จิตวิญญาณเทพยุทธ์สยบเทวะ - ตอนที่ 55 หมัดเพลิงคลั่ง
“เส่าโหย่ว เมื่อครู่เจ้าเห็นอะไรหรือไม่?” หลังจากนั้นครู่หนึ่ง หลู่หวู๋ซวงก็ได้ปรากฏตัวที่ด้านหน้าหลู่เส่าโหย่วอีกครั้ง นางเปลี่ยนไปใส่ชุดคลุมยาวและเช็ดผมให้แห้งมากกว่าเดิม ร่างของนางส่งกลิ่นหอมที่ไม่เหมือนใคร และถามหลู่เส่าโหย่วด้วยความเขินอาย
“เห็นอะไรอย่างนั้นหรือ ข้าไม่เห็นอะไรเลย” หลู่เส่าโหย่วกล่าวเบาๆ
“ใช่สิ แล้วเจ้ามาหาข้ามีเรื่องอะไร?” หลู่หวู๋ซวงมองหลู่เส่าโหย่วอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“พี่หวู๋ซวง ข้าคิดจะไปหอเก็บวิชายุทธ์ แต่ข้าไม่เคยไปมาก่อน” หลู่เส่าโหย่วกล่าว
“เช่นนั้นข้าจะพาเจ้าไป เหลืออีกสิบกว่าวันก็จะถึงวันประลองแย่งชิงรายชื่อ ถึงเวลาที่เจ้าควรเตรียมตัวแล้ว” หลู่หวู๋ซวงกล่าว
หลังจากเดินตามหลู่หวู๋ซวงไป หลู่เส่าโหย่วก็ได้มาถึงลานที่ดูค่อนข้างมีอายุ ด้านหน้าลานมีชายวัยกลางคนสองคนกำลังเฝ้าอยู่ หลู่เส่าโหย่วสังเกตออร่ารอบตัวของทั้งสอง ดูเหมือนทั้งสองจะมีพลังบ่มเพาะระดับนักรบ
ด้านบนลานมีอักษรขนาดใหญ่ไม่กี่ตัว พวกมันเขียนเอาไว้ว่าหอเก็บวิชายุทธ์ ดูค่อนข้างเก่าแก่ หอเก็บวิชายุทธ์นี่คงจะมีมานานหลายปีแล้ว
“คุณหนูหวู๋ซวง ท่านมาทำไมหรือ?” เมื่อเห็นหลู่หวู๋ซวง ชายวัยกลางคนก็ได้ถามออกมาทันที
“ข้าพาเส่าโหย่วมาหอเก็บวิชายุทธ์ พวกเจ้าเปิดประตูเถอะ” หลู่หวู๋ซวงกล่าว
ชายวัยกลางคนอีกคนได้กล่าวออกมา “คุณหนูหวู๋ซวง หากจะเข้าหอเก็บวิชายุทธ์ ต้องได้รับอนุญาตจากนายใหญ่และตระกูลถึงจะสามารถเข้าได้”
“เปิดประตูเถอะ ท่านพ่อบอกมาแล้ว หลังจากนี้หลู่เส่าโหย่วสามารถเข้าออกหอเก็บวิชายุทธ์ได้ตลอด” หลู่หวู๋ซวงหยิบแผ่นหยกสีเขียวออกมา ดูเหมือนมันจะเป็นตราสัญลักษณ์ที่ใช้รับรองของตระกูลหลู่
“ขอรับ คุณหนูหวู๋ซวง นายน้อยเส่าโหย่ว เชิญท่านทั้งสอง” ชายวัยกลางคนที่พูดขึ้นมาคนแรกได้เปิดประตูให้ทั้งสองทันที
หลู่เส่าโหย่วเดินตามหลู่หวู๋ซวงเข้าไปในหอเก็บวิชายุทธ์ และมาถึงห้องที่กว้างขวางห้องหนึ่ง
“เส่าโหย่ว ที่นี่คือหอเก็บวิชายุทธ์ของตระกูล แต่มันมีเพียงวิชาระดับแดงกับระดับขาว สำหรับวิชาระดับเหลืองนั้นจะอยู่ในมือของผู้อาวุโส นอกจากนี้ที่นี่ยังมีประสบการณ์การฝึกวิชาที่เหล่าผู้อาวุโสทิ้งเอาไว้ หากตั้งใจศึกษามัน ย่อมได้รับประโยชน์มากมาย”
“มีแค่วิชาระดับแดงกับขาวหรือ” หลู่เส่าโหย่วตกตะลึงไปครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่ได้แปลกใจอะไร วิชายุทธ์นั้นเป็นสิ่งที่ล้ำค่ามาก โดยเฉพาะวิชาระดับเหลือง ตระกูลหลู่ย่อมไม่นำมาวางไว้ที่หอเก็บวิชายุทธ์ เพราะหากถูกขโมยขึ้นมา นั่นก็จะเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่
“เส่าโหย่ว วิชายุทธ์ในที่แห่งนี้เจ้าสามารถเลือกได้ตามสบาย แต่เจ้าสามารถเลือกได้แค่ครั้งละวิชาเท่านั้น มันเป็นกฎของตระกูล หนึ่งปีสามารถเลือกได้หนึ่งครั้ง แต่ประสบการณ์ของเหล่าอาวุโสเจ้าสามารถเข้ามาดูได้ตลอด มีวิชามากมายแต่เบ็ดเตล็ดไม่ประณีตก็ไม่ใช่เรื่องดี” หลู่หวู๋ซวงกล่าว
“พี่หวู๋ซวง ที่แห่งนี้มีบันทึกของผู้ฝึกวิญญาณหรือไม่?”
“ตอนนี้ตระกูลหลู่มีผู้ฝึกวิญญาณเพียงสองคน ตระกูลอื่นมีเพียงคนเดียว แต่ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ร้านค้าในเมืองอื่น บันทึกเกี่ยวกับผู้ฝึกวิญญาณนั้นจึงไม่มีจริงๆ เดิมทีผู้ฝึกวิญญาณก็หายากอยู่แล้ว พวกเขาทั้งหมดต้องพึ่งพาความเข้าใจของตัวเอง แต่ว่าที่นิกายอวิ๋นหยางเหมือนจะมีบันทึกของผู้ฝึกวิญญาณอยู่บ้าง” หลู่หวู๋ซวงกล่าว
“โอ้” หลู่เส่าโหย่วตอบเบาๆ แล้วจากนั้นก็มองไปรอบๆ บริเวณโดยรอบนั้นมีทั้งแผ่นหยกและบันทึกที่ถูกคัดด้วยลายมือ
นอกจากนี้ ยังมีการแนะนำสายธาตุต่างๆ ของผู้ฝึกยุทธ์อีกด้วย เรื่องพวกนี้ลุงหนานไม่ได้อธิบายกับเขามากนัก อย่างเรื่องที่เกี่ยวกับข้อดีและข้อเสียของธาตุต่างๆ ในบันทึกเหล่านี้ก็มีการเขียนอธิบายไว้อย่างละเอียด
ยังมีบันทึกบางส่วนที่แนะนำเกี่ยวกับวิชายุทธ์แต่ละระดับอย่างละเอียดด้วย วิชายุทธ์แบ่งออกเป็นหกระดับได้แก่ นภา ปฐพี ดำ เหลือง ขาว แดง ในทวีปหลิงหวู่ วิชายุทธ์ที่มีระดับดำนั้นมีค่าเท่ากับเมืองทั้งเมืองแล้ว เมื่อใช้วิชาระดับดำ ก็นับว่ามีพลังอำนาจที่สามารถเคลื่อนภูเขาและพลิกทะเลได้แล้ว
สำหรับวิชาระดับปฐพี จากบันทึกข้างต้นได้บอกเอาไว้ว่าวิชาระดับปฐพีนั้นหายากเหมือนกับขนฟินิกซ์เขากิเลน และไม่ได้มีคำแนะนำที่สมบูรณ์ ส่วนวิชาระดับนภานั้นก็เป็นเพียงสิ่งที่มีอยู่ในตำนานเท่านั้น ทำให้ไม่สามารถบันทึกได้
ภายในธาตุทั้งห้า ผู้ฝึกยุทธ์ธาตุลมนั้นหายากที่สุด รองลงมาคือ ธาตุไม้, ไฟ, ดิน และน้ำตามลำดับ ในบรรดาธาตุทั้งห้า ผู้ฝึกยุทธ์ธาตุลมจะมีข้อได้เปรียบทางด้านความเร็วอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ยากที่จะรับมือที่สุด
และในบันทึกเหล่านี้ หลู่เส่าโหย่วยังเห็นการแนะนำเกี่ยวกับสัตว์อสูรและสัตว์วิญญาณอีกด้วย ในนั้นมีกระทั่งผู้ฝึกยุทธ์บางส่วนที่ปราบสัตว์อสูรมาเป็นสัตว์ขี่ภายใต้การช่วยเหลือของผู้ฝึกวิญญาณ และโดยทั่วไปแล้ว ผู้ฝึกวิญญาณจะสามารถปราบสัตว์วิญญาณไว้ขี่เองได้
เพียงแต่การปราบสัตว์อสูรกับสัตว์วิญญาณนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ระดับความยุ่งยากของมันอยู่เหนือจินตนาการของหลู่เส่าโหย่ว แต่ทั้งหมดนี้ หลู่เส่าโหย่วก็ได้จดจำมันอย่างตั้งใจ
“เส่าโหย่ว ยังมีเวลาอีกสิบกว่าวันก่อนถึงการประลองของนิกายอวิ๋นหยาง เจ้ารีบเลือกวิชายุทธ์เถอะ ว่ากันว่าในคราวนี้ ในบรรดาตระกูลอื่นๆ ก็มีรุ่นเยาว์ที่มีพรสวรรค์ไม่เลวอยู่ด้วย เจ้าต้องระวังให้มาก” หลู่หวู๋ซวงกล่าว
“เลือกวิชาอะไรดี?” หลู่เส่าโหย่วลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาไม่รู้ว่าจะต้องเลือกวิชาอะไรดี
“พี่หวู๋ซวง มีวิชาธาตุลมหรือไม่” หลู่เส่าโหย่วถาม เขาเห็นว่าในการแนะนำสายธาตุนั้น วิชาธาตุลมได้เปรียบในแง่ของความเร็วไม่น้อย
“ไม่มี” หลู่หวู๋ซวงส่ายหน้า “ผู้ฝึกยุทธ์ธาตุลมนั้นมีน้อย และวิชาธาตุลมก็มีน้อยเช่นกัน ในตระกูลหลู่จึงไม่มีวิชาธาตุลม”
“ไม่มีวิชาธาตุลมหรือ” หลู่เส่าโหย่วอดไม่ได้ที่จะผิดหวัง หากตัวเขาได้รับวิชาธาตุลม ในระหว่างการต่อสู้เขาก็คงจะได้เปรียบไม่น้อย
“หมัดเพลิงคลั่ง” หลู่เส่าโหย่วหยิบแผ่นหยกที่อยู่ข้างๆ ขึ้นมา บนแผ่นหยกมีการแนะนำว่ามันคือวิชาหมัดเพลิงคลั่งระดับขาว เป็นวิชาระดับเดียวกับวิชาฝ่ามือแยกภูผาของเขา และเป็นวิชาที่เหมาะสมสำหรับเขาในตอนนี้
จากนั้น หลู่เส่าโหย่วก็ได้ดูวิชาธาตุน้ำและไม้เพิ่มอีกไม่น้อย แต่ตัวเขาได้เปิดเผยธาตุแค่ธาตุไฟ ธาตุลม และธาตุดินเพียงสามธาตุเท่านั้น หากเขาจะฝึกฝนวิชาธาตุไม้และธาตุน้ำ มันคงดูไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด
หลังจากลังเลครู่หนึ่ง หลู่เส่าโหย่วก็เลือกวิชาหมัดเพลิงคลั่ง เพราะในตอนนี้ การฝึกวิชาหมัดเพลิงคลั่งก็ไม่ได้มีผลเสียกับเขา สำหรับวิชายุทธ์ที่ดีกว่านี้ ในอนาคตเขาค่อยหาทางเอามาจากลุงหนานอีกที ในตัวของลุงหนานต้องมีอีกแน่นอน
“พี่หวู๋ซวง พวกเราไปกันเถอะ” หลู่เส่าโหย่วหยิบวิชาหมัดเพลิงคลั่งขึ้นมาและกล่าวกับหลู่หวู๋ซวง พวกประสบการณ์ของผู้อาวุโสในหอเก็บวิชายุทธ์นั้น หลู่เส่าโหย่วไม่ค่อยสนใจมากนัก เพราะในด้านนี้ ลุงหนานนั้นแข็งแกร่งกว่าพวกเขาอยู่เล็กน้อย ตัวเขาเพียงได้รับการชี้แนะจากลุงหนานก็เพียงพอแล้ว การเห็นอะไรสักอย่างมากเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องดี เบ็ดเตล็ดแต่ไม่ประณีต
“ไปเถอะ ในอนาคตเจ้าสามารถเข้ามาที่หอเก็บวิชายุทธ์ได้ตลอด แต่หากเจ้าสามารถเข้านิกายอวิ๋นหยางได้ ที่เก็บวิชายุทธ์ของนิกายอวิ๋นหยางนั้นใหญ่กว่าของตระกูลหลู่มาก” หลู่หวู๋ซวงกล่าว
หลู่เส่าโหย่วเลือกวิชาหมัดเพลิงคลั่ง จากนั้นทั้งสองก็ได้กลับไปที่เรือนของตัวเอง ยังเหลือเวลาอีกสิบกว่าวันก่อนถึงวันประลองในเมืองชิงอวิ๋น ลุงหนานให้เขาไปที่นิกายอวิ๋นหยาง หลู่เส่าโหย่วจึงไม่กล้าประมาท ตัวเขาต้องไปยังนิกายอวิ๋นหยางให้ได้
“พี่หวู๋ซวง การประลองเพื่อแย่งชิงรายชื่อของนิกายอวิ๋นหยางในครั้งนี้ ความแข็งแกร่งของตระกูลอื่นๆ เป็นอย่างไรบ้าง?” ระหว่างทาง หลู่เส่าโหย่วได้กล่าวถามหลู่หวู๋ซวงขึ้นมา