ฉันก็แค่อยากตาย แต่ไหงต้องมาเกิดใหม่ด้วยล่ะ! - ตอนที่ 37 ผู้ส่งสารแห่งชะตา
“อ๊าาา เตียงนุ่มๆ แบบนี้คือสวรรค์ชัดๆ เลย!”
ร่างเล็กๆ กระโจนลงไปบนเตียงพลางเหวี่ยงขาไปมา ยูริเอาหน้าซุกไซ้ไปกับหมอนพลางยิ้มกว้าง รู้สึกผ่อนคลายอย่างประหลาดยามที่นำตัวเองโยนลงไปบนเตียง
“ยูริจังชอบขนาดนั้นเลยเหรอ?”
ฮันน่าถามยิ้มๆ พลางนั่งลงบนขอบเตียง ใช่ว่าเธอจะไม่เข้าใจความรู้สึกของน้องสาว ใครบ้างล่ะจะไม่ชอบเตียงนุ่มๆ กับผ้าห่มอุ่นๆ
“ชอบสุดๆ ไปเลยล่ะค่ะ!”
เด็กสาวดีดตัวเองขึ้นมาจากหมอนพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มสดใส
ใช่แล้ว ในฐานะของฆาตกรต่างโลกที่มักจะใช้ชีวิตแบบโลดโผนและเต็มไปด้วยความตึงเครียดตลอดเวลา ช่วงเวลาที่เธอรู้สึกชอบมากที่สุดรองลงมาจากการฆ่าคนก็คือการนอนบนเตียงนุ่มๆ และได้ห่มผ้านวมอุ่นๆ
เธอแค่ชอบความรู้สึกอบอุ่นที่เกิดจากการนอนกอดหมอนข้างและเอาตัวเองซุกลงไปในผ้าห่มแล้วก็นอนขดตัวเป็นลูกบอลเท่านั้นเอง
ในหลายๆ ครั้ง เวลาที่เธอเหนื่อยจากการ ‘ทำงาน’ การนอนกอดผ้าห่มกับหมอนข้างก็ทำให้เธอรู้สึกถึงไออุ่นได้
เธอก็ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงชอบอะไรแบบนั้น แต่นั่นก็เป็นเพียงหนึ่งในความชอบไม่กี่อย่างของเธอที่ ‘ปกติ’ ที่สุดแล้ว
“พี่ดีใจนะที่ยูริจังชอบ”
ฮันน่าเอนตัวลงนอนข้างๆ อีกฝ่าย รู้สึกเหนื่อยเกินกว่าจะไปอาบน้ำแล้วในตอนนี้ หลังจากการกลับมาจากภัตตาคารทั้งคู่ก็เหนื่อยขึ้นมากเพราะกินของอร่อยๆ ไปเยอะ
มันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุข
ยูริเองก็ไม่อยากจะยอมรับ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการได้ใช้ช่วงเวลาทั้งหมดกับฮันน่ามันทำให้เธอรู้สึกดีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
แม้ว่าในอดีตเธอจะเสพติดการก่อความวุ่นวายและสร้างความโกลาหลมาก แต่ตอนนี้เธอมีความสุขเกินกว่าจะอยากทำชั่ว
ยังไงดีล่ะ อาการเสพติดของเธอเหมือนจะหายไปแล้ว
เป็นไปได้รึเปล่านะว่าอาการทางจิตของเธอได้รับการเยียวยาจากการได้มาเจอฮันน่า?
อาจจะเป็นไปได้ก็ได้
ยูริมักจะรู้สึกเสมอๆ ว่าฮันน่านั้นพิเศษกว่าคนอื่น แม้ว่าเธอจะไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงรู้สึกอย่างงั้นก็ตาม
“จะว่าไปยูริจังดูเปลี่ยนไปรึเปล่า?”
“เปลี่ยนไปเหรอคะ?”
“ใช่ ดูสดใสขึ้นมากเลยนะ พี่จำได้ว่าตอนที่พวกเราเจอกันแรกๆ ยูริจังยังดูไม่เป็นแบบตอนนี้เลยน่ะ”
แวมไพร์อย่างฮันน่าสามารถดมกลิ่นและรับรู้ได้ว่าคนอื่นๆ กำลังรู้สึกอะไรหรือมีอารมณ์แบบไหนอยู่
ถ้าหากมนุษย์ที่เธอดมกลิ่นเต็มไปด้วยห้วงอารมณ์ด้านลบ กลิ่นของมนุษย์คนนั้นก็จะเหมือนกับกลิ่นของเน่าเหม็นนานาชนิด ถ้าหากว่ามนุษย์คนที่เธอดมกลิ่นเต็มไปด้วยห้วงอารมณ์ด้านบวก กลิ่นของคนๆ นั้นก็จะหอมกว่าปกติ
และฮันน่ายังสามารถแยกแยะได้อีกด้วยว่าอารมณ์ในตอนนั้นคืออารมณ์อะไรกันแน่ เช่นหากมีอารมณ์ด้านลบอย่างความโกรธ กลิ่นของคนๆ นั้นก็จะเหมือนเลือดเน่าๆ
หากมนุษย์ที่เธอดมกลิ่นเต็มไปด้วยอารมณ์เศร้า มันจะเหมือนกลิ่นของฝนที่กำลังตกลงมาและผสมผสานไปกับกลิ่นท่อระบายน้ำ
หากคนๆ นั้นมีความสุข กลิ่นก็จะเหมือนดอกกุหลาบ
นอกจากนี้ยังมีกลิ่นแยกย่อยมากมายแตกต่างกันไป
กลิ่นที่เธอรู้ได้จากยูริจังก่อนหน้านี้ มันคือกลิ่นของกำมะถัน
มันเป็นกลิ่นของคนที่ ‘ไม่มีความรู้สึกอะไรหลงเหลือเลย’
ยูริอาจจะไม่รู้ แต่ฮันน่ารู้ตั้งนานแล้วว่าน้องสาวของเธอนั้นแปลกและผิดปกติไปจากเด็กคนอื่นๆ
เด็กปกติไม่มีทางมีอารมณ์ด้านลบที่รุนแรงขนาดนั้นแน่ๆ ในหลายๆ ครั้งเวลาที่ฮันน่าดมกลิ่นอารมณ์ของอีกฝ่าย เธอมักจะรู้สึกเหมือนกำลังจะตายอยู่เสมอๆ
กลิ่นของความว่างเปล่า ไร้ความรู้สึกใดๆ อย่างสิ้นเชิง
แน่นอน ฮันน่าไม่ได้มองว่ายูริคือตัวประหลาดหรืออะไรแบบนั้น เธอมองว่าอีกฝ่ายก็คือน้องสาวที่น่ารักของเธอเท่านั้นเอง
ที่ผ่านๆ มาเธอตามใจอีกฝ่ายและพยายามทำให้ยูริมีความสุขมาตลอด
และดูเหมือนว่ามันจะได้ผล
“ฮ่าๆ บางทีหนูอาจจะชอบการได้ออกไปเที่ยวกับพี่ล่ะมั้งคะ”
ยูริเอ่ยพลางหัวเราะคิกคัก นั่นทำให้ฮันน่าโล่งใจได้ไม่น้อย
ตอนที่เจอกันครั้งแรกๆ ยูริมักจะแสดงสีหน้าสดใสและใสซื่ออยู่เสมอๆ เสมือนกับว่าอีกฝ่ายคือเด็กไร้เดียงสาตามปกติคนหนึ่ง
แต่ฮันน่าก็รู้ว่าอีกฝ่ายมีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่าที่เห็น เผลอๆ อาจจะมีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเธอด้วยซ้ำ
ฮันน่าไม่รู้ว่าที่ผ่านมายูริใช้ชีวิตมาแบบไหนกลิ่นของเธอถึงได้ดูเหมือนกำมะถันอย่างนั้น แต่ดูก็รู้ว่ามันไม่ใช่ชีวิตที่มีความสุขแน่
ดังนั้น ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอกัน ฮันน่าก็ได้ตั้งปฏิญาณกับตัวเองว่าจะหาทางทำให้ยูริจังมีความสุขให้ได้
“งั้นเหรอ งั้นคราวหน้าออกไปเที่ยวกันอีกนะ”
ฮันน่ายิ้มสดใส รู้สึกดีใจที่สภาพจิตใจของน้องสาวของเธอเริ่มค่อยๆ ฟื้นตัวกลับมาทีละนิด
ถ้าก่อนหน้านี้สิ่งที่เธอรู้สึกได้จากอีกฝ่ายคือความรู้สึกว่างเปล่า เวิ้งว้าง และ ‘แตกสลาย’ ความรู้สึกของอีกฝ่ายที่เธอรู้สึกได้ในตอนนี้คือ ‘มีความสุข’
ตอนนี้กลิ่นกำมะถันกำลังผสมผสานไปกับกลิ่นดอกกุหลาบ มันเป็นกลิ่นที่แปลกแต่ก็มีเอกลักษณ์ในเวลาเดียวกัน
ความจริงฮันน่าเองก็อยากถามอดีตของยูริ แต่ติดปัญหาว่า
น้องสาวของเธอความจำเสื่อม นอกจากนี้ตัวของเธอเองก็มีความลับมากมายที่ปกปิดอีกฝ่ายเอาไว้
ฮันน่ารู้สึกว่าตัวเองไม่ควรที่จะซักไซ้อดีตของอีกฝ่าย ในเมื่อเธอยังเก็บงำความลับในอดีตของตัวเองเอาไว้อยู่เลย
และฮันน่าก็คาดหวังว่าความลับของเธอจะกลายเป็นความลับชั่วนิรันดร์
ยูริมองสีหน้าของแวมไพร์สาวที่กำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ด้วยความสงสัยเล็กๆ
ถ้าหากเป็นคนอื่นก็คงไม่ติดใจกับคำพูดของฮันน่ามากนัก แต่เธอเป็นฆาตกรมากประสบการณ์
ทำไมฮันน่าถึงบอกว่าเธอดูเปลี่ยนไป แถมดูสดใสขึ้นกันล่ะ? ในเมื่อที่ผ่านๆ มาเธอก็แสดงละครว่าตัวเองเป็นเด็กปกติมาตลอด
ยูริมั่นใจมากว่าที่ผ่านมาเธอแสดงละครได้อย่างแนบเนียนมาก การแสดงออกภายนอกของเธอดูเหมือนเด็กจริงๆ เด็กที่น่ารักใสๆ ดื้อซนนิดหน่อย และอยากรู้อยากเห็น
ที่ผ่านๆ มาตั้งแต่อดีตจนถึงตอนนี้ เธอก็แสดงมาตลอด ไม่เคยขาดตกบกพร่องเลยแม้แต่ครั้งเดียว
แล้วทำไมฮันน่าถึงมองว่า ‘เธอเปลี่ยนไป’ ไม่ใช่ ‘สดใสร่าเริงไม่เปลี่ยนแปลง’ ล่ะ?
จริงสิ ถ้าจำไม่ผิด มีครั้งหนึ่งที่ฮันน่าเคยเล่าให้ฟังว่าแวมไพร์สามารถดมความรู้สึกของมนุษย์คนอื่นได้
แสดงว่าที่ผ่านๆ มาฮันน่ารู้มาตลอดเลยเหรอว่าเธอแค่เสแสร้งทำเป็นเด็กสดใสร่าเริงเท่านั้น ส่วนข้างในนั้นกลวงเปล่าไม่ต่างอะไรจากหุ่นยนต์น่ะ?
ยูริรู้สึกสงสัย แต่เธอก็ไม่ได้แสดงสีหน้าออกไป เธอไม่เข้าใจว่าทำไมฮันน่าถึงไม่พูดอะไรสักคำเรื่องที่เธอไม่มีความรู้สึกอะไรเลย
แต่ถ้าอีกฝ่ายตัดสินใจว่าจะไม่พูด เธอก็จะไม่ถามถึงเรื่องนี้
เรื่องบางเรื่องน่ะ ปล่อยให้มันเป็นความลับต่อไปดีกว่า
แต่—ยังมีเรื่องต้องยืนยันอีกหน่อย
“พี่คะ พี่เคยบอกว่าแวมไพร์สามารถดมกลิ่นอารมณ์ของผู้คนได้ใช่ไหมคะ?”
ยูริสังเกตว่าฮันน่าสะดุ้งเฮือก อีกฝ่ายคงพอเดาได้ว่าทำไมจู่ๆ ยูริถึงสงสัยขึ้นมา
ฮันน่ารู้ว่ายูริรู้ว่าแวมไพร์มีความสามารถในการรับรู้อารมณ์ของมนุษย์ การที่เธอบอกกับอีกฝ่ายไปว่าเปลี่ยนไปหรืออะไรทำนองนั้น มันทำให้ยูริจับสังเกตุได้ว่าฮันน่ารู้ว่าเธอเป็นคนยังไงมาตั้งแต่แรกแล้ว
แต่—คาดไม่ถึงเลยว่ายูริจังจะฉลาดขนาดนี้ เธอแค่พูดว่าอีกฝ่ายเปลี่ยนไปเท่านั้น แต่ยูริสามารถนำเหตุและผลต่างๆ มาเชื่อมโยงกันจนสามารถอนุมานได้ว่าฮันน่ารู้ทันเธอตั้งแต่แรกแล้ว
และฮันน่าก็พอเดาได้ว่ายูริรู้เท่าทันความคิดของเธอในตอนนี้ด้วย
น้องสาวของเราเป็นอัจฉริยะรึเปล่านะ?
แทนที่จะระแวงในสติปัญญาของอีกฝ่าย ฮันน่ากลับรู้สึกดีใจซะมากกว่า
ถ้ายูริฉลาดขนาดนี้ การใช้ชีวิตก็จะง่ายกว่าปกติมาก เรียนรู้ง่าย ไม่ตกเป็นเหยื่อของใคร และเอาตัวรอดได้
มัน—น่าภาคภูมิใจสุดๆ ไปเลย
“ใช่แล้ว พี่กับแวมไพร์คนอื่นๆ สามารถทำแบบนั้นได้”
“งั้นเหรอคะ? งั้นแปลว่าพี่ระบุได้ใช่ไหมว่าใครเป็นคนดีหรือคนไม่ดีน่ะค่ะ?”
ยูริอยากรู้ว่าฮันน่าสามารถทำแบบนั้นได้ไหม ถ้าทำได้ แปลว่าฮันน่าก็รู้ว่าเธอเป็นคนเลวมาตั้งแต่ต้น
แล้วทำไมฮันน่าถึงไม่พูดอะไรเลยล่ะ?
“อะไรนะ? ไม่ๆ พี่แค่จำแนกความรู้สึกของผู้คนในตอนนั้นเท่านั้นเอง”
ฮันน่าโบกมืออย่างร้อนรน เธอคิดว่า ‘หรือว่ายูริจังจะคิดว่าตัวเองเป็นคนไม่ดีเพราะอารมณ์ว่างเปล่าของตัวเองกันนะ?’
“พี่แค่รับรู้ได้ถึงความสุขหรือความทุกข์เท่านั้นเอง การที่คนๆ หนึ่งมีอารมณ์แจ่มใสมันไม่ได้แปลว่าคนๆ นั้นเป็นคนดีหรอกนะ แน่นอนว่าการที่คนๆ หนึ่งเต็มไปด้วยอารมณ์ด้านลบมันไม่ได้แปลว่าคนๆ นั้นจะเป็นคนชั่วด้วย”
คนดีใช่ว่าจะต้องมีความสุขตลอดเวลา คนชั่วใช่ว่าจะต้องอยู่อย่างทุกข์ทนไปตลอดกาล
ความสามารถของเธอไม่สามารถจำแนกนิสัยของคนได้ เพราะถ้าจำแนกได้ด้วยตรรกะที่ว่า ‘ถ้ามีความสุขเท่ากับเป็นคนดี มีอารมณ์ด้านลบแปลว่าเป็นคนชั่ว’
ถ้าใช้ตรรกะนั้น ฆาตกรต่อเนื่องที่ ‘มีความสุข’ กับการฆ่าคนคงเป็นคนดีที่ควรเอาอย่างไปแล้ว
“เข้าใจแล้วค่ะ”
ยูริพยักหน้าเบาๆ แต่แอบรู้สึกผิดหวังอย่างประหลาด
อยากรู้—อยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าฮันน่ารับรู้ถึงอดีตอันเลวร้ายที่เธอก่อเอาไว้ทั้งหมด
อีกฝ่ายจะมอบความรักในฐานะของพี่สาวให้เธอแบบนี้ได้เหมือนเดิมรึเปล่า?
หรือจะแสดงท่าทีรังเกียจแบบที่คนปกติควรรังเกียจกันแน่
ให้ตายสิ แล้วทำไมเธอถึงอยากรู้ด้วยล่ะเนี่ย? มันสำคัญตรงไหน
ให้ตายสิ ฮันน่าพูดถูก เธอเปลี่ยนไปจริงๆ ด้วย
แล้ว—มันเป็นการเปลี่ยนไปในทางที่ดีหรือเปล่านะ?
“สวัสดีสาวน้อย เราได้พบกันอีกแล้ว”
โนอา ลอติอุสยิ้มมุมปากขณะที่กำลังอ่านหนังสืออยู่หลังเคาน์เตอร์พนักงานเก็บกุญแจ ใบหน้ายามอ่านหนังสือดูมีเสน่ห์น่าดึงดูด
“…ใช่ เจอกันอีกแล้ว”
วาคาดะ ซายูริพูดเสียงค่อย มุมปากของเธอกระตุกเบาๆ
“นับว่าคราวก่อนคุณทำได้ดีมาก แม้จะพึ่งเริ่มแต่คุณก็สามารถหาสาวกมาเข้าร่วมลัทธิของคุณได้ถึงสามคนแล้ว”
ชายหนุ่มปิดหนังสือก่อนจะเปลี่ยนท่านั่งและเอนตัวกับหลังเก้าอี้อย่างสบายใจ
“ก็นะ…ขอบคุณสำหรับคำชม”
ยูริหรี่ตาลงพลางวิเคราะห์อีกฝ่ายอย่างใจเย็น ตอนเจอกันก่อนหน้านี้มันค่อนข้างกะทันหันเกินไปทำให้เธอไม่มีเวลาตั้งตัวมากนัก แต่ตอนนี้มันแตกต่างกัน
“คุณไม่คิดจะบอกฉันหน่อยเหรอ? คุณเป็นใคร?”
ยูริรู้สึกสงสัยในตัวของอีกฝ่าย ชายตรงหน้าของเธอคือคนที่ทำให้เธอรู้ถึงการมีอยู่ของผู้ชักใยที่คอยควบคุมชะตากรรมของเธอ และยังเป็นคนที่แนะนำว่าถ้าหากอยากหลุดพ้นจากการกักขังของโชคชะตา เธอก็ต้องสร้างศาสนาของตัวเองขึ้นมา
แม้ว่ามองจากภายนอกชายตรงหน้าจะดูปรารถนาดีต่อเธอ แต่
ยูริก็รู้ดีว่าบนโลกนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ
อีกฝ่ายคือใคร เป็นตัวตนแบบไหน และมีเป้าหมายอะไร ทำไมต้องช่วยเธอ
ถ้าหากว่าอีกฝ่ายยังทำตัวลึกลับและไม่ยอมบอกล่ะก็ เธอคงไม่สามารถไว้ใจอีกฝ่ายได้อย่างเต็มที่
“อืม…ผมเป็นใครงั้นเหรอ”
โนอาทำสีหน้าครุ่นคิดเป็นจริงเป็นจัง
“ผมมีหลายตัวตน ทั้งศูนย์กลางของชะตากรรม วังวนที่มิอาจหลีกเลี่ยง แต่ชื่อที่ผมอยากให้คุณเรียกผมมากที่สุด”
โนอาหรี่ตาลงเล็กน้อย
“ผู้ส่งสารแห่งชะตา”