ฉันก็แค่อยากตาย แต่ไหงต้องมาเกิดใหม่ด้วยล่ะ! - ตอนที่ 25 การเผยแพร่ศาสนาของแพนโดร่า
วาคาดะ ซายูริเดินทางไปยังเขตสลัมด้วยชุดคลุมสีขาวบริสุทธิ์
คราวนี้เธอเดินทางโดยที่เตรียมตัวมาอย่างเต็มที่ ในเสื้อคลุมสีขาวของเธอเต็มไปด้วยกระเป๋าและช่องลับที่ใส่สิ่งของต่างๆ เป็นจำนวนมาก อาทิเช่นดอกไม้ เหรียญเงิน และปากกาหนึ่งด้าม
เธอเตรียมสิ่งเหล่านี้มาด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน ดอกไม้กับเหรียญเงินเอาไว้สำหรับการชักจูงผู้คนให้ศรัทธาในตัวของเธอ ส่วนปากกาเอาไว้สำหรับป้องกันตัว
ก็พกมีดมันเสี่ยงต่อการแทงตัวเองนี่น่า เธอยังเป็นแค่เด็กเจ็ดขวบ จะให้พกมีดเล่มโตไปไหนต่อไหนก็คงจะไม่ได้
ยังไงซะ ปากกาก็สามารถใช้ฆ่าคนได้ จริงๆ แล้วถ้ามีความสามารถพอก็สามารถใช้เพียงแค่กล้วยฆ่าคนได้ด้วยซ้ำ
นอกจากนี้เธอยังมีลอยด์และลูเมี่ยนคอยนำทาง ไม่ต้องกลัวว่าจะหลงทางแน่นอน
นอกจากนั้นยังเตรียมเงินไปมากพอ เอาไว้สำหรับจ่ายค่ารถม้า นอกจากนี้ยังมีของน่าสนใจอยู่ในกระเป๋าของเธออีกเพียบเลย
ยูริสูดลมหายใจกับตัวเองพลางพึมพำ
“เอาล่ะ ได้เวลาไปสร้างศาสนา ตื่นเต้นนิดหน่อยแฮะ”
ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นอาชญากรมากประสบการณ์ แต่เธอก็ยังไม่เคยสร้างศาสนามาก่อน มันย่อมทำให้เด็กสาวรู้สึกตื่นเต้นเป็นธรรมดา
ยังไงก็ตาม เธอสามารถสงบจิตใจได้ในเวลาไม่นานนัก
แหงล่ะ ในอดีตเธอเคยเจอเรื่องน่าตื่นเต้นกว่านี้เยอะ
“ของครบรึยังนะ ไม่ได้ขาดเหลืออะไรไปใช่ไหม?”
ยูริตรวจสอบสิ่งต่างๆ เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่เธอจะสบายใจได้ว่าตัวเองไม่ได้ลืมอะไรทั้งนั้น เธอแค่หวาดวิตกเกินเหตุเท่านั้นเอง
“โอเค ดูเหมือนว่าจะไม่ลืมอะไร—ก่อนที่พี่ฮันน่าจะกลับมารีบไปดีกว่า”
ฮันน่าบอกว่าจะกลับมาราวๆ บ่าย หรือถ้าช้าก็อาจจะเป็นตอนค่ำๆ เลย เธอต้องรีบออกเดินทาง แต่ถ้าโชคร้ายฮันน่าอาจจะกลับมาพอดีตอนที่เธอไม่อยู่ก็ได้
ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย รีบออกเดินทางดีกว่า
“ข้ามาแล้ว ตามที่บอกเอาไว้”
ยูริเปิดหมวกจากเสื้อฮู้ดลงก่อนจะทักทายทั้งสองที่มารอคอยด้วยรอยยิ้มอบอุ่น ก่อนหน้านี้เธอนัดกับทั้งสองคนนี้เอาไว้ว่าตอนเที่ยงให้มารอที่ตรงนี้
“ท่านมาพอดีเลย! ผมมีคนที่คิดว่าน่าจะเหมาะสำหรับการเป็นสาวกคนแรกของท่านนะครับ!”
ลูเมี่ยนเอ่ยด้วยท่าทางที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงาน ยูริรู้มาจากลอยด์ว่าหมอนี่มีนิสัยชื่นชอบการขโมยของและชอบหาความตื่นเต้น เหมือนพวกโรคจิตยังไงยังงั้น
แถมยังชอบคนอายุน้อยกว่า โดยเฉพาะเด็กสาวหน้าตาน่ารัก
ต้องระวังๆ เอาไว้หน่อยล่ะมั้งนะ
“คนที่เหมาะกับการเป็นสาวกคนแรกของข้า?”
เธอเอียงคอฉงน ลูเมี่ยนดูตื่นเต้นเป็นอย่างมาก และมันทำให้เธอสงสัย
“ใช่ครับ เธออยู่ลึกเข้าไปอีกหน่อย พอผมบอกว่าท่านจะมาเธอก็ตื่นเต้นดีใจใหญ่เลย”
‘จริงๆ แล้วเธอทำเสียงเบื่อๆ และเอาแต่ด่านายว่าบ้ารึเปล่าต่างหาก’
ลอยด์พึมพำเบาๆ แต่ยูริได้ยินทุกคำ มันทำให้เธอคิดว่าตกลงนี่มันเรื่องบ้าอะไร?
“งั้น—พาข้าไปหาเธอ”
ยังไงก็ตาม ตามน้ำไปก่อนแล้วกัน
“ดีเลยครับท่าน เดี๋ยวผมจะนำทางเอง ลอยด์ ระหว่างนี้ก็เล่าเรื่องต่างๆ ให้ท่านฟังด้วยล่ะ!”
ลูเมี่ยนยิ้มร่าเริงก่อนที่จะเริ่มออกเดิน ยูริกับลอยด์ต้องตามไปอย่างช่วยไม่ได้
หลังจากนั้นก็ผ่านมาราวๆ สิบนาที ขณะที่ยูริสบถสาปแช่งให้กับความเหน็ดเหนื่อยและความเมื่อยล้าที่ตัวเองได้รับนั้น ลูเมี่ยนก็หยุดอย่างกะทันหัน
“เธออยู่ในบ้านหลังนี้เอง ขอผมเข้าไปคุยกับเธอก่อนนะครับ”
น้ำเสียงของเขาดูเกรงอกเกรงใจอย่างแปลกประหลาด มันทำให้ยูริพอจะคาดการณ์บางอย่างได้
“คนที่เจ้าพูดถึงคงไม่อยากเจอข้าสินะ”
และถ้าดูจากสีหน้าท่าทางตกตะลึงนั่นแล้ว ใช่แล้วล่ะ น่าจะเป็นอย่างที่เธอคิดจริงๆ
ก่อนหน้านี้ที่ลอยด์พึมพำว่าจริงๆ แล้วเธอคนนั้นสบถด่าลูเมี่ยนว่า ‘นายบ้าไปแล้วเหรอ’ นั่นน่ะ มันทำให้ยูริคาดเดาได้ในทันทีว่าทัศนคติของเด็กสาวคนนั้นที่มีต่อเธอเป็นยังไง
ทัศนคติที่มีต่อเดอะแพนโดร่าเป็นยังไง
อีกฝ่ายคงจะมองว่าเธอคงจะเป็นพวกนักต้มตุ๋นที่แอบอ้างตัวเองว่าเป็นข้ารับใช้แห่งเทพแน่ๆ และเธอคนนั้นก็เลยด่าลูเมี่ยนไปแบบนั้น
นอกจากนี้ ปฏิกิริยาท่าทางของลูเมี่ยนก่อนหน้าก็ดูอึดอัดอย่างแปลกประหลาดตอนที่บอกเธอว่าอีกฝ่ายอยู่ในบ้าน มันเหมือนกับเขาจะกังวลว่าเจ้าของบ้านจะทำเสียมารยาทใส่เธอ เลยจะเข้าไปบอกกับเจ้าของบ้านก่อนว่าให้ทำตัวสุภาพงั้นแหละ
อีกอย่าง สมมุติว่าถ้าอีกฝ่ายอยากเจอกับเธอล่ะก็ คงออกมาต้อนรับแล้วล่ะ
จะว่าไปอีกฝ่ายมีบ้านด้วยเหรอเนี่ย ไปเป็นเพื่อนกับลูเมี่ยนที่ต้องอาศัยอยู่ในท่อระบายน้ำได้ยังไงกันนะ
แต่สภาพบ้าน—ค่อนข้างโทรม มันดูราวกับอาคารเก่าๆ ที่ทำท่าจะพังลงมาได้ทุกเมื่อ
ยังกับภาพของบ้านเมืองในยุคหลังโลกล่มสลาย รัฐบาลปล่อยปะละเลยพื้นที่ในเขตสลัมเอาไว้แบบนี้ได้ยังไง? ไม่คิดจะปรับปรุงหรือมีนโยบายดีๆ เอาไว้พัฒนาชีวิตผู้คนเลยเหรอ?
ก็นะ จะคาดหวังอะไรกับพวกนั้นล่ะ?
“อะ เอ่อ ท ทำนองนั้นครับ แต่เธอไม่ใช่คนไม่ดีหรอกนะครับ เธอแค่ไม่ค่อยไว้ใจคนเท่านั้นเอง”
ฉันไม่ใช่คนน่าสงสัยสักหน่อย แค่ฆาตกรต่อเนื่องเอง
“เข้าใจแล้ว ข้าพอจะเดาได้แล้วล่ะ”
เพราะคาดการณ์ถึงเรื่องแบบนี้เอาไว้แล้ว มันทำให้เธอแอบกระหยิ่มยิ้มย่องเล็กน้อย มือสัมผัสกระเป๋าเสื้อเพื่อตรวจสอบว่าดอกไม้ยังอยู่ดีไหม
“พวกเจ้ารอข้าข้างนอกนี่แหละ ข้าจะเข้าไปคนเดียว”
“ต แต่ แบบนั้นมันไม่อันตรายเหรอครับ? ถึงเธอจะไม่ใช่คนไม่ดีแต่ก็ขี้ระแวงมากนะครับ ถ้าเกิดว่าเธอทำร้ายท่านขึ้นมา—”
“ลูเมี่ยน”
เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
“ข้าเป็นผู้เผยพระวจนะ เจ้าคิดจริงๆ หรือว่ามนุษย์ธรรมดาๆ จะทำอะไรข้าได้?”
แน่นอนว่าความเป็นจริง เธอโดนยิงทีเดียวก็ได้ตีตั๋วไปทัวร์ต่างโลกอีกรอบแล้วล่ะ
“ไม่ต้องกังวล ข้าจะออกมาภายในสิบนาที”
ภายในสิบนาทีนั้นเธอวางแผนว่าจะเข้าไปคุยกับเด็กสาวคนนั้น และจะหาทางชักจูงให้อีกฝ่ายมาเป็นสาวกให้ได้
การจูงใจผู้คนคืองานถนัดของเธออยู่แล้วนี่น่า
“เข้าใจแล้วครับ แต่ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก็ตะโกนเรียก หรือ—กรุณาไว้ชีวิตเธอด้วยถ้าเกิดว่าเธอทำอะไรที่มันเสียมารยาท เธอพึ่งจะเก้าขวบเอง…”
หลังจากนั้นลูเมี่ยนก็บ่นพึมพำอะไรก็ไม่รู้ นั่นทำให้ยูริต้องโบกมืออย่างรำคาญใจ
“ไม่ต้องกังวล ข้าออกจะใจดี ไว้เจอกันในสิบนาทีนะ”
หลังจากนั้นยูริก็เดินเข้าไปในบ้านหลังนั้นโดยที่ทำเป็นไม่สนใจสายตากังวลของลูเมี่ยนและลอยด์แม้แต่น้อย พวกนั้นทำให้เธอนึกถึงลูกหมาเลยล่ะ
เธอผลักประตูเปิดออก สัมผัสเบาบางและเต็มไปด้วยฝุ่นทำให้เธอทำสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย
บ้านหลังนี้คงไม่ได้ทำความสะอาดมานานเลยสินะถ้าฝุ่นมันจะเยอะขนาดนี้ ประตูไม้เก่าจนเธอสงสัยว่าเธอสามารถพังมันได้ด้วยการถีบแรงๆ เพียงครั้งเดียว
“สวัสดี มีใครอยู่ในนี้รึเปล่า?”
สภาพภายในบ้านดูทรุดโทรมราวกับว่าเป็นบ้านร้าง โต๊ะและเก้าอี้ดูพุพังจนไม่น่าจะใช้งานได้แล้ว ข้างในมืดทึบจนแทบมองไม่เห็นถ้าหากไม่มีตะเกียง
“แต่ถึงกระนั้น”
เธอเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มเล็กๆ
“ข้าก็รู้ว่าเจ้าอยู่ที่นี่ สาวน้อย”
โต๊ะไม้เก่าแก่มีร่องรอยของการทุบและทำลาย มันราวกับจะแสดงให้เห็นว่าบ้านหลังนี้ไม่มีใครอยู่มานานมากจนข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ พังทลายไปจนหมด
แต่น่าเสียดาย เธอสามารถตรวจจับความผิดปกติได้อย่างรวดเร็ว
ถ้าหากมันเป็นเพียงบ้านร้างธรรมดาๆ เฟอร์นิเจอร์และข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ก็ไม่ควรพังทลายได้ขนาดนั้น อย่างมากก็แค่ชำรุดนิดหน่อยหรือไม่ก็ดูเก่ามากเท่านั้น
แต่เธอรู้ได้ในทันทีว่าฉากที่อยู่ตรงหน้าคือฉากที่ถูกใครสักคนทำขึ้นมาเพื่อหลอกเธอว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านร้าง อีกฝ่ายคงอยากทดสอบเธอว่าเธอเป็นข้ารับใช้แห่งเทพจริงๆ หรือไม่
ตามตำนานว่ากันไว้ว่าเหล่าพระเจ้าและเหล่าข้ารับใช้นั้นมีสติปัญญาที่ ‘รู้เกือบทุกสิ่ง’ อย่างน้อยที่สุด ในกรณีที่เธอเป็นข้ารับใช้แห่งเทพจริงๆ การจัดฉากแค่นี้ก็ไม่ควรหลอกเธอได้
สมมุติถ้าเธอหลงกลไปกับการหลอกลวงแค่นี้ล่ะก็ มันก็จะเป็นการพิสูจน์ว่าเธอนั้นเป็นแค่นักต้มตุ๋นเท่านั้น
ได้ยินว่าอีกฝ่ายแค่เก้าขวบใช่ไหม? เด็กเก้าขวบคิดกลยุทธ์แบบนี้ออกมาได้ยังไงนะ สมมุติถ้าเป็นคนทั่วไป คนพวกนั้นคงโดนหลอกไปแล้วล่ะ
แต่ขอโทษทีเหอะ ถึงจะฉลาด แต่เด็กยังไงก็เป็นเด็ก กับดักแค่นี้หลอกเธอไม่ได้หลอก นี่คิดจะหลอกลวงฆาตกรที่หลอกลวงได้เก่งที่สุดในโลกอย่างเธออย่างงั้นเหรอ?
ฝันไปเหอะน่า นี่ไม่ได้ขิงเด็กหรอกนะ แต่เธอเก่งกว่านี้เยอะ
“หืม? ขนาดนี้แล้วยังไม่ยอมออกมาอีกงั้นเหรอ? น่าสนใจ ข้าคิดว่าข้าควรที่จะไปหาเจ้าเองสินะ”
วาคาดะ ซายูริหัวเราะร่า เด็กนี่อนาคตไกลแน่ ถ้าปลูกฝังให้ดีๆ และพัฒนาทักษะอีกนิดหน่อย เธอสามารถทำให้อีกฝ่ายกลายเป็นแบบเธอได้
อาชญากรที่อันตรายที่สุดยังไงล่ะ
บ้านหลังนี้มีสองชั้น อืม บางทีอีกฝ่ายอาจจะกำลังรออยู่ที่ชั้นสองก็ได้ ขึ้นไปหาดีกว่า
จะว่าไปป่านนี้ยังไม่รู้ชื่อของอีกฝ่ายเลยแฮะ ทำไมลูเมี่ยนถึงไม่บอกชื่อของอีกฝ่ายมานะ
“หืม? บันไดนี่ไม่อันตรายไปหน่อยรึไงนะ”
เธอเอ่ยขณะที่เดินขึ้นชั้นสอง บันไดไม้เก่าๆ ดูราวกับจะหักได้ทุกเมื่อ เอาเถอะ มันคงไม่หักจริงๆ หรอก ก็เธอตัวเบาจะตาย
ข้างบนสุดของบันไดมีห้องๆ หนึ่ง ประตูไม้ถูกปิดสนิทเอาไว้ ยูริเดินขึ้นไปผลักมันเบาๆ และต้องแปลกใจที่มันไม่ได้ล็อคเอาไว้
“สวัสดี”
เธอเอ่ยพลางมองเข้าไปในห้องๆ นั้น ภายในห้องเก่าๆ แต่ดูสะอาดเหลือเชื่อ เธอเห็นเด็กสาวคนหนึ่งกำลังนั่งกอดตุ๊กตาหมีอยู่บนเตียงนอนเก่าๆ
อีกฝ่ายมีผมยาวสีน้ำตาลออกดำ ผิวสีขาวซีดราวกับเป็นโรคขาดสารอาหาร เสื้อผ้าที่เธอสวมใส่อยู่นั้นดูเก่า แต่ขณะเดียวกันก็มีสภาพดีกว่าลูเมี่ยนและลอยด์มาก
อีกฝ่ายมีดวงตาสีฟ้าใส ดวงตาคู่นั้นดูเฉียบคมและฉลาดเฉลียวขัดกับภาพลักษณ์ของเด็ก แม้ว่าสภาพจะไม่ค่อยดีนัก แต่ยูริก็มองออกว่าถ้าดูแลให้ดีพอล่ะก็ อีกฝ่ายจะเป็นเด็กที่สวยพอตัวเลยล่ะ
แม้จะไม่เท่าเธอก็เถอะนะ
“คุณคงจะเป็นนักต้มตุ๋นคนนั้นที่ลอยด์และลูเมี่ยนเล่าให้ฟังสินะ”
โดยไม่สนใจคำทักทาย อีกฝ่ายเอ่ยด้วยท่าทีจับผิด
“ไม่รู้หรอกนะว่าไปทำยังไงคนฉลาดแบบลอยด์ถึงได้หลงเชื่อได้ แต่ฉันไม่หลงกลหรอก คุณคงจะใช้วิธีอะไรสักอย่างเพื่อหลอกสองคนนั้นสินะ แต่ว่า!”
ว่าแล้วอีกฝ่ายก็ลุกขึ้น
“คุณ! คุณหลอกฉันไม่ได้หรอก พระเจ้าน่ะมีจริงซะที่ไหน ถ้าไอ้ตัวตนแบบนั้นมีจริงป่านนี้พวกเราคงไม่ต้องมาลำบากแบบนี้หรอก!”
เด็กนี่ทำให้เธอนึกถึงตัวเองเลยล่ะ
เกลียดพระเจ้าจนเข้าไส้ในไงล่ะ
ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะอคติเธอเพราะเธออ้างว่าเป็นข้ารับใช้ของพระเจ้าสินะ สำหรับเด็กที่ใช้ชีวิตอย่างทรมานมานานแสนนาน พอมีคนบ้าที่ไหนไม่รู้มาอ้างว่าเป็นลูกน้องพระเจ้าและบอกว่าจะช่วยปลดปล่อยจากความทรมาน ก็คงจะทำให้โมโหกันบ้าง
พวกฉันทรมานมาตั้งนาน แล้วแกเป็นใครถึงบอกว่าจะมาช่วยวะ ทำไมไม่มาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ ทำไมต้องมาตอนนี้!
มันเหมือนกับเวลาเรากำลังลำบากแล้วไม่ยอมมีคนมาช่วยนั่นแหละ พอมีคนมาช่วยในตอนที่เรารู้สึกว่าสายเกินไปแล้ว เราก็จะโทษคนๆ นั้นว่าถ้าจะมาช้าขนาดนี้ไม่มายังดีซะกว่า!
มันคือความโง่เขลาและความโง่งมของมนุษย์ ใช้อารมณ์เหนือเหตุผล บางครั้งก็เกลียดได้แม้แต่คนที่ไม่รู้จักกันมาก่อนด้วยซ้ำ
“ข้าเข้าใจความเกลียดชังของเจ้า เด็กน้อย”
ใช่แล้ว เธอเข้าใจดีเลยล่ะ
ในอดีตตอนที่เธอกำลังลำบากพวกตัวตนแบบนั้นก็ไม่เคยคิดจะช่วยเลยสักครั้ง ทั้งความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานในอดีตมันทำให้เธอชิงชังพระเจ้า
มันเป็นความเกลียดชังที่รุนแรง แม้ว่าเธอจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพระเจ้ามีจริงหรือไม่ แต่เธอก็เกลียดไปแล้ว
เกลียด เกลียด สมมุติว่าถ้าคำว่าเกลียดสลักลึกลงไปในเซลล์เม็ดเลือดแดงทั้งสามสิบล้านล้านเซลล์ ความเกลียดทั้งหมดนั่นก็ยังเทียบไม่ได้กับหนึ่งในแสนล้านๆ ของความเกลียดชังหนึ่งเปอร์เซ็นต์ของความเกลียดชังทั้งหมดที่ตัวเธอมีต่อพระเจ้าเสี้ยวต่อเสี้ยววินาทีด้วยซ้ำ
บางทีการที่ในอดีตเธอทำลายมนุษยชาติรวมไปถึงเอาแต่สร้างความโกลาหลทั้งหมดนั่น มันอาจจะเป็นเพราะเธออยากจะระบายความเกลียดชังของตัวเองออกไปบ้างก็ได้
แม้ว่ายิ่งเวลาผ่านไปความรู้สึกเกลียดและทรมานของเธอมันจะยิ่งทวีคูณขึ้นเสี้ยวต่อเสี้ยววินาทีตลอดระยะเวลาทั้งสิบกว่าปีเลยก็เถอะ
ตอนที่เจอกับอโลวีนัสครั้งนั้น เธออยากจะจับอีกฝ่ายมาทรมานจนจักรวาลแตกดับสักล้านๆ รอบเลยด้วยซ้ำ
“แต่ข้าสาบานกับเทพธิดาว่าข้าไม่ใช่นักต้มตุ๋น ข้าปรารถเพียงการปลดปล่อยพวกเจ้าจากความทุกข์ทรมานก็เท่านั้น”
ยูริทำเสียงอ่อนโยน อีกฝ่ายจงใจทดสอบเธอว่าเธอเป็นข้ารับใช้แห่งเทพจริงๆ หรือไม่ และเธอก็ต้องหาทางชักจูงให้อีกฝ่ายเชื่อเธอให้ได้
เอาเถอะ แค่แสร้งเป็นพระเจ้ามันจะยากสักแค่ไหนกันเชียว?
“พิสูจน์สิ!”
เด็กสาวเอ่ยพลางก้าวถอยหลัง จะมีนิสัยขี้ระแวงเกินเหตุไปรึเปล่านะ
“แสดงปาฏิหาริย์สิ! ถ้าเป็นผู้เผยพระวจนะจริงคุณก็น่าจะรู้ไม่ใช่เหรอว่าฉันชื่ออะไร!”
นี่อย่าบอกนะว่ายัยเด็กนี่ดันไปสั่งกับลอยด์และลูเมี่ยนเอาไว้ว่าอย่าบอกชื่อให้ฉันรู้? ก็ว่าอยู่ว่าทำไมสองคนนั้นไม่ยอมพูดชื่อของยัยนี่ออกมาเลย
เจ้าเล่ห์ แถมยังรอบคอบ รู้สึกถูกใจแปลกๆ
“ฉันไม่เชื่อในพระเจ้า! ถ้าอยากให้ฉันไปเข้าร่วมกับคุณเหมือนพวกของลอยด์ล่ะก็ ฝันไปเถอะ!”
กราดเกรี้ยวชะมัด โมโหอะไรขนาดนั้น มีปมฝังใจกับนักต้มตุ๋นรึไง?
“พิสูจน์มาซะว่าคุณคือข้ารับใช้แห่งเทพ แต่ ทำไม่ได้ใช่ไหมล่ะ?”
ส่งเสียงเจื้อยแจ้วอะไรมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว?
น่ารำคาญชะมัด