จิตวิญญาณเทพยุทธ์สยบเทวะ - ตอนที่ 56 วิชาลึกลับ
“ครั้งนี้ข้าก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ว่ากันว่าตระกูลอื่นก็มีอัจฉริยะปรากฏตัวขึ้นมาไม่น้อย เจ้าเป็นผู้ฝึกยุทธ์สามธาตุ เส่าหู่เป็นผู้ฝึกยุทธ์สองธาตุ ในตระกูลหยางก็ปรากฏผู้ฝึกยุทธ์สองธาตุขึ้นเช่นกัน และที่น่าประหลาดใจมากกว่านั้นคือ ตระกูลฉินได้เปิดเผยว่ามีผู้ฝึกวิญญาณปรากฏตัวขึ้นมา” หลู่หวู๋ซวงกล่าว
“มีผู้ฝึกวิญญาณปรากฏตัวขึ้นอย่างนั้นหรือ” หลู่เส่าโหย่วรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย ดูเหมือนว่าตระกูลฉินจะเก็บซ่อนเรื่องนี้มาโดยตลอด เมื่อถึงเวลานี้ถึงได้ประกาศออกมา
“ในครั้งนี้เมืองชิงอวิ๋นคงจะครึกครื้นอย่างมากเมื่อมีพวกเจ้าอยู่ ว่ากันว่า ครั้งนี้จะมีผู้อาวุโสจากนิกายอวิ๋นหยางมาคัดเลือกศิษย์ด้วยตัวเอง ในอดีตนั้นมาเพียงแค่ผู้ดูแลคนเดียวเท่านั้น”
“ดูเหมือนว่าคราวนี้จะมีการแข่งขันที่ดุเดือด” ตัวเขาต้องรีบฝึกหมัดเพลิงคลั่งให้เร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นการจะเข้าสู่ห้าอันดับแรกคงเป็นเรื่องที่ยากไม่น้อย
หลังกลับมาถึงห้อง หลู่เส่าโหย่วก็ได้พูดคุยกับท่านแม่และบอกกับเสี่ยวไป๋ว่าไม่อนุญาตให้ใครเข้ามารบกวนเขาที่ห้อง และเขายังให้โอสถเสริมพลังกับเสี่ยวไป๋ไปสองเม็ดเพื่อให้เสี่ยวไป๋ตั้งใจบ่มเพาะพลัง
หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว หลู่เส่าโหย่วก็นั่งขัดสมาธิแล้วนำแผ่นหยกของวิชาหมัดเพลิงคลั่งออกมา แล้วเขาก็ค่อยๆ หลับตาลง จากนั้นก็ได้ฉีดพลังจิตวิญญาณที่รู้สึกไม่ค่อยคุ้นเคยเข้าไปในแผ่นหยก
การควบคุมพลังลมปราณและพลังวิญญาณนั้น หลู่เส่าโหย่วได้มาถึงระดับชำนาญแล้ว แต่กับพลังจิตวิญญาณที่เกิดจากพลังลมปราณและพลังวิญญาณนั้น หลู่เส่าโหย่วกลับแทบไม่ได้สัมผัสหรือคุ้นเคยกับมันเลย ทว่าลุงหนานเคยกล่าวกับเขาเป็นพันเป็นหมื่นครั้งว่าพลังจิตวิญญาณนี้สำคัญเป็นอย่างมาก
หลังจากหลู่เส่าโหย่วหายใจได้อย่างมั่นคง ทุกอย่างภายในห้องก็สงบลง ขณะเดียวกันก็มีลำแสงบนแผ่นหยกของวิชาหมัดเพลิงคลั่งพุ่งเข้าสู่หว่างคิ้วของหลู่เส่าโหย่ว
ข้อมูลเกี่ยวกับหมัดเพลิงคลั่งปรากฏขึ้นในจิตใจของเขา จากนั้นหลู่เส่าโหย่วก็จดจำมันอย่างรวดเร็ว
ช่วงเวลาแห่งความเงียบงันดำเนินไปอย่างเนิ่นนาน จากนั้นหลู่เส่าโหย่วที่นั่งขัดสมาธิอยู่ก็ได้ลืมตาขึ้นมา เขาใช้ท่าประทับและกำหมัดด้วยมือข้างขวา จากนั้นพลังลมปราณในร่างที่แผ่ออกมาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงอ่อน ทันใดนั้น อุณหภูมิภายในห้องก็เพิ่มสูงขึ้นทันที
“ซือซือ”
พลังลมปราณที่ล้อมรอบอยู่ที่กำปั้นของหลู่เส่าโหย่วเกิดเปลวเพลิงลุกโหมขึ้นมา เปลวเพลิงที่รวมตัวกันนั้นไม่ใช่เปลวเพลิงที่เกิดจากพลังวิญญาณ แต่มันคือเปลวเพลิงที่เกิดจากการใช้พลังลมปราณรวบรวมผ่านธาตุไฟ
ทว่าเปลวเพลิงได้ปรากฏขึ้นมาเพียงครู่เดียวเท่านั้น และจากนั้นมันก็พลันหายไปจากกำปั้นของหลู่เส่าโหย่ว
“ต่อไป” หลู่เส่าโหย่วเปลี่ยนท่าประทับอีกครั้ง เขาเริ่มฝึกฝนหมัดเพลิงคลั่งอย่างจริงจัง การต้องเผชิญกับความล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่านั้นถือเป็นเรื่องปกติ วิชายุทธ์นั้นไม่ใช่สิ่งที่ฝึกซ้อมเพียงเวลาไม่นานแล้วจะสามารถใช้งานได้เลย
กาลเวลาได้ผ่านไปอย่างช้าๆ หลังจากนั้นสามวัน หลู่เส่าโหย่วที่นั่งสมาธิอยู่ที่ห้องก็ได้เปลี่ยนท่าประทับในมือและโคจรพลังลมปราณ ร่างของเขาถูกบดบังด้วยแสงสีแดงอ่อนๆ
หลู่เส่าโหย่วควบคุมพลังลมปราณให้เคลื่อนผ่านเส้นชีพจรอย่างรวดเร็ว และท้ายที่สุดก็มารวมตัวกันที่กำปั้นข้างขวาของเขา จากนั้นก็มีเปลวเพลิงปะทุขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“ปัง”
หลู่เส่าโหย่วเหวี่ยงหมัดตรงไปข้างหน้า และกำปั้นที่มีเปลวเพลิงห่อหุ้มอยู่ของเขาก็ได้นำพาพละกำลังที่รุนแรงกระแทกเข้ากับผนังในทันที
ทันใดนั้นก็เกิดเสียงดังขึ้น ที่กำแพงหนาๆ ได้ปรากฏหลุมเล็กๆ อยู่บนนั้น เกิดรอยแตกร้าวมากมายบนผนังจากจุดของหลุมเล็กๆ นั่นเหมือนกับใยแมงมุม
“คุณชาย เกิดอะไรขึ้น?” ไม่นาน หลู่เสี่ยวไป๋ก็มาตะโกนถามอยู่ที่หน้าห้องอย่างเป็นกังวล เพราะเสียงที่ดังกึกก้องราวกับรื้อบ้าน จึงทำให้ทุกคนในเรือนได้ยินในทันที
“ไม่มีอะไร ข้ากำลังฝึกวิชาอยู่” หลู่เส่าโหย่วได้สูดอากาศเย็นๆ เข้าไป ยังดีที่เขายังฝึกหมัดเพลิงคลั่งได้ไม่สมบูรณ์ ไม่เช่นนั้นแล้ว เรือนหลังนี้คงได้ถล่มลงมาจนเขาต้องถูกฝังทั้งเป็นแน่
“มันเสียงดังขนาดนั้นเลยหรือ” หลู่เสี่ยวไป๋พึมพำและเดินจากไป จากนั้นเสียงพูดคุยของคนรับใช้ก็ดังขึ้นมา “ไม่เป็นไร พวกเจ้าถอยไปเถอะ เป็นนายน้อยที่กำลังฝึกวิชาอยู่”
“ไปหาที่ปลอดภัยเพื่อฝึกฝนจะดีกว่า ที่แห่งนี้ไม่ค่อยสะดวกที่จะฝึกเท่าไร” หลู่เส่าโหย่วพึมพำออกมา ที่ห้องแห่งนี้ไม่แข็งแรงเท่าห้องลับที่ลุงหนานสร้างขึ้น
“พักก่อนดีกว่า ในที่สุดก็ฝึกหมัดเพลิงคลั่งได้สำเร็จเล็กน้อย” หลู่เส่าโหย่วกล่าวเบาๆ การฝึกฝนในสามวันที่ผ่านมานี้ หมัดเพลิงคลั่งของเขาก็ถือว่าสำเร็จเล็กน้อยแล้ว ดังนั้นพักผ่อนก่อนแล้วค่อยฝึกฝนต่อคงดีกว่า
“ฟ่อ”
มีการเคลื่อนไหวหนึ่งเกิดขึ้นที่แขนของเขา จากนั้นเสี่ยวหลงก็ค่อยๆ เลื้อยออกมาจากแขนเสื้อแล้วไปอยู่บนมือของหลู่เส่าโหย่ว
“ข้าทำให้เจ้าตื่นอย่างนั้นหรือ” เมื่อหลู่เส่าโหย่วหยิบเสี่ยวหลงขึ้นมา เขาก็มีท่าทีประหลาดใจ ในตอนนี้ บนร่างของเสี่ยวหลงได้มีชั้นเกล็ดบางๆ และผิวสีเหลืองอ่อนของมันก็ดูสว่างขึ้นเล็กน้อย
เดิมทีเสี่ยวหลงมีความยาวประมาณสิบสองเซนติเมตร แต่ตอนนี้เสี่ยวหลงกลับมีความยาวถึงสิบห้าเซนติเมตร ดวงตาเล็กๆ นั่นก็ดูดำลงมากกว่าเดิม ในตอนนี้ดวงตาคู่นั้นของเสี่ยวหลงก็กำลังมองไปที่หลู่เส่าโหย่วอย่างสนิทสนม
“เจ้าหิวอีกแล้วหรือ?” ราวกับสามารถรู้สึกถึงความคิดของเจ้างูน้อย หลู่เส่าโหย่วเข้าใจเสี่ยวหลงในทันที ดูเหมือนเสี่ยวหลงจะอยากกินโอสถเสริมพลังที่เคยกินไปในครั้งที่แล้ว
“เอาล่ะ ข้าจะให้เจ้าอีกหนึ่งเม็ด แต่ต่อจากนี้จะไม่มีอีกแล้ว” หลู่เส่าโหย่วคิดขึ้นมาได้ว่าตัวเขานั้นไม่ได้เตรียมอาหารเอาไว้ให้เสี่ยวหลงเลย และดูเหมือนเสี่ยวหลงจะกินโอสถเสริมพลังลงไปแล้วได้ประโยชน์เช่นกัน เขาจึงนำโอสถเสริมพลังออกมาจากแหวนมิติหนึ่งเม็ด
“ฟ่อ!” เมื่อเห็นโอสถเสริมพลังและได้กลิ่นที่ยั่วยวนของมัน เสี่ยวหลงก็อ้าปากแล้วกินโอสถเสริมพลังเข้าไปอย่างรวดเร็ว เจ้างูน้อยแลบลิ้นออกมาอย่างพึงพอใจ
เมื่อพอใจแล้ว เสี่ยวหลงก็เลื้อยกลับเข้าไปในแขนเสื้อและพันตัวรอบแขนของหลู่เส่าโหย่วดังเดิม
“ทำไมถึงได้ลอกคราบกัน หรือว่าเสี่ยวหลงจะทะลวงระดับ” เกล็ดบางๆ ที่เสี่ยวหลงได้ลอกออกมายังคงอยู่บนมือของหลู่เส่าโหย่ว ดูเหมือนเจ้างูน้อยจะพึ่งลอกคราบเมื่อครู่ เพราะยังคงมีคราบเลือดจางๆ ติดอยู่บนมือของเขา
หลู่เส่าโหย่วหยิบผิวหนังที่มีเกล็ดขึ้นมา และเขาก็ได้พบว่าผิวหนังที่มีเกล็ดบางๆ นี่กลับแข็งแรงอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่ว่าเขาจะออกแรงฉีกเท่าไรก็ฉีกไม่ขาด หลู่เส่าโหย่วจึงเก็บมันเข้าไปในแหวนมิติ สิ่งที่อยู่บนร่างของเสี่ยวหลงนั้นสมควรเป็นสิ่งที่ไม่ธรรมดา
หลังจากเก็บผิวหนังที่มีเกล็ดกลับไปในแหวนมิติ หลู่เส่าโหย่วก็ได้บังเอิญรู้สึกถึงวิชาลึกลับที่ลุงหนานได้มอบให้เขาในตอนนั้น ซึ่งวิชานี้หลู่เส่าโหย่วเคยหาวิธีเปิดมันมาหลายวิธีแล้ว แต่ก็ไม่สามารถเปิดได้
หลู่เส่าโหย่วนำแผ่นหยกออกมาไว้บนมืออีกครั้ง เขาพิจารณามันอย่างละเอียด บนแผ่นหยกนั้นมีสีเขียวที่ดูโบราณและเก่าแก่อย่างมาก รอบๆ ของแผ่นหยกยังมีคราบดินอยู่ไม่น้อย เขาไม่รู้ว่าลุงหนานไปขุดแผ่นหยกนี่มาจากไหน
หากไม่ใช่เพราะเชื่อในตัวของลุงหนาน เขาก็คงสงสัยว่าลุงหนานไปขโมยแผ่นหยกนี้มาจากหลุมศพแล้ว
หลู่เส่าโหย่วลองใช้พลังจิตวิญญาณเปิดมันอีกครั้งแม้ว่าเขาจะเคยลองมาก่อนแล้วก็ตาม หลังจากปล่อยพลังจิตวิญญาณเข้าไป หลู่เส่าโหย่วก็พบว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาไม่สามารถเปิดแผ่นหยกแผ่นนี้ได้จริงๆ อีกทั้งลุงหนานก็เคยบอกเอาไว้ว่ามันเป็นวิชาที่ลึกลับ แม้แต่ลุงหนานก็เปิดไม่ออก หลู่เส่าโหย่วก็ได้แต่ไร้หนทาง
เขาถือแผ่นหยกเล่นสักพักหนึ่ง ทว่าหลู่เส่าโหย่วไม่รู้ตัวเลยว่ารอยเลือดจากคราบของเสี่ยวหลงที่เลอะมือของเขานั้นได้ไปสัมผัสกับแผ่นหยกโดยบังเอิญ
และเมื่อคราบเลือดเปื้อนบนแผ่นหยก ทันใดนั้นแผ่นหยกก็ได้ส่องแสงอ่อนๆ ออกมาในทันที
“นี่มันอะไรกัน” เมื่อหลู่เส่าโหย่วเห็นการเปลี่ยนแปลงของแผ่นหยก เขาก็รู้สึกสงสัยขึ้นมา จากนั้นก็ปล่อยพลังจิตวิญญาณเข้าไปในแผ่นหยกอีกครั้ง
ทันใดนั้น บนแผ่นหยกสีเขียวที่ดูโบราณก็มีแสงสว่างเจิดจ้าพุ่งเข้าใส่หว่างคิ้วของหลู่เส่าโหย่วในพริบตา จากนั้นมันก็แปรเปลี่ยนเป็นข้อมูลและเข้าไปภายในจิตใจของหลู่เส่าโหย่ว