ฉันก็แค่อยากตาย แต่ไหงต้องมาเกิดใหม่ด้วยล่ะ! - ตอนที่ 34 น้องสาว
“ฮะ ฮัดชิ้ว!”
“คันนะ พี่บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าอย่าออกไปข้างนอก แล้วยิ่งในตอนดึกแบบนี้อีก”
“ข ขอโทษ…ค่ะ”
“ไม่ต้องขอโทษหรอก แค่คราวหน้าทำอะไรคิดหน้าคิดหลังกว่านี้ก็พอ”
โรนาพูดด้วยเสียงเรียบเฉยแต่แฝงไปด้วยความเป็นห่วง เธอใช้ผ้าชุบน้ำซับไปที่หน้าผากของน้องสาวตัวน้อยก่อนจะวางมันเอาไว้
“เอาไว้ทั้งอย่างงั้นก่อน เดี๋ยวอีกสิบนาทีพี่จะมาเปลี่ยนผ้าให้”
“ข ขอบคุณค่ะ…ฮ ฮัดชิ้ว!”
เด็กสาวตัวน้อยจามออกมาอีกครั้ง ดวงตาสีฟ้าของเธอดูอ่อนล้า ผมสีน้ำตาลอ่อนดูยุ่งเหยิงกว่าปกติเพราะอาการป่วยของตน ภาพของเด็กน้อยยามนอนอยู่บนเตียงดูราวกับตุ๊กตาที่น่ารักน่าเอ็นดู
คันนะคือคนที่อายุน้อยที่สุดในบ้าน เธอเป็นเด็กตัวเล็กๆ ที่มีอายุเพียงห้าขวบเท่านั้น ในบางครั้งโรนาก็ต้องปวดหัวเวลาที่เทรซี่หลอกให้อีกฝ่ายไปทำอะไรสักอย่างแล้วคันนะกลับทำตามโดยไม่สงสัยเลยแม้แต่น้อย
เธอคิดว่าบางทีน้องสาวคนนี้ก็ใสซื่อและไร้เดียงสาเกินไปหน่อย แต่อย่างน้อยเธอก็คือความสดใสในชีวิตอันน่าเบื่อของเธอ และเป็นคนที่ทำให้เทรซี่ที่แสนซุกซนไม่เบื่อหรือเหงาเวลาเธอไม่อยู่บ้านด้วย
แต่คงต้องบอกให้อีกฝ่ายเลิกแกล้งน้องแบบนี้ได้แล้ว! คราวนี้มันเป็นการแกล้งที่แรงเกินไป ถ้าคันนะมีร่างกายแข็งแรงดีก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่อีกฝ่ายเป็นเพียงแค่เด็กห้าขวบที่ร่างกายอ่อนแอจนต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการนอนซมบนเตียงก็เท่านั้นเอง
โรนาก้าวเท้าไปตามทางเดินและเปิดประตูห้องของเทรซี่ออก ก่อนจะพบว่าอีกฝ่ายนอนน้ำลายยืดอยู่บนเตียงอย่างสบายอารมณ์ราวกับไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อยที่ตัวเองถูกกักบริเวณ
“เฮ้อ”
หญิงสาวถอนหายใจ เธอตั้งใจว่าจะมาดุอีกฝ่ายสักหน่อยที่ทำให้คันนะเกือบตายเพราะความซนไม่เข้าเรื่อง แต่พอเห็นหลับสนิทแบบนี้แล้ว เธอไม่อยากปลุกเลย
“ผ้าก็ไม่ห่ม เดี๋ยวก็ป่วยไปอีกคนหรอก”
เธอรำพันก่อนจะเดินไปคลุมผ้าห่มให้อีกฝ่าย มุมปากยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย สายตาดูอ่อนโยนกว่าที่เคย
“ขนม เทรซี่อยากกิน…”
เด็กน้อยละเมอเบาๆ ขณะที่มือคว้าไปในอากาศ หน้านิ่วเล็กน้อยแม้ว่าดวงตาจะยังคงปิดสนิท
“เฮ้อ งดขนมด้วยดีไหมนะ”
โรนาส่ายหัวยิ้มๆ ก่อนจะหันหลังและออกจากห้องไป
คงต้องขยันทำงาน เก็บเงิน จากนั้นก็แบ่งเงินบางส่วนไปลงทุน บางส่วนนำไปซื้อสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต และอีกส่วนก็นำไปเป็นค่ารักษาให้กับคันนะ
เธอคิดว่าอนาคตจะออกไปหางานพิเศษเพิ่มอีกหน่อย น้องสาวของเธอจะได้อยู่สบาย
แม้ว่ามันจะทำให้เธอต้องเหนื่อยกว่าเดิมสองเท่าก็ตาม
ยูริป้องปากหาวขณะที่ตื่นมาอาบน้ำแต่งตัวตามปกติ ใบหน้าเซื่องซึมเพราะตื่นแต่เช้า และเพราะเมื่อคืนเธอนอนดึกเกินไป มันทำให้กว่าฮันน่าจะปลุกเธอได้ก็ใช้เวลาค่อนข้างนานเลยทีเดียว
ตามปกติแล้วฮันน่ามักจะนอนตื่นสายเสมอๆ ในบางครั้งถ้านอนด้วยกันอีกฝ่ายก็จะนอนดิ้นแล้วเผลอถีบเธอตกเตียงด้วย บางครั้งฮันน่าก็ตกเตียงซะเอง เวลาปลุกก็ปลุกยากซะเหลือเกิน
แต่คราวนี้บทบาทของทั้งคู่กลับสลับกันซะอย่างงั้น นั่นทำให้ยูริรู้สึกเสียหน้าอย่างบอกไม่ถูก
คราวหน้าจะไม่มีแบบนี้แน่!
“เสร็จรึยังยูริจัง พี่รอนานแล้วนะ”
“รอแป๊ปค่ะ”
เด็กสาวป้องปากหาวขณะที่เปิดตู้เสื้อผ้าก่อนจะเลือกเสื้อที่ตัวเองถูกใจมาใส่ น่าเสียดายที่ไม่มีเสื้อผ้าแบบผู้ชายหรือกางเกงให้เธอใส่เลย ในโลกเก่าเธอใส่อะไรแบบนั้นบ่อยๆ และชินกับมันซะมากกว่า
อย่างเช่นชุดสูท ชุดอยู่บ้านสบายๆ ชุดนักกีฬาที่ใช้ในหลายๆ สถานการณ์ เช่นวิ่งหนีตำรวจหรือฆาตกรรมเป็นต้น
แต่ตอนนี้เธอไม่สามารถเลือกชุดพวกนั้นมาใส่ได้แล้ว แถมในตู้เสื้อผ้ายังมีแต่ชุดเสื้อผ้าสำหรับเด็กเจ็ดขวบอีกต่างหาก
จะว่าไปตอนเธอมาโลกนี้ครั้งแรกชุดแรกที่เธอได้ใส่ก็คือชุดเดรสสีขาวสินะ จะว่าไปตอนนั้นทำไมในตู้เสื้อผ้าของฮันน่าถึงมีเสื้อผ้าที่พอดีตัวกับเธอได้ล่ะ?
เดี๋ยวนะ จะว่าไปผ่านมาตั้งนานแล้วพึ่งจะคิดได้ ตอนนั้นเธอกับฮันน่าเจอกันครั้งแรก แล้วฮันน่าไปเอาชุดสำหรับเด็กพวกนั้นมาจากไหน?
ฮันน่าไม่มีเหตุผลอะไรให้เก็บเสื้อผ้าพวกนั้นเอาไว้ เธอโตเกินกว่าที่จะใส่มันได้แล้ว แล้วทำไมตอนนั้นถึง—
หรือฮันน่าจะเคยมีลูกสาว? ไม่สิ จะบ้ารึไง ฮันน่าพึ่งจะสิบห้าเองนะ ถ้ายังไม่บรรลุนิติภาวะก็ยังแต่งงานไม่ได้หรอก
เผลอคิดอะไรที่มันโคตรจะมืดมนซะงั้น…
เธอเผลอจินตนาการว่าในอดีตฮันน่าเคยมีแฟนหนุ่มมาก่อน แล้วไอ้หนุ่มนั่นทำเธอท้องก่อนจะชิ่งหนีไปอย่างไร้ความรับผิดชอบ ปล่อยให้ฮันน่ากับลูกสาวต้องใช้ชีวิตเพียงลำพัง
นั่นมัน…สมเหตุสมผล ไม่งั้นฮันน่าจะมีวุฒิภาวะสูงและมีความเป็นแม่ขนาดนี้ได้ยังไง? แถมเรื่องเสื้อผ้าเด็กนั่นอีก
ยูริตัดสินใจเลือกเสื้อผ้าชุดหนึ่งด้วยความรู้สึกที่ไม่ค่อยสบายใจนัก ทำไมเธอถึงรู้สึกแย่แปลกๆ กับการสันนิษฐานนั่นนะ
ชุดที่เธอเลือกคือชุดวันพีชสีขาว ไม่มีระบายเสื้อผ้า เบาบางและสวมใส่สบาย ตัวชุดสีขาวดูเข้ากับผมสีเงินและดวงตาสีแดงของเธออย่างมาก
เธอเดินออกไปจากห้องนอนและเดินไปหาฮันน่าที่กำลังดื่มน้ำรอเธออยู่ อีกฝ่ายดูเหม่อลอยราวกับกำลังฆ่าเวลาระหว่างที่นั่งรออย่างไร้จุดหมาย
“พี่เคยมีลูกสาวใช่รึเปล่าคะ?”
อึก!ฮันน่าสะดุ้งสุดตัวและเกือบจะสำลักน้ำ น้ำจากในแก้วกระเซ็นออกมาบางส่วนและเลอะเสื้อผ้าของเธอ แต่แวมไพร์สาวก็ไม่ได้สนใจมันเลย
“อะไรทำให้ยูริจังคิดอย่างงั้นล่ะ?”
เธอมองน้องสาวเหมือนมองคนบ้า นั่นทำให้ยูริเริ่มคิดแล้วว่าบางทีเธออาจจะแค่มโนไปเองตั้งแต่ต้นก็ได้
ฮันน่ามองเสื้อผ้าที่อีกฝ่ายใส่ก่อนจะคาดเดาบางสิ่งได้อย่างเลือนราง
“ยูริจังสงสัยใช่ไหมว่าตอนเจอกันครั้งแรกพี่มีเสื้อผ้าขนาดพอดีตัวให้ยูริจังได้ยังไง”
เด็กสาวสะดุ้ง เธอคาดไม่ถึงว่าฮันน่าจะคาดเดาความคิดของเธอถูก เธอรู้ว่าอีกฝ่ายฉลาด แต่ก็ไม่คิดว่าจะฉลาดขนาดนั้น
บางทีเธออาจจะต้องเปลี่ยนความคิดซะใหม่
ฮันน่ารู้ว่าน้องสาวของเธอเป็นเด็กฉลาด ไม่สิ ต้องเรียกว่าแม้แต่เธอก็ยังเทียบไม่ได้ในหลายๆ ด้านเลยด้วยซ้ำ
เธอรู้ว่าที่ผ่านๆ มาน้องสาวของเธอไม่เคยสงสัยหรือตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ เธอเลยไม่คิดจะบอก และคิดว่าไม่มีความจำเป็นต้องบอก
ฮันน่าคาดเดาว่าบางทียูริอาจจะเปิดประตูตู้เสื้อผ้า และระหว่างที่กำลังเลือกเสื้อผ้าอยู่ ด้วยความฉลาดของอีกฝ่าย มันทำให้ยูริเชื่อมโยงเหตุการณ์ตอนที่เจอกับเธอครั้งแรกกับเสื้อผ้าพวกนี้
ใช่ เพราะฮันน่ารู้จักยูริดีในระดับหนึ่ง มันทำให้เธอสามารถอนุมานแบบย้อนกลับและอนุมานได้ว่าน้องสาวของเธอจะอนุมานอะไรออกมายามได้เห็นเสื้อผ้าพวกนั้น
นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ฮันน่าสามารถคาดเดาความคิดของยูริออก แต่ความจริงมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกขนาดนั้น โรงเรียนที่เธอเคยเรียนสอนเรื่องการอนุมานหรือการวิเคราะห์โดยเรียงลำดับและเหตุผลอยู่แล้ว
ความจริงความสามารถในการคิดหรือการวิเคราะห์ของเธอถือว่าไม่ติดหนึ่งในร้อยของนักเรียนทั้งหมดด้วยซ้ำ
“ก็….ใช่ค่ะ นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมหนูถึงคิดว่าพี่เคยมีลูกสาว”
ยูริบิดตัวไปมาพลางก้มหน้า รู้สึกขายหน้าอย่างประหลาด
สักพักเธอก็ได้ยินเสียงฮันน่าที่กำลังกลั้นหัวเราะอย่างสุดชีวิต
“พี่คะ?”
“อุปส์ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ขอโทษ—ขอโทษด้วยยูริจัง ฮะฮะฮ่าฮ่าฮ่า”
แวมไพร์สาวไอถี่ๆ พลางงอตัวและพยายามหยุดยั้งตัวเองจากการหัวเราะ แต่เธอหยุดมันไม่ได้จริงๆ
ลูกสาว? นั่นเป็น เอ่อ มุกที่ตลกที่สุดเท่าที่เธอเคยได้ยินมาเลย
“มีอะไรน่าขำเหรอคะ?”
ยูริทำหน้ามุ่ยพลางกอดอกอย่างไม่รู้ตัว แก้มของเธอพองขึ้นเล็กน้อย
“อุปส์ ฮะฮะ อย่างอนเลยยูริจัง มันแค่ตลกนิดหน่อย”
ฮันน่าเช็ดน้ำตาที่หางตาก่อนจะพยายามดึงสีหน้าของตนให้กลับมาเป็นปกติ แต่ยังคงมีร่องรอยของความขบขันอย่างชัดเจน
“พี่ไม่เคยมีแฟน ยังไม่เคยแต่งงาน และยังไม่เคยมีลูกด้วย โถ่ พี่พึ่งจะอายุสิบห้าเอง!”
นี่…ยูริอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง
เธอเดาผิดมาตั้งแต่ต้นแล้วเหรอ? สรุปก็คือการวิเคราะห์ ความกังวล และความคิดของเธอ ทั้งหมดนั่นมันผิดมาตั้งแต่แรกแล้วเหรอ?
เธอเดาผิดและมโนไปไกลแบบไม่ทันคิดให้ดีด้วยซ้ำ…แล้วสรุปว่าถ้าฮันน่าไม่เคยมีลูกสาว แล้วเสื้อผ้าพวกนั้นคือ?
“พี่มีรสนิยมแปลกดีนะคะ…”
สีหน้าของฮันน่าแข็งค้าง เธอมองยูริด้วยสายตาแปลกๆ
“ยูริจัง…พี่ไม่ได้มีเสื้อผ้าของเด็กเพราะมีรสนิยมสะสมของแบบนี้หรอกนะ…”
เธอไม่ได้เป็นโรคจิตสักหน่อย อีกอย่าง ทำไมการคิดของยูริจังถึงไปไกลได้ขนาดนั้นล่ะ?
นี่น้องสาวของเธอเห็นเธอเป็นคนยังไงกัน…
“เหรอคะ ไม่ค่อยน่าเชื่อถือเลย”
ยูริขมวดคิ้วพลางนึกถึงอดีต ตอนที่รู้จักกันใหม่ๆ ฮันน่ามักจะหาเหตุผลมาล่อลวงให้เธอนอนด้วยกันกับอีกฝ่ายเสมอ บางครั้งเธอก็สงสัยว่าฮันน่าเป็นโลลิค่อนรึเปล่า
แต่พอเสี่ยงแล้วไปนอนด้วยก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น อีกฝ่ายเพียงแค่ลูบหัวของเธอก่อนจะกอดแน่นๆ แล้วหลับไปก็เท่านั้น
“นี่พูดจริงนะ พี่ไม่ใช่คนแปลกๆ แบบนั้นสักหน่อย”
ฮันน่าพูดด้วยท่าทางเศร้าใจเล็กน้อย นี่ตกลงยูริจังมองฉันเป็นคนยังไงเนี่ย? ภัยสังคมเหรอ?
คำตอบคือ ใช่
“แล้วเสื้อผ้าพวกนั้นคือเสื้อผ้าของใครเหรอคะ? ถ้าพี่ไม่ได้มีรสนิยมแปลกๆ อย่างการสะสมเสื้อของเด็กหรือการสวมเสื้อผ้าให้ตุ๊กตาขนาดเท่าคนจริง— “
ยูริหยุดนิ่งไปเมื่อเห็นว่ามุมปากของฮันน่ากระตุกแผ่วเบา ดวงตาของอีกฝ่ายฉายความรู้สึกว่างเปล่าออกมาชั่วขณะ มันทำให้ยูริรู้สึกราวกับหัวใจของเธอตกหล่นไปอยู่ในธารน้ำแข็งที่หนาวเย็น
ทำไมฮันน่าถึงดูเศร้าแบบนั้นล่ะ เธอไม่ได้คิดไปเองแน่ๆ แม้ว่าจะเป็นเพียงชั่วขณะ แต่ยูริที่อยู่กับฮันน่ามานานย่อมคาดเดาความรู้สึกของอีกฝ่ายออก
ความเศร้าและความขมขื่น ทั้งหมดนั่นคือสิ่งที่เธอรู้สึกจากการแสดงออกเล็กๆ ของอีกฝ่าย
“…นั่นคือเสื้อผ้าของโคล”
แม้ว่าแวมไพร์สาวจะยังคงยิ้มแย้มตามปกติ แต่มันกลับเป็นรอยยิ้มที่น่าอึดอัดที่สุดเท่าที่ยูริเคยเห็นมา
เธอไม่เคยเห็นฮันน่ายิ้มด้วยรอยยิ้มน่าอึดอัดแบบนี้เลย ไม่เลยสักครั้ง จนกระทั่งตอนนี้
ฮันน่าสามารถยิ้มแบบนี้ได้จริงๆ งั้นเหรอ?
ฮันน่า พี่สาวผู้เคยยิ้มด้วยความสดใสมาตลอด—สามารถยิ้มเพื่อปกปิดความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองแบบนี้ได้ด้วยเหรอ?
ยูริตระหนักว่าเธอยังไม่เคยรู้จักฮันน่าอย่างแท้จริงเลยสักครั้ง อดีตของอีกฝ่ายเป็นยังไง ทำไมถึงมาใช้ชีวิตกลางป่าแบบนี้
เธอไม่เคยรู้เลยสักอย่างเดียว
“โคลคือน้องสาวของพี่…หมายถึงน้องสาวแท้ๆ น่ะ เสื้อผ้าพวกนั้นคือเสื้อผ้าของเธอตอนเจ็ดขวบ”
ฮันน่าพูดยิ้มๆ ก้มหน้าลงเล็กน้อย สายตาอ่อนโยนแต่ก็ดูเศร้าสร้อยในขณะเดียวกัน
มันราวกับว่าเธอกำลังหวนนึกถึงอดีต
แม้ว่าจะยังคงยิ้ม แต่ยูริไม่สามารถสัมผัสความสุขจากตัวของอีกฝ่ายได้เลย
น้องสาวแท้ๆ…
“แม้ว่าตอนนี้โคลจะไม่อยู่แล้ว แต่อย่างน้อยเธอก็ทิ้งเสื้อผ้าพวกนี้เอาไว้ให้น่ะนะ”
“พี่…”
“อะไร ทำไมทำหน้าเศร้าแบบนั้นล่ะยูริจัง”
ฮันน่าหัวเราะแห้งๆ
“รู้นะว่าคิดอะไรอยู่ แต่โคลยังไม่ตาย เธอ—เธอแค่ไปทำงานต่างประเทศน่ะ”
ทำงานต่างประเทศงั้นเหรอ…
แต่ฮันน่า ไม่ใช่ว่าตามกฎหมายแล้วเด็กอายุไม่ถึงสิบแปดจะไม่ได้รับอนุญาตให้เดินทางออกนอกประเทศคนเดียวหรอกเหรอ
“โคลอายุเท่าไหร่เหรอคะ”
ฮันน่าชะงักไป ก่อนจะทำสีหน้าแข็งทื่อ ราวกับว่ากำลังพยายามนึกอะไรบางอย่าง
“สิบสาม…เธออายุน้อยกว่าพี่สองปีน่ะ”
สิบสาม ไม่สิ แล้วเธอจะอยากรู้ไปทำไมกันล่ะ
ยูริครุ่นคิดถึงอะไรหลายๆ อย่างที่ผ่านมา ดวงตาของเธอดูมืดมน
ตั้งแต่แรกแล้วที่พบเจอกับฮันน่า อีกฝ่ายก็ทำดีกับเธอมาตลอด ทั้งทำอาหาร พูดคุย และไม่ปล่อยให้เธอต้องอยู่คนเดียว
ตอนที่จันทร์หายนะขึ้น ในหลายๆ ครั้งฮันน่ามักจะเข้ามาอยู่กับเธอเป็นเพื่อนด้วยกลัวว่าจันทร์หายนะจะทำให้เธอหวาดกลัว
อีกฝ่ายคำนึงถึงความรู้สึกของเธอเสมอ พยายามทำให้เธอรู้สึกปลอดภัย และคอยจัดการกับปัญหาน่ารำคาญต่างๆ เช่นตัวตนของเธอ
ฮันน่าไม่เคยทำให้เธอร้องไห้ แน่นอนว่าเพราะอายุของเธอยี่สิบแล้ว เธอจึงมีจิตใจเข้มแข็งพอที่จะไม่ร้องไห้เพราะเรื่องไร้สาระ
แต่ยูริมั่นใจว่าต่อให้เธอจะเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง เธอก็จะไม่มีวันร้องไห้เพราะฮันน่าเด็ดขาด
แม้จะมีด้านที่เป็นภัยสังคมไปบ้าง แต่โดยรวมแล้วฮันน่าเป็นพี่สาวที่ยอดเยี่ยม
และยังเป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยม
พอเธอคิดว่าในอดีตคนที่ชื่อโคลที่เป็นน้องสาวแท้ๆ ของฮันน่าก็ได้รับการปฏิบัติแบบเดียวกัน มันทำให้เธอรู้สึก—อิจฉาแปลกๆ
ยูริชักสงสัยว่าสาเหตุที่ทำให้ฮันน่าปฏิบัติกับเธอด้วยความรักและความเอาใจใส่มาตลอด มันเป็นเพราะตัวของเธอทำให้อีกฝ่ายนึกถึงน้องสาวที่จากไปแล้วหรือเปล่า
แต่ ตอนนี้เรื่องพวกนั้นไม่สำคัญ
“หนูขอโทษที่ถามเรื่องชุดนะคะ”
แม้ว่าใบหน้าของฮันน่าจะยังคงยิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลา แต่อีกฝ่ายก็ไม่สามารถปกปิดความรู้สึกหดหู่ของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์
ยูริรู้สึกว่าอยากให้อีกฝ่ายเลิกแสร้งทำเป็นยิ้มสักที
มันทำให้เธอรู้สึก—อึดอัด มันราวกับว่ารอยยิ้มเศร้านั่นคือหน้ากาก หน้ากากที่ผู้คนมักจะสวมใส่เข้าหากันในงานเต้นรำ ปกปิดตัวตนและความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง
เหมือนตัวตลกที่ยิ้มและหัวเราะให้กับโชคชะตาเฮงซวยของตัวเอง
“อะไร ยูริจังไม่ต้องขอโทษหรอก จะสงสัยมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใช่ไหมล่ะ”
แม้แต่ในเวลาแบบนี้ฮันน่าก็ยังคงคิดถึงความรู้สึกของคนอื่นเสมอ
แม้จะรู้สึกเศร้าหรือทุกข์ใจมากขนาดไหน เธอก็ไม่ลืมที่จะนึกถึงผู้อื่น
“อืม งั้นเหรอคะ…ยังไงก็ตาม เราสายมามากแล้ว จะไปกันเลยไหมคะ”
ยูริก้มหน้าลง รู้สึกราวกับว่ามีอะไรเสียดแทงในอกของเธอ แต่บางทีเธออาจจะแค่คิดไปเองก็ได้
การได้เห็นฮันน่าเศร้าแบบนี้—ไม่ชอบเลยสักนิด ซึ่งมันขัดกับนิสัยเก่าของเธอมาก
ตามปกติแล้ว เธอควรจะชอบหรือมีความสุขกับความทุกข์ของฮันน่า พยายามเหยียบย่ำอีกฝ่ายให้แตกสลาย จากนั้นก็บงการจิตใจของอีกฝ่าย
นั่นคือสิ่งที่เธอคนเก่าจะทำ แต่ตอนนี้ เธอไม่คิดว่าตัวเองจะกล้าทำอะไรแบบนั้น
ทำไมกันนะ? เธอตั้งคำถามกับตัวเอง ฮันน่าแตกต่างจากคนอื่นตรงไหน
เธอก็ไม่รู้เหมือนกัน
แต่ที่รู้ก็คือ เธอจะต้องเปลี่ยนเรื่องเพื่อทำให้ฮันน่าเลิกคิดเรื่องน้องสาวเสียก่อน
และมันก็สายจริงๆ
“โอเค…เราจะไปกัน แต่ก่อนอื่น พี่ขอไปทำอะไรสักหน่อย”
ปากของฮันน่ากระตุกเป็นระยะ เธอหรี่ตาลงเล็กน้อยราวกับกำลังจมอยู่ในห้วงภวังค์อันลึกซึ้ง
“ได้ค่ะ หนูจะรอตรงนี้นะคะ”
ฮันน่าลุกขึ้นจากโซฟาก่อนจะหันหลังให้กับเด็กสาว เธอเดินอย่างเชื่องช้าไปยังห้องนอนของตัวเอง
ประตูถูกเปิดออก พร้อมกับแวมไพร์สาวที่มองเข้าไปข้างในด้วยแววตาว่างเปล่า
ปากที่เคยยกยิ้มมาตลอดค่อยๆ ลดลงทีละนิด จนกระทั่งรอยยิ้มนั้นได้หายไปอย่างสมบูรณ์
เธอปิดประตูโดยไม่หันหลัง เพราะกลัวว่ายูริจะเห็นใบหน้าของเธอในตอนนี้ ใบหน้าที่ปราศจากรอยยิ้ม
มันอาจจะทำให้ยูริจังกลัวได้
เธอเดินไปนั่งบนเตียงนอนของตัวเอง ท่าทางเหม่อลอยราวกับว่าคิดไม่ออกว่าตัวเองเข้ามาทำอะไรในห้องนี้
เสื้อผ้านั่น—เธอพยายามลืมมันและเก็บมันเอาไว้ในตู้เสื้อผ้าของอีกห้องหนึ่ง ซึ่งเป็นห้องที่ยูริอยู่ในปัจจุบัน
และเป็นห้องเก่าของโคล
ความทรงจำของเธอที่เธอพยายามฝังไปนานได้กลับมาหลอกหลอนเธออีกครั้ง
ความทรงจำที่เธออยากจะลบๆ มันไป
“โคล…”
ฮันน่าเอ่ยเสียงแผ่ว แต่คำพูดของเธอก็ออกมาได้แค่นั้น
คำพูดที่เหลือติดอยู่ในลำคอของเธอ และเธอก็ไม่รู้ว่าอยากจะพูดอะไร
หรือพูดกับใคร
หยดน้ำตาเล็กๆ ค่อยๆ ไหลออกมา จากหนึ่งหยดกลายเป็นสองหยด จากสองกลายเป็นสาม และสุดท้าย น้ำตาของเธอก็ไหลออกมาเป็นสาย
ฮันน่านั่งอย่างเงียบงันบนเตียงและปล่อยให้น้ำตาของตัวเองไหลออกมาทั้งอย่างงั้น
“ฉัน…ขอโทษ”