ฉันก็แค่อยากตาย แต่ไหงต้องมาเกิดใหม่ด้วยล่ะ! - ตอนที่ 23 จงเอ่ยนามเราว่า"แพนโดร่า"
ยูริทำสีหน้าเคร่งขรึมขณะที่เอ่ยด้วยน้ำเสียงโมโนโทน มันเป็นน้ำเสียงที่ฟังดูลึกลับน่าค้นหาและเหมาะที่จะใช้สำหรับการต้มตุ๋นมากที่สุดแล้ว
สีหน้าของเธอแสดงออกให้เห็นถึงความจริงจัง ดวงตาหรี่ลงราวกับกำลังครุ่นคิดและพิจารณาอะไรบางอย่าง มันเป็นสายตาที่ดูเฉลียวฉลาดและรอบรู้ทุกสิ่ง
ทั้งหมดนั่นคือจินตนาการอันบรรเจิดที่ลูเมี่ยนและลอยด์รังสรรค์ขึ้นมาในสมองของตัวเอง แต่ขณะเดียวกันมันก็เป็นความคิดที่วาคาดะ ซายูริปรารถนาให้เกิดตั้งแต่ต้นแล้ว
เด็กสาวนึกถึงคำพูดของโนอาขึ้นมา
‘ถ้าอยากหลุดพ้นจากการควบคุมของผู้ชักใย คุณจะต้องสร้างลัทธิขึ้นมา แน่นอนว่าอนาคตคุณควรทำให้มันกลายเป็นศาสนาซะ’
ตอนแรกเธอแค่ต้องการจะฆ่าคนพวกนี้ซะ ฆ่า ทำให้ทรมาน รวมไปถึงทำให้เกิดความอลหม่านวุ่นวายให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ใช่แล้ว นั่นคือความปรารถนาแรกสุด มันเป็นความหลงใหลของตัวเธอเองที่ต้องการให้ทุกๆ สิ่งพัง พังพินาศไปให้หมด
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเธอจะต้องเปลี่ยนแผนนิดหน่อยแล้วล่ะ
ล้มเลิกการฆ่าซะ เธอจะทำให้คนพวกนี้มาศรัทธาในตัวของเธอ เริ่มจากการเล่นบทบาทเป็นข้ารับใช้ของพระเจ้าก่อนเลย
แต่คำถามคือเธอควรทำยังไงล่ะ? เธอไม่เคยสร้างศาสนามาก่อนเลยด้วยซ้ำ แล้วจะให้ฆาตกรต่อเนื่องอย่างเธอมาทำอะไรแบบนี้น่ะเหรอ? น่าตลกซะไม่มี
แต่ ถึงแม้ว่าเธอจะไร้ประสบการณ์ในด้านนี้ แต่เธอก็ไม่หวั่นไหว เพราะยังไงซะเธอก็เข้าใจได้อย่างดีว่าจุดสำคัญของศาสนาคือสิ่งใด
ความเชื่อยังไงล่ะ ศาสนาส่วนใหญ่บนโลกนี้มักจะบอกให้นับถือและเชื่อในพระเจ้า ศาสนาคือสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความศรัทธาของคนบางกลุ่ม
ในบางครั้งศาสนาคือวัตถุดิบชั้นเลิศในการทำสงครามด้วย
ดูอยู่รึเปล่าอโลวีนัส?
ฉันขอกลายเป็นพระเจ้าล่ะนะ
“อย่างที่ข้าบอกพวกเจ้าไปในครั้งก่อน ข้าถูกเทพธิดาส่งมาที่นี่เพื่อช่วยเหลือผู้คนที่กำลังยากลำบากในเขตสลัมแห่งนี้”
ยูริเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและกางแขนออกจากลำตัวราวๆ ห้าเซนติเมตร มันทำให้บรรยากาศรอบๆ ตัวของเธอดูศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาราวกับว่าเธอเป็นข้ารับใช้แห่งเทพตัวจริง
ท่วงท่า น้ำเสียงที่ใช้ในการพูด ทักษะการพูด รวมไปถึงคนที่เราต้องการจะล้างสมอง
ทั้งหมดนั่นคือปัจจัยสำคัญที่ใช้ในการสร้างศาสนา เพราะศาสนาคือสิ่งๆ หนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นจากความเชื่อและความศรัทธาของผู้คน ดังนั้นการทำตัวให้น่าเคารพนับถือจึงสำคัญ
และตอนนี้ เธอจำเป็นต้องเริ่มต้นทำให้สองคนนี้เชื่อและศรัทธาเธออย่างสมบูรณ์ซะก่อน
“แต่ น่าเศร้ายิ่งนักที่ตอนลงมาเกิดบนโลกนี้ข้าได้สูญเสียพลังอำนาจส่วนใหญ่ไปมาก มันทำให้ข้าไม่สามารถใช้พลังของข้าเพื่อช่วยเหลือพวกเจ้าได้โดยตรง ดังนั้น พวกเจ้าต้องให้ความช่วยเหลือข้า”
เริ่มจากการรังสรรค์ปันแต่งเรื่องราวที่น่าเหลือเชื่อขึ้นมา ศาสนาคือสิ่งที่ใช้ความเชื่อของผู้คนให้เป็นประโยชน์อยู่แล้วนี่?
มันไม่สำคัญว่าคำสอนหรือความเชื่อพวกนั้นจะสมเหตุสมผลหรือไม่ มันสำคัญแค่ว่ามีคนเชื่อในคำสอนพวกนั้นหรือเปล่า
พระเจ้าคือผู้สร้าง พระเจ้าคือผู้ทำลาย พระเจ้าคือทุกสิ่ง หนึ่งเดียวในสรรพสิ่งและเหนือสรรพสิ่ง ความเชื่ออันไร้หลักฐานมารับรองนั้นสามารถกินใจของคนทั้งโลกได้
และเธอก็จะใช้ประโยชน์จากหลักการอันน่ามหัศจรรย์นั้น
“ให้ความช่วยเหลือท่านเหรอครับ?”
ลอยด์เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นๆ จริงๆ แล้วใจหนึ่งของเขาก็ยังคงสงสัยว่าอีกฝ่ายเป็นข้ารับใช้ของเทพเจ้าจริงรึเปล่า แต่เขายังคงจำได้ดีถึงสิ่งที่เขาเห็นจากตัวของเธอคนนี้
ปากและลูกตานับไม่ถ้วนที่สื่อถึงความชั่วร้ายดุจดั่งเทพปีศาจจุติ เขาจำได้ดีถึงความหวาดกลัวของตัวเขาเอง
มันเหมือนกับว่า—เขากำลังจ้องตากับความสยดสยองจากยุคบรรพกาลโดยตรง
เขาคิดว่าท่านไม่น่าจะใช่เทวทูตธรรมดาๆ หรอก บางทีอาจจะเป็นบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น
เทพปีศาจ ใช่ ท่านจะต้องเป็นอะไรแบบนั้นแน่ๆ
แต่เทพปีศาจที่ว่ากลับบอกว่าจะช่วยฟื้นฟูเขตสลัมเนี่ยนะ? ท่านมีแผนการอะไรกันแน่ ตัวตนอันยิ่งใหญ่แบบนี้จะมาช่วยพวกเขาไปเพื่ออะไรกัน?
เขาจำคำสอนหนึ่งของบาทหลวงที่เคยเดินทางเข้ามายังที่แห่งนี้ได้ดี
จงอย่าไว้ใจเทพมาร
แต่ ถ้าอีกฝ่ายเป็นเทพมารจริงๆ เขาจะไปทำอะไรได้ล่ะ?
เขาก้าวเท้าเข้ามามีเอี่ยวกับเรื่องนี้แล้วนี่น่า
“ถูกต้อง ช่วยเหลือข้า”
วาคาดะ ซายูริยิ้มด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ เธอเห็นท่าทางของลอยด์และคาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายกำลังรู้สึกอะไรอยู่
หวาดกลัวและยำเกรง
เธอไม่รู้ว่าอะไรทำให้เขากลัวได้ขนาดนั้น แต่เธอมองว่ามันเป็นโอกาสดีที่จะทำให้อีกฝ่ายมาอยู่ภายใต้อำนาจของเธอ
“เทพธิดาต้องการให้ข้าช่วยเหลือพวกเจ้า ข้าเองก็อยากช่วย แต่ข้าจะช่วยได้อย่างไรถ้าข้าเสียพลังไปแบบนี้ อ่า น่าเศร้าใจเหลือเกิน”
ยูริตีหน้าเศร้า สีหน้าของเธอราวกับว่าเศร้าใจเหลือเกินที่ไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้เลย
แต่ เธอไม่ได้รู้สึกอะไรเลยสักนิด
ลูเมี่ยนกำลังครุ่นคิดอะไรหลายๆ อย่าง
ท่านคือเทวทูต/ข้ารับใช้แห่งเทพที่สังกัดภายใต้อำนาจของเทพธิดาจริงๆ งั้นเหรอ ท่านลงมาบนโลกเพื่อช่วยเหลือพวกเรางั้นเหรอ?
ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาและผองเพื่อนใช้ชีวิตอย่างอดๆ อยากๆ มาตลอด ทุกๆ วันต้องคอยดิ้นรนเอาชีวิตรอด หนังสือก็ไม่ได้เรียนด้วยซ้ำ มันเป็นชีวิตที่ทรมานและไม่มีความสุขเอาซะเลย
เขาอยากพัก อยากพักผ่อนจากชีวิตอันทรมานนี้
ตอนนี้เทพธิดาเล็งเห็นความลำบากของพวกเราและส่งข้ารับใช้มาคอยช่วยเหลือใช่ไหม?
หมัดอันปูดโปนไปด้วยเส้นเลือดของเด็กหนุ่มกำแน่น
ตอนนี้ได้เวลาพลิกชะตากรรมของพวกเขาแล้วสินะ
นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกราวกับมีชีวิตอยู่จริงๆ เลย หัวใจของเขาซาบซ่านไปด้วยความรู้สึกบางอย่าง
มันคงจะเป็นความหวัง ความหวังที่จะใช้ชีวิตให้มีความสุข
“พวกเราจะช่วยเหลือท่าน”
ลูเมี่ยนเอ่ยด้วยสีหน้ามุ่งมั่น
ใช่แล้ว เขาต้องใช้โอกาสนี้พลิกชีวิตของตัวเอง และจะต้องช่วยเหลือเด็กๆ ทุกคนที่เขารู้จักให้หลุดพ้นจากความทรมานนี้
“ขอแค่ท่านสั่งมา พวกเราก็จะทำตามทุกอย่าง ถ้ามันจะทำให้พวกเรามีโอกาสพลิกชะตากรรมนี้ได้”
ลูเมี่ยนไม่รู้เลยว่าสายตาอันเยือกเย็นของเด็กสาวกำลังเย้ยหยันเขาอยู่
นี่มันสำเร็จง่ายเกินไปหน่อยรึเปล่านะ
เฮอะ น่าเบื่อกว่าที่คิด ตอนแรกนึกว่าจะต้องใช้ทักษะการแถทั้งหมดในการทำให้พวกนี้เชื่อว่าเธอคือข้ารับใช้แห่งเทพตัวจริงซะอีก แค่แต่งเรื่องนิดๆ หน่อยๆ ก็เชื่อแล้วเหรอ?
ทำไมพวกนายถึงได้เชื่อคำพูดของเด็กเจ็ดขวบได้นะ สมองไม่โตรึไง?
ยูริไม่รู้เลยว่าลอยด์ได้บอกกับลูเมี่ยนไปแล้วเรื่องหนวด และลูกตานับไม่ถ้วนที่แผ่ออกมาจากตัวของเธอ
ลูเมี่ยนอาจจะยังตระหนักไม่ได้ แต่ลอยด์คิดไปแล้วว่าเธอคืออวตารของพระเจ้า
พระเจ้าที่จุติมายังโลกมนุษย์
“ยอดเยี่ยมมาก มันต้องแบบนี้สิ”
ยูริไม่ปิดบังใบหน้ายิ้มแย้มของตน เธอหันซ้ายหันขวาพลางมองหาม้านั่งเพื่อที่จะไปนั่ง เธอยืนนานเกินไปแล้ว ร่างกายของเด็กเจ็ดขวบมันอ่อนแอไปหน่อย
หลังจากนั้นก็หาที่นั่งได้ เธอกวักมือเรียกลูเมี่ยนและลอยด์ให้เข้ามาใกล้ๆ
“พวกเจ้าตกลงแล้วสินะว่าจะเชื่อฟังคำพูดของข้าทุกอย่าง”
ยูริเอ่ย เธอเริ่มวางแผนการต่างๆ ในสมอง
โนอาบอกว่าอะไรนะ? ให้เธอสร้างศาสนางั้นเหรอ?
สิ่งสำคัญของการสร้างศาสนาคือความเชื่อและความศรัทธาของผู้คน ก่อนที่จะทำอะไรที่มันใหญ่เกินตัว เธอควรทำให้ผู้คนศรัทธาซะก่อน
และเธอก็มีแผนแล้วด้วย
“ข้าตั้งใจว่าจะช่วยพวกเจ้า แต่แน่นอน อย่างที่บอกไปว่าตอนนี้ข้าไร้ซึ่งพลังอำนาจใดๆ ดังนั้นพวกเจ้าต้องทำให้ข้าได้อำนาจคืนมา”
เธอโน้มตัวไปข้างหน้าพลางเอ่ยทุกๆ ถ้อยคำที่ครุ่นคิดออกมา
“อำนาจงั้นเหรอครับ?”
ลอยด์ถามด้วยความฉงน ในฐานะของมนุษย์ตัวเล็กๆ เขาจะไปทำอะไรได้ เขาจะช่วยพระเจ้าที่เสียพลังไปได้ยังไง?
“ข้ารู้ว่าพวกเจ้าคงจะคิดว่าเรื่องนั้นมันเกินตัวพวกเจ้าไปหน่อย แต่ไม่ต้องห่วงหรอก ภารกิจแรกของข้าน่ะไม่ได้ยากขนาดนั้น”
ยูริหลับตาลงอยู่ครู่หนึ่ง ภาพนั้นทำให้ลูเมี่ยนและลอยด์ก้มหัวลงอย่างเคารพนับถือ เธอหลับตาลงด้วยเหตุผลว่าเธอกำลังครุ่นคิดคำพูดต่อไปของตัวเอง
คำพูดที่จะตัดสินอนาคตของเธอต่อจากนี้
“ข้าตั้งใจว่าข้าจะสร้างศาสนาของตัวข้าเอง”
คำพูดนั้นทำให้เด็กทั้งสองตกตะลึงอย่างแท้จริง
สร้างศาสนา? แต่ไม่ใช่ว่าท่านเป็นข้ารับใช้ของท่านเทพธิดาหรอกเหรอ? ข้ารับใช้มาสร้างศาสนาเองแบบนี้มันจะไม่เป็นอะไรเหรอ?
“จะตกใจอะไร มันแปลกรึไง ท่านเทพธิดาอนุญาตแล้ว”
ยูริเอ่ยด้วยท่าทีไร้ยางอาย เธอไม่สนใจเลยสักนิดที่ตัวเองเอาชื่อของพระเจ้ามาอ้าง
เธอไม่กลัวว่าจะโดนอโลวีนัสเสกสายฟ้ามาผ่าหัวหรอก ถ้ายัยนั่นจะทำก็คงทำไปตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันแล้ว
“อย่างงั้นเองเหรอ…”
ลอยด์พึมพำ เขาไม่เชื่อคำอ้างของเธอ แน่นอน เทพปีศาจจะขออนุญาตจากเทพจารีตไปทำไมล่ะ?
เขาไม่กล้าสบตาท่านเลย ทุกๆ ครั้งที่จ้องใบหน้านั่นเขาจะรู้สึกราวกับว่าถูกบางสิ่งบางอย่างจ้องกลับมาเสมอๆ มันเหมือนกับดวงตามายาขนาดใหญ่ที่จ้องจะทำลายใครก็ตามที่ริอาจจ้องมองมันโดยตรง
ท่านจะต้องเป็นเทพปีศาจแน่ๆ
“ถ้าข้ารวบรวมผู้ศรัทธาได้มากพอล่ะก็ พลังอำนาจของข้าก็จะค่อยๆ กลับคืนมาทีละนิด แน่นอน พอถึงเวลานั้นข้าก็จะสามารถช่วยพวกเจ้าได้”
บางทีเธอก็คิดนะว่าเธอไปทำอาชีพนักต้มตุ๋นน่าจะรุ่ง
“แค่รวบรวมผู้ศรัทธาก็พอสินะครับ”
ลูเมี่ยนมองเธอด้วยแววตามุ่งมั่น บางทีเขาอาจจะเป็นหนึ่งในมือขวาของเธอได้ในอนาคต
“ถูกต้อง ข้าปรารถนาที่จะทำให้ผู้คนรู้จักการจุติของข้า แต่ตอนนี้มันยังไม่ถึงเวลาที่ข้าจะเผยแพร่ศาสนาเพราะเหตุผลบางประการ”
“เหตุผลบางอย่างเหรอครับ?”
“ถูกต้อง เหตุผลที่ข้ายังเผยแพร่ศาสนาในตอนนี้ไม่ได้ก็คือ…”
ยูริชี้ไปยังเสื้อผ้าของทั้งสอง
“พวกเจ้ามันไม่น่าเชื่อถือพอ”
อะไรนะ? คำตอบนั้นทำให้ทั้งลูเมี่ยนและลอยด์รู้สึกอยากจะแคะหูตัวเองเพื่อตรวจสอบว่าฟังผิดไปรึเปล่า อะไรไม่น่าเชื่อถือนะ?
“ข้าวางแผนเอาไว้ว่าจะสร้างศาสนา และข้าก็ต้องการคนมาช่วยเผยแพร่ศาสนาที่ว่า และพวกเจ้าก็คือตัวเลือกของข้า”
ยูริอธิบาย
“แต่เสื้อผ้าที่พวกเจ้าสวมใส่มันทั้งเก่า ขาดวิ่น และยังสกปรก ผู้คนไม่มีทางเชื่อถือคำสอนของข้าแน่ๆ หากฝากให้พวกเจ้าออกไปเผยแพร่ศาสนาในสภาพนี้”
ภาพลักษณ์คือสิ่งสำคัญสำหรับการทำให้ผู้คนเชื่อและเคารพนับถือไงล่ะ และตอนนี้ภาพลักษณ์ของทั้งคู่ก็แย่สุดๆ ไปเลย
“แต่ไม่ต้องกังวลไป ข้าได้เตรียมบางสิ่งมาให้พวกเจ้าแล้ว เอาล่ะ ต่อจากนี้จงทำตามที่ข้าบอกทุกขั้นตอน”
ยูริหยิบบางสิ่งออกมาจากกระเป๋าเป้ที่เธอเอามาด้วย
มันคือเงินสดราวๆ หกถึงเจ็ดปอนด์ กับหนังสือทำมือที่เธอพยายามทำด้วยตัวเองอย่างยากลำบากราวๆ สองเล่ม
“นำเงินพวกนี้ไปซื้อเสื้อผ้าดีๆ มาใส่ซะ ขอเป็นเสื้อผ้าที่มันดูน่าเชื่อถือหน่อยล่ะ”
ส่วนไอ้หลักเกณฑ์ของเสื้อผ้าน่าเชื่อถือที่ว่าคืออะไร?
เธอก็ไม่รู้เหมือนกัน
หลังจากนั้นก็ผ่านไปหลายวัน ยูริเดินทางไปยังเขตสลัมอีกครั้ง
เธอเดินทางมาที่นี่เพื่อตรวจสอบว่าภารกิจที่เธอมอบให้ทั้งสองคนนั้นไปถึงไหนแล้ว
“สวัสดีลอยด์ เจ้าด้วย ลูเมี่ยน”
เด็กสาวเอ่ยทักทายด้วยเสียงทรงอำนาจ เธอจับจ้องทั้งสองที่สภาพดีกว่าที่เจอกันคราวก่อน แม้ว่าจะดีกว่าแค่เล็กน้อยก็ตามเถอะ
“ภารกิจที่ข้ามอบให้พวกเจ้า…ดูเหมือนว่าจะทำได้ไม่เลว”
เธอมอบเงินสดหลายปอนด์ไปให้ทั้งสองเพื่อให้นำไปซื้อเสื้อผ้าใหม่ๆ เธอต้องการให้สองคนนี้ช่วยเธอในภารกิจเผยแพร่ศาสนา
ดังนั้นเธอคิดว่าสองคนนี้จะไปซื้อชุดจำพวกชุดบาทหลวงหรืออะไรแบบนั้นซะอีก แต่ไม่คิดเลยว่าพวกนี้จะไปซื้อแค่ชุดลำลองธรรมดาๆ มาใส่ซะงั้น
ให้ตายเถอะ น่าผิดหวังชะมัด เอาเถอะ สองคนนี้แต่งชุดบาทหลวงไปก็แต่งไม่เข้าอยู่ดีนั่นแหละ บางทีชุดลำลองสบายๆ แบบนี้อาจจะเหมาะกับพวกเขามากกว่า
แค่ต้องปรับแต่งท่าทาง น้ำเสียง และลักษณะการยืนนิดๆ หน่อยๆ ทำแค่นั้นพวกเขาก็ดูน่าเชื่อถือขึ้นมาหน่อยแล้ว
“ดีใจที่ท่านพอพระทัย”
ลอยด์เป็นคนพูด แหมๆ ช่างเจ้าสำนวนซะจริง ไอ้คำว่าพอพระทัยเนี่ยเด็กสลัมไปรู้จักมาจากไหนนะ
“ยอดเยี่ยมมาก ด้วยชุดเหล่านี้—อย่างน้อยพวกเจ้าก็จะดูน่าเชื่อถือกว่าเดิมมาก”
แต่ มันจะดีกว่านี้มากถ้าลบร่องรอยของความยากไร้และความอดอยากพวกนั้นออกไปให้หมด การเป็นผู้เผยแพร่ศาสนาน่ะจะต้องน่าเชื่อถือ แต่ไอ้สภาพมอมแมมแบบนั้นจะเรียกว่าน่าเชื่อถือได้เหรอ?
เอาเถอะ ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปแล้วกัน
“แล้วอีกภารกิจที่ข้ามอบให้ล่ะ? พวกเจ้าทำมันรึยัง?”
ยังจำหนังสือสองเล่มที่เธอเคยมอบให้สองคนนี้ได้รึเปล่า? นั่นคือคัมภีร์ศาสนาที่เธอแต่งขึ้นมาเอง
ในเมื่อเธอจะสร้างศาสนาเป็นของตัวเอง เธอก็จะต้องมีหลักธรรมคำสอนหรืออะไรแบบนั้นเอาไว้ชักจูงผู้คนไม่ใช่รึไง?
น่าแปลกที่หลังจากถามคำถามนั้นออกไป ทั้งลอยด์และลูเมี่ยนต่างก็ทำสีหน้าสำนึกผิดอย่างไม่รู้สาเหตุ
“เอ่อ ท่านครับ พอดีเรื่องนั้นมันมีปัญหานิดหน่อย”
ลูเมี่ยนเกาท้ายทอยพลางเอ่ยด้วยใบหน้าเจื่อนๆ
“พวกเราไม่รู้หนังสือ”
ยูริรู้สึกอยากจะตบหน้าตัวเองดังฉาด
เธอลืมข้อเท็จจริงข้อนี้ไปได้ยังไงกันนะ พวกเขาทั้งคู่เป็นเด็กที่ใช้ชีวิตมาในสลัม ไม่มีโอกาสได้ออกไปโลกกว้าง ไม่มีโอกาสได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ มันทำให้พวกเขาอ่านหนังสือไม่ออก
การที่เธอมอบภารกิจเผยแพร่หลักธรรมคำสอนที่ตัวเองแต่งขึ้นมันก็ไม่ต่างอะไรกับการมอบภารกิจปีนต้นไม้ให้กับปลาเลย พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะอ่านหนังสือได้ยังไง แล้วจะเผยแพร่ศาสนาของเธอได้ยังไงล่ะ?
“ขออภัยด้วยครับที่ทำให้ท่านผิดหวัง พวกเราจะพยายามอย่างถึงที่สุดเพื่อเผยแพร่ศาสนาของท่าน”
ลอยด์ก้มหน้าลงพลางเอ่ยด้วยสีหน้าหวาดกลัว มันราวกับว่าเขากำลังกลัวว่าเธอจะโกรธที่พวกเขาทำภารกิจไม่สำเร็จ เขายังไม่อยากถูกท่านเทพมารฆ่าตาย!
ยูริขมวดคิ้วอย่างฉงน เธอไม่เข้าใจว่าทำไมลอยด์จะต้องทำท่าทางหวาดกลัวขนาดนั้น เธอไม่ได้โกรธสักหน่อย จริงๆ เธอไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่ที่แผนการของเธอยังไม่สำเร็จในครั้งแรก
ใช่ว่าโลกนี้จะดำเนินไปดั่งใจเธอต้องการเสียหน่อย
แต่ในเมื่อลอยด์ทำท่าทางหวาดกลัวแบบนี้แล้ว มันก็เป็นโอกาสที่เธอจะใช้การแถและหลอกลวงของตัวเองอีกครั้งแล้วล่ะ
“เงยหน้าขึ้นซะ”
ยูริเอ่ยพลางทำเสียงเย็น สีหน้าของเธอดูเย็นชาและแอบแฝงไปด้วยเจตนาสังหาร แน่นอน ทั้งหมดนั่นเป็นแค่การแสดงละครเล็กๆ น้อยๆ ของเธอเท่านั้นเอง
“ข้ามอบภารกิจให้พวกเจ้า แต่พวกเจ้ากลับทำมันไม่สำเร็จงั้นหรือ?”
เด็กสาวนั่งอยู่บนม้านั่งสาธารณะ เธอไขว้ขาพลางเปรยสายตาเย็นชาใส่ทั้งสองคนนั้น
มือยันคางขณะที่ออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงน่าเกรงขาม
“คุกเข่าซะ”
พรึบ! ด้วยความเร็วสูง ลอยด์รีบคุกเข่าลงไปกับพื้นพลางตัวสั่นเทิ้ม เขากระชากตัวของลูเมี่ยนให้ลงมานั่งคุกเข่าด้วยกันด้วย
ความกลัวและความรู้สึกสยดสยองแผ่กระจายไปทั่วทั้งร่างของเขา เขาทำให้ท่านโกรธเข้าแล้ว
“พ พวกเราสมควรตาย”
ลอยด์เอ่ยด้วยเสียงสั่นๆ เขาไม่กล้าจ้องมองท่านเลย เขารู้สึกได้ว่าดวงตามายาขนาดใหญ่นั่นกำลังจ้องเขาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อยังไงยังงั้น
“ลอยด์ ข้าไม่ได้โกรธที่เจ้าทำภารกิจไม่สำเร็จ”
ยูริเอ่ย
“ข้าเพียงแค่สงสัย ถ้าพวกเจ้าอ่านหนังสือไม่ออก แล้วทำไมพวกเจ้าถึงไม่บอกข้าตั้งแต่เมื่อวาน ตอนที่ข้ามอบพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ให้พวกเจ้า เจ้าควรจะบอกข้าตั้งแต่ตอนนั้น”
ถ้าพวกเราบอกท่านไปแบบนั้น ท่านจะไม่จับพวกเรากินเป็นอาหารหรอกเหรอครับ!
ลอยด์กรีดร้องในใจ แต่เขาไม่กล้าพอที่จะเอ่ยคำพูดนั้นออกไป ไม่อย่างงั้นเขาอาจจะได้ตายจริงๆ
“พ พวกเรา ต ตอนนั้นพวกเรายังไม่ตระหนักถึงความสามารถของตัวเอง”
ลอยด์พยายามเค้นคำพูดทุกอย่างออกมาเท่าที่เขาจะสามารถนึกออก เขาต้องทำให้ท่านใจเย็นลง จากนั้นเขากับลูเมี่ยนก็จะปลอดภัย ใช่แล้ว เขายังมีหนทางรอดอยู่
“พ พวกเรานั้นโง่เขลาที่ไม่ตระหนักถึงความโง่เขลาของตน ต แต่พวกเราสาบานว่าจะไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก”
สีหน้าของลอยด์ดูราวกับปลาที่กำลังขาดน้ำ มือไม้ของเขาสั่นเทาราวกับนักลงทุนที่พึ่งค้นพบว่าตัวเองกำลังสูญเสียเงินจำนวนมหาศาลยังไงยังงั้น
กลัว เขากลัวว่าท่านจะโกรธและฆ่าพวกเขา เทพปีศาจอย่างท่านไม่มีทางปล่อยให้คนที่ทำภารกิจล้มเหลวมีชีวิตรอดต่อไปได้แน่
ทำยังไง ต้องทำยังไงถึงจะรอดจากสถานการณ์ตรงนี้ไปได้ล่ะ?
เขาเค้นสมองด้วยทุกวิถีทาง คิดสิ คิด เขาจะต้องรอดจากสถานการณ์ตรงนี้ให้ได้ ทำยังไงๆๆๆ
ใช่แล้ว คิดออกแล้ว
“พ พวกเราจะแก้ตัว”
เขาเอ่ยออกมาและดีใจที่ท่านยังไม่ฆ่าเขา
“ต่อให้ท่านจะสั่งให้พวกเราไปตายพวกเราก็จะทำ พวกเรายินดีทำตามคำสั่งของท่านทุกๆ อย่าง พวกเราคือข้ารับใช้ของท่าน พวกเราจะนับถือท่านดุจดั่งที่นับถือพ่อแม่ของตัวเอง”
เทพปีศาจคงพึงพอใจกับการถวายวิญญาณแบบนี้ใช่ไหม?
สายตาเย็นชาของเด็กสาวทวีความเยือกเย็นกว่าเดิม เธอเอียงคอและครุ่นคิดบางสิ่ง
ลอยด์? นายป่วยเหรอ? ทำไมตัวสั่นยังกะเห็นผีแบบนั้น ฉันว่าฉันออกจะน่ารักนะ ทำไมต้องมองยังกะว่าฉันเป็นเทพปีศาจด้วย?
นายคงไม่ได้คิดว่าฉันเป็นเทพปีศาจหรอกใช่ไหม? ไม่หรอก บางทีเขาอาจจะแค่หิวก็ได้
ท่าน—ท่านกำลังครุ่นคิด!
ลอยด์รู้สึกโล่งอกขึ้นมานิดหน่อย ใช่แล้ว ท่านไม่ได้ฆ่าเขาในทันที ท่านยังคงรับฟังคำพูดของเขา นั่นแปลว่าเขามีโอกาสรอดชีวิตสูงมากเช่นกัน
ท่านคงจะกำลังพิจารณาว่ามนุษย์ตัวน้อยๆ อย่างเขามีค่าพอให้ไว้ชีวิตรึเปล่าสินะ ช่างเมตตา แม้ว่าจะเป็นเทพปีศาจแต่ท่านก็ไม่ฆ่าเขาในทันที แค่นั้นเขาก็ซาบซึ้งมากพอแล้ว
ลอยด์ทำสีหน้าเปี่ยมไปด้วยศรัทธาเป็นครั้งแรก ความศรัทธาที่แท้จริง
เทพปีศาจที่เมตตามนุษย์มีอยู่จริง
“ท่าน!”
ลอยด์ตะโกนออกมา
“ผมสาบานว่าจะภักดีต่อท่านคนเดียวตลอดไปเลยครับ!”
คำพูดนี้คือความหวังสุดท้ายในการเอาชีวิตรอดของเขาแล้ว
“…นั่น…ถือว่าดีแล้ว”
เขาได้ยินเสียงของท่าน มันดูสับสนเล็กน้อย แต่บางทีเขาอาจจะคิดไปเองก็ได้
หมอนี่มันเป็นบ้าอะไรของมัน? จู่ๆ ก็ตะโกนขึ้นมา ตกใจหมด
เธอแค่ทำหน้านิ่งๆ และอยู่เฉยๆ เองนะ แต่ไหงลอยด์ถึงทำหน้าเหมือนกับเจอพระเจ้าที่น่าเคารพบูชาแบบนั้นล่ะ?
เอาเถอะ…ถือว่าเป็นเรื่องดีแล้วกัน
“เอาเถอะ ข้ายกโทษให้พวกเจ้า”
เธอผ่อนน้ำเสียงของตัวเองให้ดูนุ่มนวลขึ้น มุมปากยกยิ้ม ยกยิ้มราวกับว่าเป็นเทพเจ้าผู้อ่อนโยน
“ยังไงก็ตาม พวกเจ้าจะต้องตามข้ามาทำภารกิจด้วย เพื่อเป็นการชดเชยที่พวกเจ้าทำไม่สำเร็จก่อนหน้านี้ไงล่ะ”
ในเมื่อแผนการเผยแพร่พระคัมภีร์นั้นไม่สำเร็จ ก็ต้องแผนการเผยแพร่ด้วยตัวเองแล้วล่ะ
เธอวางแผนว่าจะทำให้ตัวตนของเธอเป็นที่รู้จักในหมู่คนไร้บ้านซะก่อน ในเมื่อลอยด์และลูเมี่ยนไม่สามารถทำหน้าที่นี้ได้ เธอก็จะทำมันด้วยตัวเองซะเลย
“ติดตามท่านไปเหรอครับ?”
“ถูกต้อง ข้าจะเดินทางเพื่อเผยแพร่ศาสนา พวกเจ้าทำหน้าที่นี้ไม่ได้ และข้าก็ไม่มีพลังเหลือเลย ดังนั้น ข้าต้องการคนที่เชี่ยวชาญเส้นทางในที่แห่งนี้มานำทาง และต้องการคนคุ้มกันด้วย”
เธอเลือกกลุ่มเป้าหมายเป็นคนในเขตสลัม ทำไมน่ะเหรอ? พวกเขาทุกๆ คนต่างใช้ชีวิตด้วยความสิ้นหวัง ความสิ้นหวังที่จะประสบความสำเร็จ ความสิ้นหวังที่จะมีความสุข ความสิ้นหวังที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่านี้
พวกเขาเหลือเพียงแค่ ความพยายามอยู่รอดไปวันๆ เท่านั้น
คนแบบนั้นน่ะชักจูงง่าย ถ้าพวกเขาเห็นหนทางที่จะเป็นแหล่งยึดเหนี่ยวใหม่ของตัวเอง แหล่งยึดเหนี่ยวที่ทำให้พวกเขาเห็นคุณค่าของชีวิตมากขึ้น แหล่งยึดเหนี่ยวที่มากกว่าการเอาชีวิตรอดไปวันๆ
ถ้าพวกเขาเห็นหนทางเหล่านั้น พวกเขาก็ย่อมอ้าแขนเปิดรับมัน เปิดรับเพราะไม่มีอะไรจะเสียแล้ว
ใช่ว่าพวกเขาจะโง่เขลา
แต่พวกเขาแค่โชคร้าย
ยังไงก็ตาม
เธอต้องการเดินทางไปเผยแพร่ศาสนาด้วยตัวเอง แต่ในศาสนาหลายๆ ศาสนา ผู้เผยแพร่ศาสนาจะถูกเรียกว่า ‘ศาสดา’ ของศาสนานั้นๆ
ถ้าเป็นโลกนี้ มันจะเรียกว่าผู้เผยพระวจนะ
ตอนนี้เธอคือผู้เผยพระวจนะที่ว่านั่น
แต่ผู้เผยแพร่ศาสนาก็ควรมีชื่อ ชื่อที่ทุกคนรู้จักและสามารถจดจำได้ ชื่อที่เป็นนามแฝงของเธอ
จะให้เธอออกไปเผยแพร่ศาสนาโดยใช้ชื่อจริงก็ไม่ได้ จริงไหมล่ะ?
และสำหรับชื่อใหม่ของเธอนั้น เธอได้คิดมันออกมาแล้ว
เธอมายังโลกนี้เพื่อฆ่าพระเจ้า ดังนั้นชื่อของเธอจึงควรสื่อถึงความไม่เคารพและเชื่อฟังพระเจ้า สื่อถึงความดื้อรั้นที่มนุษย์มีต่อพระเจ้า
“ลอยด์ ลูเมี่ยน ข้ามีคำสั่งให้พวกเจ้าอีกข้อ”
พวกเจ้าจงเรียกข้าว่า
“พวกเจ้าจักต้องเรียกข้าว่า”
“เดอะแพนโดร่า”
นั่นคือพระนามใหม่ของเธอไงล่ะ