ฉันก็แค่อยากตาย แต่ไหงต้องมาเกิดใหม่ด้วยล่ะ! - ตอนที่ 28 มหาวิหารเซนต์อารีอันน่า
“วันนี้มาแปลกนะยูริจัง พี่นึกว่าจะไม่สนใจอะไรแบบนี้นี่น่า?”
“นานๆ ทีก็สนใจอยากจะมาน่ะค่ะ”
“งั้นเหรอ แต่บอกไว้ก่อนเลยว่าที่นี่ไม่มีขนมหวานหรอกนะ”
“พี่เห็นหนูเป็นคนยังไงกันคะ!?”
น่ารักจังแฮะ
“เห็นเป็นน้องสาวที่น่ารักที่สุดในโลกยังไงล่ะ มาๆ ขอกอดหน่อย”
“ตรงนี้มันคนเพียบเลย ไม่เอาค่ะ”
“ยูริจังใจร้ายอะ”
“แค่ที่กอดไปในรถม้ายังไม่พออีกเหรอคะ?”
“ไม่มีวันพอ”
โลลิค่อนรึไง ดูยังไงก็เหมือนพวกโลลิค่อนชัดๆ
“อย่างน้อยๆ ก็ขออุ้มหน่อยนะ เดินเองแบบนั้นไม่เหนื่อยรึไง”
“ไม่ใช่เด็กนี่คะ”
“มีคำกล่าวเอาไว้ว่าไม่ว่าลูกจะอายุเท่าไหร่ คนเป็นพ่อแม่ก็จะมองว่าเป็นเด็กเสมอนะ”
“อยากเป็นแม่คนซะแล้วเหรอคะ? ให้หนูไปนอนดิ้นๆ บนพื้นแล้วร้องไห้ด้วยเลยไหมคะ? ถ้าหนูขออะไรก็หามาให้ด้วยได้รึเปล่าคะ?”
“นั่นค่อนข้างจะ…น่าเกลียดไปหน่อยสำหรับการไปนอนดิ้นบนพื้น แต่ถ้าเป็นยูริจังพี่ก็ไม่ว่าอะไรนะ”
“พอเถอะค่ะ ยิ่งพูดยิ่งแปลก”
“ก็ได้…แต่ขออุ้มไม่ได้เหรอ?”
“ยังไม่หยุดอีกเหรอคะ!?”
ให้ตายสิยัยพี่สาวคนนี้ พอเอาตัวไปถูๆ เข้าหน่อยก็เป็นบ้าไปแล้วเหรอ?
ตอนนี้พวกเธอทั้งสองยืนอยู่บริเวณลานกว้างของสถานที่แห่งหนึ่ง มันเป็นลานกว้างที่สะอาดสะอ้านและปราศจากสิ่งปฏิกูลทั้งมวล พื้นถูกปูด้วยหินอย่างดี
“เข้าไปกันค่ะ ถ้ามัวแต่เสียเวลาอยู่ตรงนี้จะเป็นการใช้เวลาอย่างสูญเปล่านะคะ”
ปกติแล้วในเมืองรัตติกาลมักจะมีเมฆหมอกสีเทาหนาทึบปกคลุมเสมอ มันทำให้บรรยากาศส่วนใหญ่ภายในเมืองมืดมนและชวนให้รู้สึกหดหู่ ยูริได้ยินมาว่าฤดูหนาวจะมีอัตราการฆ่าตัวตายสูงกว่าปกติเพราะภาวะซึมเศร้าที่เกิดขึ้น
แต่สถานที่แห่งนี้ต่างออกไป ด้วยความร่วมมือของนักเวทหลายคน มันทำให้สถานที่แห่งนี้คือสถานที่พิเศษที่จะไม่มีวันถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอก
ดินแดนที่ดวงตะวันไม่เคยหลับใหล สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้คนต่างเดินทางกันมาทุกวันไม่ขาดสายเพื่อบูชาเทพธิดา
มหาวิหารเซนต์อารีอันน่า มหาวิหารที่สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงนักบุญผู้ล่วงลับไปมากกว่าหนึ่งพันปีแล้ว
ตามตำนานว่ากันว่านักบุญอารีอันน่าคือนักบุญที่ใกล้ชิดเทพธิดามากที่สุด เธอเดินทางไปทั่วทุกสารทิศเพื่อเผยแพร่คำสั่งสอนของเทพธิดา นอกจากนี้ยังมีบทบาทในฐานะวีรสตรีของชาวคอร์เดียอีกด้วย
ชาวคอร์เดียคือชื่อของชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในราชอาณาจักรกอร์เดซ หรือก็คือราชอาณาจักรแห่งนี้ ดังนั้นตามเทคนิคแล้ว ฮันน่าก็คือหนึ่งในชาวคอร์เดียด้วย
มหาวิหารแห่งนี้เต็มไปด้วยแสงแดด แสงสีทองจากฟากฟ้าส่องสว่างลงมายังตัวของวิหารและกระทบกับทองคำบริสุทธิ์ที่ถูกทำเป็นผนังชั้นนอกก่อให้เกิดประกายระยิบระยับตลอดเวลา
ว่ากันว่าสถานที่แห่งนี้ไม่มียามราตรี มีคำกล่าวว่าสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าไม่สมควรที่จะมีความมืดมิดอันแสนชั่วร้ายแบบนั้น
ชั่วร้าย? ตอนกลางคืนเนี่ยนะชั่วร้าย? ถ้าไม่มีกลางคืนพวกแกก็คงไม่ได้นอนกันด้วยซ้ำ ไอ้พวกสมองกลับ
ยังไงก็ตาม เธอไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่ามหาวิหารแห่งนี้สวยจริงๆ ตัวของมหาวิหารถูกสร้างด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์ยุคกลางของโลกใบนี้ เป็นสถาปัตยกรรมที่เน้นไปที่โครงสร้างที่เรียบง่ายและสวยงาม แต่ลวดลายของตัวกำแพงที่ใช้ก่อสร้างโบสถ์กลับเต็มไปด้วยความสลับซับซ้อนราวกับจะบอกเล่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์นับล้านๆ ปีของโลกซะอย่างนั้น
หลังคาวิหารถูกสร้างด้วยวัสดุอุปกรณ์สะท้อนแสงชั้นดีทำให้ข้างในปราศจากความร้อนอบอ้าวแม้ว่าแดดจะแรงจ้าสักแค่ไหนก็ตาม
นอกจากนี้ตัวของกำแพงและผนังของอาคารยังถูกเคลือบด้วยทองคำบางๆ ทองคำที่เคลือบกับหินสีขาวที่นิยมนำมาใช้ก่อสร้างสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ มันทำให้ตัวของผนังและกำแพงมีสีขาวที่สะท้อนแสงออกมาเป็นสีทองจางๆ ดูแล้วสบายตา
‘ข้างในนี้อลังการกว่าข้างนอกอีกแฮะ’
ยูริครุ่นคิดเมื่อเดินเข้ามาข้างในแล้ว หลังคาทรงสูงของวิหารทำให้เธอรู้สึกราวกับกำลังเดินเข้ามาในพระราชวังขององค์จักรพรรดิ บานหน้าต่างหลากสีมากมายติดตั้งเอาไว้ทำให้เธอรู้สึกได้ถึงแสงแดดที่สาดส่องเข้ามา
บางทีกระจกที่ใช้ทำหน้าต่างอาจจะเป็นกระจกแบบพิเศษ มันอาจจะยอมให้แสงอาทิตย์ผ่านเข้ามาก็จริง แต่กลับไม่รู้สึกถึงความร้อนเลยแม้แต่น้อย
ภายในอาคารเองก็มีการตกแต่งที่ค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์ แม้เธอจะไม่เคยเข้าโบสถ์ในโลกเก่ามาก่อน ทำได้แค่ดูรูปที่คนไปถ่ายมาเท่านั้น แต่เธอก็รับรู้ได้ในทันทีว่าการตกแต่งมหาวิหารของโลกนี้แตกต่างจากโลกเก่าอย่างสิ้นเชิง
ไม่รู้ว่าใช้เทคนิคอะไร แต่ข้างนอกมันก็ดูเป็นวิหารปกติธรรมดาๆ ที่มีโครงสร้างธรรมดาๆ แต่ข้างในกลับมีโครงสร้างที่แตกต่างออกไป
มันดูราวกับว่าเธอกำลังเดินเข้ามาในตัวของหอยงวงช้างขนาดยักษ์ เก้าอี้ตัวยาวหลายตัวตั้งเอาไว้รอบห้อง ลักษณะของเก้าอี้โค้งงอเป็นวงกลมก้นหอย และปลายทางของเก้าอี้เหล่านั้นต่างไปบรรจบกันที่จุดสุดท้าย
ถ้ามองจากบนฟ้าแบบไม่มีหลังคามากั้น มันคงจะดูเหมือนกับลวดลายอันซับซ้อนของหอยงวงช้างสักตัว
แน่นอน หอยงวงช้างมันมีใจกลางของมัน และวิหารแห่งนี้ก็เป็นแบบนั้น
ตรงใจกลางที่จุดสุดท้ายของเก้าอี้ทุกตัวเป็นพื้นที่โล่งๆ ขนาดใหญ่ มีรูปปั้นของหญิงสาวผู้หนึ่งตั้งเอาไว้ใจกลาง เธอมีปีกงอกออกมาจากกลางหลัง ยืนตัวตรงและหลับตา มันเป็นใบหน้าที่ดูสงบและอ่อนโยน หญิงสาวสวมอาภรณ์ตัวยาว ดูราวกับนักบวชคนหนึ่ง
แม้ว่าจะมีความแตกต่างทางรายละเอียดไปบ้าง แต่ยูริก็รู้ได้ในทันทีว่าอีกฝ่ายคือเทพธิดาอย่างแน่นอน
เป็นรูปปั้นที่สวย แต่ตัวจริงสวยกว่ามาก แม้ว่ายัยนั่นจะไม่ได้ดูเรียบร้อยแบบนี้ก็เถอะ
ตรงเสื้อผ้าบริเวณหน้าอกของรูปปั้นมีสัญลักษณ์บางอย่างแกะสลักเอาไว้ มันเป็นสัญลักษณ์ของดาบศักดิ์สิทธิ์ที่ปลายดาบชี้ขึ้นฟ้า
ฮันน่าย่อตัวลงเล็กน้อยพลางก้มหน้าและหลับตาอย่างสงบ สีหน้าของเธอดูเคารพและศรัทธา
ยูริรู้สึกหงุดหงิดนิดๆ อยากจะทำลายรูปปั้นนี่ชะมัดเลย
แต่เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม ถ้าไม่ทำอาจจะโดนหาว่าลบหลู่ได้ แม้ว่ายุคนี้คนจะไม่เคร่งศาสนาเท่ายุคกลางก็เถอะ
หลังจากที่รอให้ฮันน่าทำความเคารพเสร็จ เธอก็ถามข้อสงสัยของตัวเอง
“ดาบนั่นคืออะไรเหรอคะ”
เธอไม่ยักจะรู้ว่าเทพธิดามีสัญลักษณ์ประจำตัวเป็นดาบ มันให้ความรู้สึกเหมือนผู้กล้าที่ปกป้องโลกจากจอมมารเลยล่ะ
“นั่นคือดาบศักดิ์สิทธิ์ในตำนานน่ะ”
ฮันน่ากระซิบเสียงแผ่วขณะที่หาที่นั่งสำหรับพักผ่อนอย่างสงบ
“ว่ากันว่าในอดีตพระองค์ใช้ดาบในตำนานในการปกป้องโลกจากคำสาปของเทพมารเบนิล การที่จันทร์หายนะทรีอาร์ยังไม่สามารถทำลายโลกนี้ นั่นก็เพราะมีพรคุ้มครองจากดาบและพระองค์อยู่”
แต่มันก็แค่ตำนานอย่างหนึ่ง ไม่มีใครรู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่
“ดาบมีความหมายโดยนัยว่าความกล้าหาญ ความยุติธรรม และความหวัง เพราะเทพธิดาทรงเป็นเทพเจ้าแห่งความหวังและแสงสว่างน่ะ”
ความหวังและแสงสว่าง อ่า จะว่าไปจำได้คร่าวๆ ว่าในอดีตเคยมีการก่อตั้งกองกำลังอัศวินศักดิ์สิทธิ์ในชื่อดาบของเทพธิดานี่น่า
แม้จะไม่ค่อยรู้ข้อมูลเกี่ยวกับยุคกลางของโลกนี้มากนักเพราะไม่เคยเจอหนังสือเล่มไหนให้ข้อมูลเกี่ยวกับยุคนั้นเลย แต่ก็พอเดาได้ว่ามันเป็นยุคแห่งดาบ เวทมนตร์ และเกียรติยศ
ตามปกติพวกตัวเอกในมังงะหรือนิยายแนวเกิดใหม่ต่างโลกจะต้องไปเกิดในยุคกลาง แต่เธอกลับมาเกิดในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมซะงั้น
เรียกได้ว่าเป็นตัวเอกที่ผิดแปลกกว่าคนอื่นเขาสิเนี่ย แต่เอาเถอะ คุณภาพชีวิตในยุคนี้ดีกว่ายุคกลางมาก แม้จะแอบเสียดายที่ไม่ได้เห็นกองกำลังอัศวินเวทมนตร์หรืออะไรเทือกนั้น
ก็มันน่าสนใจนี่ เคยอ่านเจอแต่ในมังงะ ถ้าเจอจริงๆ บ้างก็คงดี
“เข้าใจแล้วค่ะ งั้นตอนนี้พวกเราควรทำอะไรต่อเหรอคะ?”
“ยูริจังคงไม่เคยมาที่แบบนี้สินะ ตามปกติแล้วคนที่มาที่นี่ก็มีเป้าหมายไม่กี่อย่าง ขอพรจากเทพธิดา สวดภาวนา หรืออาจจะแค่มาพักผ่อนและสารภาพบาปกับซิสเตอร์น่ะ”
อืม ก็คงจะเป็นแบบนั้น ตอนที่มองไปรอบๆ ก็เห็นพวกซิสเตอร์ในชุดสีขาวทองอยู่นะ ซิสเตอร์สาวๆ ก็มีอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่จะแก่หนังเหี่ยวกันหมดแล้วน่ะสิ
ไม่ได้คาดหวังซิสเตอร์สวยๆ หน้าอกใหญ่ๆ แบบที่เคยเห็นในอนิเมะจริงๆ นะ แค่…ผิดหวังนิดๆ
“ขอพรจากเทพธิดาเหรอคะ?”
“ใช่แล้ว คนส่วนใหญ่จะมาขอพรกันที่นี่ ส่วนมากพรที่จะขอมักจะเป็นพรอย่าง ‘ขอให้คุณยายสุขภาพร่างกายแข็งแรง’ ‘ขอให้ไม่เจ็บป่วย’ ‘ขอให้มีสิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิต’ อะไรทำนองนั้นแหละ”
“งั้นเหรอคะ จะว่าไปแล้วนอกจากเทพธิดาแล้ว มีเทพองค์อื่นที่ผู้คนเคารพนับถืออีกรึเปล่าคะ แบบศาสนาอื่นน่ะค่ะ”
ยูริถามเพราะสงสัยมาสักพักแล้ว ตั้งแต่มาโลกนี้เธอก็ได้ยินแต่คำว่า ‘เทพธิดาจงเจริญ!’ แต่ไม่เคยได้ยินชื่อของเทพองค์อื่นเลย
“เคยมีนะ แต่เทพธิดาไล่ทำลายพระเจ้าองค์อื่นๆ ไปเกือบหมดแล้ว มันทำให้ศาสนาของพระองค์เป็นเพียงศาสนาเดียวที่แพร่หลายไปทั่วทั้งโลกในปัจจุบันน่ะ”
“แต่แน่นอนว่าก็มีพวกลัทธิแปลกๆ อยู่บ้าง พวกมันมักจะพยายามชักจูงให้ผู้คนไปศรัทธาพระเจ้าของพวกมัน ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นเทพมารหรือไม่ก็เป็นพวกต้มตุ๋นน่ะ ถ้าเจอยูริจังต้องวิ่งให้ไกลที่สุดและมาบอกพี่นะ เดี๋ยวพี่สาวคนนี้จะจัดการให้เอง”
ว่าแล้วก็แอบเบ่งกล้ามเล็กน้อย แม้ว่าจะไม่มีกล้ามเลยก็ตาม
ฮันน่า…ไอ้พวกต้มตุ๋นที่ว่านั่นก็นั่งอยู่ตรงนี้นะ นี่ฉันต้องวิ่งหนีตัวเองงั้นเหรอ?
“ทำลายเทพองค์อื่นๆ เหรอคะ?”
แบบนี้มันหมายความว่าอโลวีนัสโคตรแข็งแกร่งและทรงพลังเลยไม่ใช่เหรอ? แม้แต่พระเจ้าองค์อื่นๆ ยังร่วงหล่นได้ง่ายๆ เพียงเพราะยัยนั่นอยากจะกำจัดเนี่ยนะ
นี่เธอต้องเผชิญกับศัตรูแบบไหนกัน?
“ใช่แล้ว ตามตำนานพระองค์เคยก่อสงครามกับเทพองค์อื่นๆ มาก่อนน่ะ รายละเอียดพี่ก็ไม่รู้อะไรมาก รู้แค่ว่าการต่อสู้ในครั้งนั้นทำให้จักรวาลทั้งจักรวาลสั่นสะเทือนเลยล่ะ”
ยูริไม่รู้ว่าจะเรียบเรียงชุดข้อมูลในหัวของตัวเองยังไงดีในตอนนี้
ถ้าให้ทำความเข้าใจไปทีละนิด อโลวีนัสเป็นพระเจ้าที่ทรงพลังในระดับหนึ่ง ทรงพลังจนแม้แต่เทพตนอื่นๆ ยังมิอาจสู้ได้เลย
จักรวาลสั่นสะเทือนจากการต่อสู้ในสงครามครั้งนั้น? สงครามครั้งนั้นมันครั้งไหน? นอกจากที่รู้ว่าอโลวีนัสเคยต่อสู้กับพระเจ้าตนอื่นมาก่อน เธอก็ไม่รู้อะไรสักอย่างเลย
แต่อย่างน้อยก็ได้รู้อะไรเพิ่มแล้ว
ทรงพลังจนทำจักรวาลสะเทือนได้สินะ รับมือค่อนข้างง่าย…
ก็เชี่ยแล้ว เธอชกหิน หินยังไม่แตกเลย แล้วจะเอาอะไรไปสู้ล่ะเนี่ย
โดยไม่รับรู้ถึงความกังวลของน้องสาว ฮันน่าก็เล่าต่อว่า
“ประวัติศาสตร์และเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับพระองค์มีเพียบเลยล่ะ ถ้าสนใจเดี๋ยวพี่จะเล่าให้ฟังนะ เช่นเรื่องที่พระองค์เป็นผู้สร้างสรรค์ดวงตะวันและมอบแสงแดดสำหรับดำรงชีวิตให้พวกเราหรืออะไรแบบนั้น”
ฮ่าฮ่า แค่คิดสภาพต้องมาฟังคำโม้เกี่ยวกับยัยเทพเจ้านั่นก็รู้สึกขยะแขยงขึ้นมาแล้ว
ยูริไม่รู้ตัวเลยว่ามุมปากของเธอกระตุกเล็กๆ เด็กสาวปั้นสีหน้ายิ้มแย้มก่อนจะตอบกลับไปด้วยเสียงสุภาพ
“ไว้มีโอกาสค่อยเล่าให้หนูฟังนะคะ ตั้งตารอเลยล่ะ”
เห็นท่าทางกระตือรือร้นของฮันน่าแล้ว มันทำให้เธอนึกถึงลูกหมายังไงก็ไม่รู้สิ แม้ว่าตามลักษณะของเผ่าพันธุ์แล้ว ฮันน่าควรจะเป็นค้างคาวซะมากกว่าก็เถอะ
อยากจะปฏิเสธไปนะ แต่ข้อมูลคือสิ่งมีค่า นอกจากนี้ใครจะไปกล้าปฏิเสธหลังจากได้เห็นท่าทางน่ารักๆ นั่นได้ลงล่ะ?
หลังจากนั้นยูริก็ตัดสินใจว่าจะพักเรื่องการหาข้อมูลต่างๆ ไปสักพัก ข้อมูลมากมายมหาศาลที่เธอได้รับมันทำให้เธอรู้สึกราวกับว่าหัวสมองของเธอกำลังถูกคมมีดแหลมคมกรีดไปตามรอยหยักในสมอง
ไม่สิ บางทีมันอาจจะไม่ได้เกี่ยวกับปริมาณของข้อมูล หากแต่เป็นเพราะว่าข้อมูลที่เธอได้รับมันเกี่ยวกับยัยเทพธิดานั่นต่างหาก
การได้รับรู้ว่าตัวตนที่ตัวเองเกลียดนักเกลียดหนาแข็งแกร่งและทรงพลังขนาดไหน มันทำให้เธอรู้สึกไม่ค่อยดีนัก มันเหมือนเวลาที่ใครสักคนที่มีอุดมการณ์แน่วแน่ถูกความจริงว่าอุดมการณ์ของตัวเองไม่มีวันเป็นจริงตบหน้าเข้านั่นแหละ
ถ้าให้นิยามง่ายๆ มันคือความรู้สึกสิ้นหวัง แม้ว่าคนอย่างเธอจะเต็มไปด้วยความหยิ่งผยองและความมั่นใจมากขนาดไหน แต่ถ้ามาได้ยินอะไรที่มันเหนือสามัญสำนึกแบบนี้ มันก็ทำให้เธอท้อได้เหมือนกัน
โชคดีหน่อยที่เธอแค่รู้สึกสิ้นหวัง ไม่ถึงขั้นปลงกับความสิ้นหวัง
การปลงความสิ้นหวังมันเป็นอะไรที่แย่กว่ามาก
ถ้าหากว่าความสิ้นหวังคือความรู้สึกที่ ‘อะไรนะ!? โลกจะแตก ไม่มีวิธีช่วยมนุษยชาติเลยเหรอ? ไม่นะไม่! มันจะเป็นแบบนี้ไม่ได้!’
ความรู้สึกปลงกับความสิ้นหวังมันจะเป็นอะไรที่ร้ายแรงกว่า
‘โลกกำลังจะแตก? ฮ่าฮ่า แย่จัง ฉันช่วยอะไรไม่ได้เลย แต่ชีวิตมันก็เป็นแบบนี้นี่? มนุษย์น่ะไร้อำนาจมาตั้งนานแล้ว เจตจำนงของจักรวาล ธรรมชาติ และพระเจ้านั้นอยู่เหนือพวกเราเสมอ เรียกง่ายๆ ว่าชีวิตมันห่วยยังไงล่ะ!’
นั่นแหละคือการปลงกับความสิ้นหวัง ยังไงก็ตาม ถึงความรู้สึกของเธอจะแค่สิ้นหวังไปบ้าง แต่เธอก็ไม่สามารถคิดออกได้เลยว่าจะเอาชนะเทพธิดายังไง
เพราะถ้าอีกฝ่ายเป็นแค่เทพเจ้าที่มีเวทมนตร์โกงๆ เธอก็แค่ต้องวางแผนรับมือนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้น ถ้ามีความสามารถในการจับเจตนาร้ายก็แค่อย่ามีเจตนาร้าย ถ้าศัตรูมีพลังเยือกแข็งก็จงรับมือด้วยพลังความร้อน ถ้าศัตรูอ่านใจได้ก็แค่อย่าคิดอะไรในหัว
แต่กรณีนี้มันต่างกันมาก ต่อให้ตัดพลังศักดิ์สิทธิ์และพลังแห่งความหวังของเทพธิดาแล้ว กายภาพของอีกฝ่ายก็แข็งแกร่งในระดับที่สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งจักรวาล
สมมุติถ้าเทพองค์อื่นๆ สามารถทำลายจักรวาลได้แบบเดียวกัน นั่นแปลว่าพลังป้องกันของอโลวีนัสสูงพอที่จะรับการระเบิดของบิ๊กแบงได้ด้วยซ้ำ เพราะสามารถทนมือทนเท้าของพระเจ้าองค์อื่นได้
มันก็สมเหตุสมผลดี ถ้ารับหมัดของเทพเจ้าที่ทำลายจักรวาลได้ ก็ควรรับมือการระเบิดของจักรวาลได้
นั่นทำให้การจัดการกับอโลวีนัสเป็นเรื่องยาก เธอไม่สามารถฆ่าตัวตนแบบนั้นด้วยวิธีปกติได้
วางยาพิษ? ปาดคอ? วางระเบิด? ทั้งหมดนั่นช่วยอะไรไม่ได้ ต่อให้เอาระเบิดไฮโดรเจนไปยิงใส่ก็ทำอะไรไม่ได้ ไม่สะกิดผิวด้วยซ้ำ
“ยูริจัง?”
แล้วจะฆ่ายัยนั่นยังไงดี อย่าว่าแต่ทำร้ายตัวตนแบบนั้นเลย แค่ทำลายทวีปยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ การยิงนิวเคลียร์ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ไม่สิ โลกนี้ไม่มีอาวุธทำลายล้างแบบนั้นด้วยซ้ำ!
“ยูริจัง? ฟังพี่อยู่รึเปล่า”
“อ อะ ค คะ? มีอะไรเหรอคะ?”
ยูริสะดุ้งเฮือก เรื่องด่วนเหรอ? ทำไมอยู่ๆ พี่สาวถึงได้ทำหน้าแบบนั้นล่ะ? ไม่สิ ก็หน้าปกตินี่น่า คิดมากจนหลอนไปเองแล้ว
“ท่านบาทหลวงอยากจะคุยด้วยน่ะ”
สีหน้าของฮันน่าดูสับสนและแปลกใจเล็กน้อย เธอไม่เข้าใจว่าจู่ๆ ทำไมบาทหลวงถึงอยากจะพบน้องสาวของเธอกัน เธอมั่นใจว่านี่เป็นครั้งแรกที่ยูริจังมาโบสถ์ ดังนั้นมันเป็นไปไม่ได้ที่ท่านบาทหลวงจะเข้ามาหาอีกฝ่ายอย่างจงใจแบบนี้
“บาทหลวงเหรอคะ?”
แม้แต่ยูริก็ทำสีหน้าประหลาดใจเช่นกัน แต่ถ้าคิดดูให้ดี เรื่องนี้มันอาจจะไม่ซับซ้อนอย่างที่คิด
อย่างแรกเลย ต้องเข้าใจก่อนว่าโลกนี้ตั้งอยู่บนรากฐานของความเชื่อในพระเจ้า เทพเจ้า ปีศาจ ปรากฎการณ์ลี้ลับ รวมไปถึงเวทมนตร์และพลังเวทมีอยู่จริง
แม้ว่าเธอจะพยายามปกปิดการเดินทางไปเขตสลัมมากแค่ไหน แต่หูตาของอโลวีนัสย่อมอ่านการเคลื่อนไหวของเธอออก อีกฝ่ายเป็นถึงพระเจ้าที่มีผู้เคารพบูชามากที่สุดในโลก ทั่วทุกสารทิศย่อมมีคนของยัยนั่นคอยสอดส่องอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว
บางทีบาทหลวงอาจจะอยากคุยกับเธอ ไม่ใช่ในฐานะของวาคาดะ ซายูริ หากแต่เป็นเดอะแพนโดร่า คนที่แอบอ้างว่าเป็นข้ารับใช้ของพระเจ้า
ในมุมมองของพวกเขา การกระทำของเธอคือการดูหมิ่นอย่างชัดเจน
เรียกฉันว่าผู้เย้ยเทพซะสิ
“ใช่ เมื่อกี้ท่านเดินมาแล้วบอกว่าอยากคุยกับยูริจังน่ะ แต่พี่บอกว่าคงต้องถามจากเจ้าตัวก่อน”
ยูริสังเกตุได้ว่าสีหน้าของฮันน่าดูลำบากใจอย่างมาก เธอก้มหน้าลงเล็กน้อยราวกับว่ากำลังใคร่ครวญและไม่เข้าใจในบางสิ่ง นั่นทำให้ยูริวิเคราะห์ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
แต่ก่อนที่เธอจะคิดอะไรได้นั้น ฮันน่าก็ถามขึ้นมาว่า
“ยูริจัง มีอะไรที่ปกปิดพี่เอาไว้รึเปล่า?”