จิตวิญญาณเทพยุทธ์สยบเทวะ - ตอนที่ 60 ตระกูลหยาง ตระกูลหวัง
“อืม” หลู่เส่าโหย่วพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็พุ่งตัวออกอีกครั้งและกล่าวว่า “อีกครั้ง”
หลู่เม่ยกับหลู่เสี่ยวไป๋ได้แต่เฝ้าดูการต่อสู้ของทั้งสองคนจากข้างสนามเท่านั้น เพราะแม้แต่ความแข็งแกร่งของหลู่เม่ย นั้นก็ยังอีกห่างไกลนัก ถึงแม้นางจะมีพรสวรรค์ระดับยอดเยี่ยม แต่พลังบ่มเพาะของนางยังอยู่ที่ระดับสาวกเท่านั้น
หลังจากผ่านไปสามชั่วยาม หลู่เส่าโหย่วก็ได้หอบหายใจออกมา ในที่สุดเขาก็ใช้พลังลมปราณไปจนใกล้จะทนไม่ไหวแล้ว แต่เขาก็ได้เรียนรู้อะไรมาไม่น้อย
ส่วนทางฝั่งหลู่หวู๋ซวง นางรู้สึกตกใจอย่างมาก ตามหลักการแล้ว พลังระดับนักรบนั้นไม่สามารถอดทนได้นานขนาดนี้ แต่ราวกับว่าหลู่เส่าโหย่วมีพลังลมปราณที่ใช้ไม่มีวันหมดอยู่ในร่าง เขาอดทนมาจนถึงตอนที่ขนาดนางเองยังรู้สึกเหนื่อย
“เอาล่ะเส่าโหย่ว เจ้าไปพักผ่อนเถอะ อีกสองวันก็จะถึงวันประลองแล้ว เจ้าไม่ควรเหนื่อยมากเกินไป เจ้าต้องเติมพลังและเตรียมตัวให้พร้อม” หลู่หวู๋ซวงกล่าว
“อืม” หลู่เส่าโหย่วตอบกลับเบาๆ ตัวเขาก็ไม่เหลือแรงจะสู้ต่อแล้ว
หลังจากพักอยู่ครู่หนึ่ง หลู่เส่าโหย่วก็กลับไปที่เรือน จากนั้นเขาก็เริ่มปรับลมหายใจ ฟื้นฟูพลังลมปราณของตัวเอง
วันที่สอง หลู่เส่าโหย่วได้ไปที่สนามประลองและต่อสู้กับหลู่หวู๋ซวงอยู่สามชั่วยาม หมัดเพลิงคลั่งกับฝ่ามือแยกภูผาของเขาก็ได้ก้าวหน้าขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะหมัดเพลิงคลั่งที่เขาเริ่มควบคุมมันได้อย่างชำนาญมากขึ้นแล้ว
“เส่าโหย่ว เจ้าต้องเตรียมพร้อมให้ดี พรุ่งนี้คือวันประลองแล้ว” หลู่หวู๋ซวงกล่าวด้วยความเหน็ดเหนื่อยเล็กน้อย
“อืม” หลู่เส่าโหย่วตอบเบาๆ วันพรุ่งนี้ก็เป็นวันสำคัญสำหรับเขาเช่นกัน
“ข้าได้ข่าวว่าครั้งนี้เป็นผู้อาวุโสฝ่ายนอกของนิกายอวิ๋นหยางที่เดินทางมา และยังมีผู้ดูแลอีกจำนวนหนึ่งที่ได้มาถึงเมืองชิงอวิ๋นแล้ว ข้ากำลังจะไปทักทายสักหน่อย ดูเหมือนว่านิกายอวิ๋นหยางจะให้ความสำคัญกับการประลองในเมืองชิงอวิ๋นครั้งนี้มาก บางทีพวกเจ้าอาจจะสามารถได้กลายเป็นศิษย์สายตรง เจ้าต้องพยายามให้มาก ระหว่างการประลองเจ้าต้องพยายามแสดงความสามารถออกมาให้ดี หากเป็นเช่นนั้น เจ้าก็จะมีโอกาสกลายเป็นศิษย์สายตรงมากยิ่งขึ้น” หลู่หวู๋ซวงกล่าว
“ศิษย์สายตรงแตกต่างกับศิษย์แบบอื่นอย่างไร?” หลู่เส่าโหย่วถาม
“ความแตกต่างนั้นมากมายยิ่งนัก หากให้พูดคงจะใช้เวลานาน รอเจ้าไปถึงนิกายอวิ๋นหยาง เจ้าจะได้รู้ประโยชน์ของมันเอง” หลู่หวู๋ซวงกล่าว
หลู่เส่าโหย่วไม่ได้ถามอะไรอีก หลู่หวู๋ซวงพูดถึงขนาดนี้แล้ว เช่นนั้นศิษย์สายตรงย่อมต้องดีกว่าศิษย์ธรรมดามาก รายชื่อศิษย์ธรรมดาของนิกายอวิ๋นหยางก็ทำให้ผู้คนไม่น้อยต่อสู้แย่งชิงกันแล้ว ถ้าอย่างนั้นศิษย์สายตรงต้องยิ่งกว่านั้นแน่
หลังจากกลับมาที่เรือน หลู่เส่าโหย่วก็ได้ปรับลมหายใจอีกครั้งและพูดคุยกับแม่ของเขา สำหรับการประลองวันพรุ่งนี้เขาไม่ได้รู้สึกประหม่ามากนัก
ในตอนกลางคืน หลังจากกินข้าวเสร็จ หลู่เส่าโหย่วก็ได้กลับไปที่ห้องของเขาและหลับตาลงเพื่อพักผ่อนอย่างสงบ รอต้อนรับวันพิเศษที่จะมาถึงในวันพรุ่งนี้ สำหรับเรื่องอื่นๆ ทั้งหมด ตระกูลหลู่ได้เตรียมการเอาไว้หมดแล้ว
แต่ในค่ำคืนนี้ สำหรับผู้คนในเมืองชิงอวิ๋นแล้วมันเป็นค่ำคืนที่ตึงเครียดนัก ภายในเรือนที่เงียบสงบ มีร่างสามร่างได้อยู่ในห้องห้องหนึ่ง และหนึ่งในนั้น หากหลู่เส่าโหย่วอยู่ที่นี่ เขาจะต้องจำนางได้ทันที นางก็คือหยางม่านจากตระกูลหยางที่มีข้อพิพาทกับหลู่หวู๋ซวงที่เทียนเป่าเหมินเมื่อตอนนั้น
และยังมีคนอีกสองคน หนึ่งคนเป็นชายวัยกลางคนที่ใส่ชุดคลุมยาว มีดวงตาที่ลึกซึ้งและกลิ่นอายบางอย่างที่มองไม่เห็น เพียงมองดูก็รู้แล้วว่าไม่น่าใช่คนที่อ่อนแอ
และอีกคนหนึ่ง สวมใส่ชุดรัดรูป เผยให้เห็นส่วนโค้งเว้าที่ดูอ่อนวัยและสง่างาม อายุประมาณสิบหกสิบเจ็ดปี ใบหน้าน่ารักและมีสีแดงราวกับดอกท้อที่กำลังออกดอก มีออร่าของความเยาว์วัย ใต้คิ้วที่เรียวยาว มีดวงตาคู่งามกำลังสั่นไหว นางมีลักยิ้มแอบซ่อนอยู่ที่มุมปาก ผมสีดำที่ปล่อยลงมาตรงๆ ราวกับน้ำตกพาดอยู่บนไหล่ นางผู้นี้ถือว่าเป็นความงดงามที่แท้จริง
“เมี่ยวเอ๋อร์ พรุ่งนี้เจ้าต้องระวังไว้หน่อย เจ้าได้เก็บซ่อนมันมาหลายปี ครั้งนี้ เจ้าต้องเข้าสู่ห้าอันดับแรก หากเจ้าสามารถกลายเป็นศิษย์สายตรงได้ยิ่งดี” ชายวัยกลางคนกล่าวออกมา ดวงตาจับจ้องไปที่หญิงสาวที่งดงามผู้นั้น แววตาปรากฏความภูมิใจออกมา
ชายวัยกลางคนผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นหัวหน้าตระกูลหยาง หนึ่งในห้าตระกูลใหญ่ของเมือง นามว่าหยางซ่างเฟิง ในเมืองชิงอวิ๋น เขาเป็นบุคคลที่แค่กระทืบเท้าก็ทำให้เมืองชิงอวิ๋นสั่นสะเทือนถึงสามครั้ง
“ท่านพ่อ ข้าเข้าใจแล้ว การเข้าสู่ห้าอันดับแรกไม่มีปัญหาแน่นอน” หญิงงามได้กล่าวด้วยเสียงที่ไพเราะและยิ้มเบาๆ นางมีลักษณะของความบริสุทธิ์สามส่วน ความน่ารักสามส่วน และความสง่างามอีกสามส่วน นอกจากนั้นก็ยังมีความเย้ายวนหนึ่งส่วนด้วย
และหญิงสาวผู้นี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน นางคือหยางเมี่ยว ผู้ฝึกยุทธ์สองธาตุ คุณหนูสองแห่งตระกูลหยางที่กำลังได้รับความสนใจในช่วงนี้ อายุเพียงสิบเจ็ดปีก็มีพลังบ่มเพาะระดับนักรบขั้นสาม และยังเป็นผู้ฝึกยุทธ์สองธาตุ นับเป็นอัจฉริยะที่หายากอย่างไม่ต้องสงสัย
“น้องสาว เจ้าอย่าประมาทล่ะ ครั้งนี้ตระกูลหลู่ก็มีหลู่เส่าโหย่วกับหลู่เส่าหู่สองพี่น้องโผล่ขึ้นมา ตระกูลฉินก็มีฉินเทียนห่าว ทั้งหมดนี้ไม่มีใครที่รับมือได้ง่ายเลย” หยางม่านกล่าว
“ท่านพี่ ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะระมัดระวังมากขึ้น” หยางเมี่ยวหัวเราะเบาๆ
ที่เมืองชิงอวิ๋น ณ คฤหาสน์หลังใหญ่แห่งหนึ่ง ภายในห้องที่สว่างไสวนั้นได้มีร่างหลายร่างอยู่ภายใน หวังเหลียงก็รวมอยู่ภายในนั้น
“กวางเอ๋อร์ พรุ่งนี้เจ้าต้องระมัดระวังให้ดี ในครั้งนี้ คาดไม่ถึงว่าตระกูลอื่นจะมีอัจฉริยะปรากฏตัวขึ้นมา เจ้าเก็บซ่อนมานานขนาดนี้แล้ว พรุ่งนี้เจ้าต้องบดขยี้พวกมันให้หมด” ชายที่สวมใส่ชุดสีเหลืองกล่าวอย่างแผ่วเบา
“ท่านพ่อ พรุ่งนี้ข้าจะใช้พละกำลังทั้งหมดที่มี ข้าจะไม่ให้ตระกูลหวังต้องอับอาย” รุ่นเยาว์ที่มีรูปลักษณ์คล้ายหวังเหลียงสามส่วนได้กล่าวออกมา คาดว่าน่าจะมีอายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปดปี แววตาที่เลือนรางได้ปรากฏความมั่นใจวาบผ่าน
“เหอะ ตระกูลหลู่กับตระกูลฉินกำลังได้ใจ พรุ่งนี้เมื่อน้องสองลงมือ ข้าเดาว่าพวกมันต้องตกตะลึงอย่างแน่นอน” หวังเหลียงพูดพร้อมกับหัวเราะเบาๆ
ในคืนนี้ สำหรับผู้คนในเมืองชิงอวิ๋นแล้ว มันเป็นค่ำคืนที่ให้ความรู้สึกตึงเครียด ทันทีที่ดวงอาทิตย์ขึ้น ผู้คนในเมืองชิงอวิ๋นก็ได้ไปรวมตัวกันที่จัตุรัสของเมืองทีละคน การประลองวันนี้จะถูกจัดขึ้นที่จัตุรัสกลางเมือง หากไปช้า เมื่อถึงตอนนั้นก็จะไม่มีที่ให้ชมแล้ว
ท้องฟ้าพึ่งสว่างขึ้นมาเล็กน้อย บนจัตุรัสก็มีผู้คนมากมายแล้ว เพียงมองแวบแรก ก็คาดเดาได้ว่ามีผู้คนจำนวนหลายหมื่นคน มีทั้งผู้ชาย ผู้หญิง คนแก่ และเด็ก และยังมีผู้คนจำนวนอีกไม่น้อยที่กำลังรีบมาอย่างต่อเนื่อง
“ฮู่ว”
หลู่เส่าโหย่วได้ปล่อยลมหายใจที่ขุ่นมัวออกมาจากร่างกาย เขาเก็บท่าประทับลงไปแล้วลืมตาขึ้นมา แสงสว่างในดวงตาของเขาสั่นไหวไม่หยุด
“สามารถเข้านิกายอวิ๋นหยางได้หรือไม่ ก็ต้องดูที่วันนี้แล้ว” เมื่อสัมผัสถึงพลังลมปราณที่อัดแน่นอยู่ในร่างกาย หลู่เส่าโหย่วก็ได้กล่าวออกมาเบาๆ
เวลาได้ผ่านไปอย่างช้าๆ บนท้องฟ้าก็ได้มีพระอาทิตย์ส่องแสงลงมา ท้องฟ้าสีฟ้าครามวันนี้ไม่มีเมฆ แสงแดดที่ส่องลงมานั้นอบอุ่นแต่ไม่ร้อนเกินไป บางครั้งก็จะมีลมพัดมาเบาๆ นำพากลิ่นหอมของฤดูใบไม้ผลิที่พึ่งผ่านฤดูหนาวอันหนาวเหน็บมา ทุกอย่างบนพื้นดินได้กลับมางอกเงยอีกครั้ง และกลิ่นอายของฤดูใบไม้ผลิก็ปกคลุมไปทั่วทุกพื้นที่
มีผู้คนจำนวนมากที่รายล้อมอยู่รอบจัตุรัส แต่กลับไม่มีใครส่งเสียงดัง เมื่อเวลาได้ผ่านไป ทุกคนต่างก็ตั้งตารอคอยผู้เข้าร่วมการประลองมาปรากฏตัว ณ ที่แห่งนี้ โดยเฉพาะผู้ที่ลงเดิมพันแบบสิ้นเนื้อประดาตัว ทั้งหมดต่างก็ตั้งตารอผลการแข่งขันอย่างใจจดใจจ่อ
และในกลุ่มผู้ชมเหล่านี้ หากสังเกตดีๆ จะสามารถพบผู้ฝึกยุทธ์และผู้ฝึกวิญญาณบางส่วนที่ปะปนอยู่ในกลุ่มคนได้อย่างง่ายดาย