตรอันตรายเลยไม่ใช่เหรอ? แต่ทำไมโลกนี้ถึงบอกว่าตัวตนในระดับที่หนึ่งอ่อนแอกันล่ะ? หรือเพราะโลกนี้มีเวทมนตร์เลยมองว่าตัวตนแบบนั้นจัดการได้ง่ายกันนะ?
ในฐานะของผู้ไร้เวทมนตร์ เธอตายแน่นอนถ้าเผชิญกับสิ่งผิดปกติระดับที่หนึ่งแบบซึ่งๆ หน้า
“ถ้าระดับที่หนึ่งมันจะอันตรายขนาดนี้ แล้วระดับที่สองล่ะ?”
โนอามองเธอด้วยสีหน้าซับซ้อน
“อันตราย—จริงสิ ลืมไปเลย คุณไม่มีเวทมนตร์ ฮะแฮ่ม ระดับที่สองมีชื่อเรียกว่า ‘เหนือธรรมชาติ’ “
“…”
มุมปากของยูริกระตุกเล็กๆ ตอนเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายเมื่อกี้
“…มันคือระดับที่สามารถบิดเบือนกฎเกณฑ์ของธรรมชาติได้บางส่วน เช่นบิดเบือนกฎฟิสิกส์ บิดเบือนสภาวะความเป็นจริง บิดเบือนทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์และฟิสิกส์ได้ทุกประการ”
“ถ้ายังนึกภาพไม่ออก ตามปกติแล้วมีกฎเกณฑ์ที่ว่าไม่มีอะไรเร็วกว่าแสง และถ้ามีอะไรเร็วกว่าแสงจริงๆ สิ่งนั้นก็จะถูกย้อนเวลา หรือไม่ก็แตกสลายไปเพราะรับมวลที่เพิ่มขึ้นมหาศาลไม่ไหว แต่สิ่งผิดปกติระดับที่สองสามารถทำลายกฎเกณฑ์เหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย”
“พวกมันสามารถเดินทางได้ไวกว่าแสงโดยที่ไม่มีผลกระทบอะไร สามารถทนต่อแรงดึงดูดของหลุมดำธรรมดา และหลบหนีออกมาจากหลุมดำมวลยิ่งยวดได้ เดินบนอากาศและทำให้อากาศปริแตกได้”
ระดับสอง!? ความสามารถแบบนั้นกลับอยู่แค่ลำดับสองเหรอ? แบบนั้นมันไม่โกงไปหน่อยเหรอ? ขนาดเทคโนโลยีของโลกเก่ายังไม่มีอะไรที่สามารถหลบหนีออกมาจากหลุมดำได้เลยนะ
โลกนี้มันอยู่รอดจนถึงตอนนี้ได้ไงเนี่ย?
“ไม่ต้องกังวลขนาดนั้น ถ้าเกิดว่ามีสิ่งผิดปกติแบบนั้นปรากฏตัวขึ้นมา ทางโบสถ์จะจัดการเอง พวกเขามีหน่วยงานเวทมนตร์สำคัญๆ ที่คอยปกป้องโลกนี้ไว้ในครอบครองน่ะ”
ดูเหมือนว่าโนอาจะรู้ว่าเด็กสาวกำลังคิดอะไรอยู่ เขาจึงพูดปลอบอีกฝ่าย
“ระดับที่สาม มันมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า ‘ภัยพิบัติ’ มันคือตัวตนที่มีความสามารถเหมือนกับระดับที่สอง แต่แค่ทำได้มากกว่า เช่น ถ้าเกิดว่าพลังของระดับที่สองสามารถส่งผลต่อหลุมดำที่มีขนาดใหญ่กว่าดวงอาทิตย์หลายพันเท่าได้ พลังของพวกมันก็ไม่สามารถส่งผลต่อกาแล็กซี่ได้ ถ้าให้อธิบายง่ายๆ ระยะที่พลังของพวกมันส่งถึงนั้นสิ้นสุดถึงแค่หลุมดำเท่านั้น เหมือนกระสุนปืนนั่นแหละ ถ้าอยู่ไกลเกินไปกระสุนก็จะไปไม่ถึง”
“แต่ระดับสามมันต่างกัน มันสามารถบิดเบือนกาแล็กซี่ได้อย่างง่ายดายเลยล่ะ”
“อืม…”
เธอไม่รู้จะพูดอะไรแล้วในตอนนี้
“ระดับที่สี่ ‘หายนะ’ มันคือระดับที่อันตรายมาก แค่การดำรงค์อยู่ของพวกมันก็มีความเสี่ยงที่จะทำให้มนุษย์ชาติสูญพันธุ์แล้ว ในขณะที่ระดับก่อนหน้านี้ต้องใช้พลังของตัวเองถึงจะสั่นคลอนมวลมนุษย์ได้ ระดับที่สี่กลับสามารถทำให้ทั้งจักรวาลสั่นคลอนได้เพียงแค่การมีตัวตนของพวกนั้น”
“แต่ไม่ต้องกังวลขนาดนั้นหรอก อย่าทำหน้าซีดแบบนั้น ระดับ ‘หายนะ’ ที่ปรากฏตัวขึ้นนั้น ในประวัติศาสตร์มีเพียงแค่ตัวเดียว หรือถ้าให้ถูก ‘พระองค์เดียว’ “
พระองค์? ยูริมองหน้าอีกฝ่ายอย่างสงสัย และรอให้เขาพูดต่อ
“ระดับที่ห้าคือ ‘กฎระเบียบ’ พวกนั้นคือตัวตนที่ควบคุมเจตจำนงค์ของโลกและสร้างการดำรงค์อยู่ต่างๆ ขึ้นมา เช่นแรงโน้มถ่วง กฎฟิสิกส์ ความบังเอิญ ความเป็นไปได้ และเหตุผลทั้งมวล”
ระดับที่ห้าก็อันตราย…แต่เดี๋ยวนะ โนอาจงใจเมินระดับที่สี่เหรอ? เธอสงสัยว่าใครกันที่โนอาถึงกับเรียกว่า ‘พระองค์’ เมื่อกี้นี้ แต่ดูแล้วเขาน่าจะจงใจไม่ตอบสินะ
“แต่ เดี๋ยวนะ ระดับที่ห้าคือสร้างกฎระเบียบ แล้วทำไมระดับที่สองถึงสามารถแหกกฎระเบียบได้ล่ะ?”
ระดับห้าทรงพลังกว่าระดับสอง แต่ระดับสองกลับสามารถแหกกฎเกณฑ์ของระดับห้าได้เนี่ยนะ?
“ใช่ว่ากฎระเบียบทุกอย่างจะเป็นสิ่งที่ระดับห้าสร้างนะ บางครั้งกฎเกณฑ์บางอย่างก็เกิดขึ้นมาเอง เราเรียกกฎเกณฑ์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติพวกนั้นว่า ‘กฎธรรมชาติ’ ส่วนกฎระเบียบที่ถูกสร้างขึ้นด้วยฝีมือของสิ่งผิดปกติหรือพระเจ้า เราเรียกมันว่า”
“ฟันเฟืองแห่งโลก”