จิตวิญญาณเทพยุทธ์สยบเทวะ - ตอนที่ 51 ค่อนข้างน่าอับอาย
“บอกมาเถอะ หากเป็นเรื่องที่ตระกูลหลู่สามารถทำได้ก็คงไม่มีปัญหาแน่นอน” หลู่หวู๋ซวงกล่าว
หลู่เส่าโหย่วจ้องมองไปที่หลู่หวู๋ซวง “ต้องให้สถานะกับแม่ของข้าก่อน และต้องไม่ใช่ฐานะภรรยาน้อย ไม่อย่างนั้นแล้ว ใครจะพูดอย่างไรก็ไร้ประโยชน์”
“นี่…” หลู่หวู๋ซวงลังเลไปชั่วครู่ “เรื่องนี้ข้าต้องพูดคุยกับท่านพ่อก่อน เส่าโหย่ว เจ้าย้ายไปที่ลานด้านหน้าก่อนเถอะ มันปลอดภัยมากกว่า แล้วยังมีอีกเรื่อง ตอนนี้เจ้าสามารถเข้าไปที่หอเก็บวิชายุทธ์ได้แล้ว เหลืออีกหนึ่งเดือนก็จะมีการแข่งขันระหว่างตระกูลอื่นที่เมืองชิงอวิ๋น เจ้าลองเข้าไปดูที่หอเก็บวิชายุทธ์ บางทีมันอาจจะมีบางสิ่งที่ช่วยเหลือเจ้าได้”
หลู่เส่าโหย่วครุ่นคิดในใจ เขาเพิ่งเจอกับการลอบสังหารที่หุบเขาด้านหลังมา หากไม่ใช่เพราะโชคดีเขาคงตายไปแล้ว อยู่ที่ลานด้านหลังก็ไม่ค่อยปลอดภัยจริงๆ หากไปอยู่ลานด้านหน้า เมื่อมีอะไรเกิดขึ้น บุคคลที่แข็งแกร่งภายในตระกูลก็จะรู้ได้ทันที
หลังจากลังเลครั้งแล้วครั้งเล่า หลู่เส่าโหย่วก็พิจารณาได้ว่านอกจากความปลอดภัยของเขาแล้ว ยังต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้เป็นมารดาด้วย ที่ลานด้านหลัง เขาไม่สามารถรับประกันความปลอดภัยของท่านแม่ได้ ตอนนี้จ้าวฮุ่ยนั้นต้องการที่จะกำจัดเขา ไม่แน่ว่าครั้งหน้ามันอาจลงมือกับท่านแม่ก็ได้
ในใจของหลู่เส่าโหย่วเต็มไปด้วยความโกรธต่อจ้าวฮุ่ยผู้นั้น แต่กลับไม่สามารถทำอะไรได้ พลังของนางนั้นแข็งแกร่งเกินไป ในตอนนี้เขายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง ไม่เช่นนั้นแล้ว ตัวเขาก็คงจะสังหารนางเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาในอนาคต
“ตกลง ข้าจะย้ายไปอยู่ที่ลานด้านหน้า แต่เงื่อนไขที่ข้าบอกไปก่อนหน้านั้นก็ห้ามต่อรองเช่นกัน” หลู่เส่าโหย่วกล่าว สถานะของมารดา จะทำเช่นไรตัวเขาก็ต้องเอามันมาให้ได้ มันเป็นสิ่งที่มารดาของเขาสมควรได้รับ
“เข้าใจแล้ว ข้าจะบอกเรื่องนี้กับท่านพ่อแน่นอน” เมื่อเห็นว่าหลู่เส่าโหย่วยอมตกลงไปอยู่ที่ลานด้านหน้า หลู่หวู๋ซวงก็เผยรอยยิ้มออกมา
“เรือนหลังนี้ช่างใหญ่โตและงดงามนัก” ภายในลานขนาดใหญ่ หลู่เสี่ยวไป๋กล่าวออกมาด้วยความตื่นเต้น ที่สวนของบ้านหลังนี้ มีทั้งภูเขาจำลองและบ่อเลี้ยงปลา ในบ่อมีปลาทองหลายตัวกำลังแหวกว่ายอย่างมีความสุข
หลู่เส่าโหย่วมองไปรอบๆ ลานบ้าน เขารู้สึกว่าที่นี่ค่อนข้างเหมือนวิลล่า บริเวณโดยรอบถูกล้อมรอบไปด้วยต้นไม้และมีอากาศที่บริสุทธิ์ เมื่อเทียบกับลานด้านหลังแล้วช่างแตกต่างกันลิบลับ ตระกูลหลู่คงจะเป็นตระกูลที่ร่ำรวยน่าดู
“เส่าโหย่ว ที่แห่งนี้เป็นอย่างไรบ้าง ข้าเป็นคนเลือกเอง และข้าก็อาศัยอยู่เรือนข้างๆ” หลู่หวู๋ซวงกล่าว
“อืม ที่นี่ไม่เลวเลย ขอบคุณพี่หวู๋ซวงมาก”
“เส่าโหย่ว อีกสักครู่ เจ้าค่อยไปเลือกคนรับใช้มาสักสองสามคนนะ เอาไว้ใช้ทำความสะอาดเรือนและดูแลป้าสาม” หลู่หวู๋ซวงกล่าว ตามข้อกำหนดสำหรับนายน้อยของตระกูล พวกเขาสามารถมีผู้ดูแลหนึ่งคนกับคนรับใช้อีกห้าคนได้
“เสี่ยวไป๋ เรื่องนี้ข้าจะให้เจ้าไปจัดการ หลังจากนี้เจ้าก็อยู่ที่นี่เถอะ” หลู่เส่าโหย่วกล่าว
“ขอรับ คุณชาย” หลู่เสี่ยวไป๋ตอบ การที่เขาได้อยู่เคียงข้างกายคุณชายนั้น แน่นอนว่าย่อมดีกว่าอยู่แล้ว
“ท่านแม่ ข้าจะปิดด่านฝึกตนสักสิบวัน จึงขอออกไปข้างนอกสักหน่อย ท่านก็พักอยู่ที่นี่เถอะ” หลู่เส่าโหย่วกล่าว เมื่อเขาจัดการเรื่องของท่านแม่เสร็จ มีหลู่เสี่ยวไป๋คอยอยู่ดูแล อีกทั้งยังได้อยู่ที่ลานด้านหน้า หลู่เส่าโหย่วก็ไม่รู้สึกกังวลแล้ว
“จะปิดด่านหรือ เช่นนั้นเจ้าก็ระวังตัวด้วย” ลั่วหลานซือไม่ได้ห้าม ลูกชายของนางได้กลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์แล้ว การจะปิดด่านบ่มเพาะนั้นก็เป็นเรื่องปกติ ในตอนนี้ก็ใกล้จะถึงวันเข้าร่วมการประลองที่เมืองชิงอวิ๋นแล้ว แน่นอนว่าลูกชายของนางจำเป็นต้องเตรียมตัวให้พร้อม
“เส่าโหย่ว เจ้าจะไปปิดด่านที่ไหน ตระกูลหลู่มีพื้นที่สำหรับปิดด่านอยู่” หลู่หวู๋ซวงกล่าว
“พี่หวู๋ซวง ข้ามีสถานที่ปิดด่านของตัวเอง รบกวนท่านดูแลที่แห่งนี้ด้วย” หลู่เส่าโหย่วกล่าว เขาต้องการจะปิดด่านหลอมโอสถ ดังนั้นเลือกไปที่ห้องลับของลุงหนานน่าจะดีกว่า
“เข้าใจแล้ว เจ้าระวังตัวด้วย” หลู่หวู๋ซวงไม่ได้พูดอะไรให้มากความ เหลืออีกเพียงเดือนเดียวก็จะมีการประลองที่เมืองชิงอวิ๋นแล้ว ดังนั้นควรเตรียมตัวให้พร้อมถึงจะดี
รอให้ความมืดมิดมาเยือน หลู่เส่าโหย่วถึงจะไปที่ห้องเก็บฟืนที่ลานด้านหลัง ภายในสิบวันนี้ หากตัวเขาทำงานอย่างเอาเป็นเอาตายก็จะสามารถชดใช้หนี้ทั้งหมดได้แล้ว
หลังจากแน่ใจว่าพื้นที่โดยรอบไม่มีใคร หลู่เส่าโหย่วก็แอบเข้าไปในห้องลับ แต่เมื่อเข้าไปเขาก็ต้องตกตะลึง เพราะลุงหนานได้มาปรากฏอยู่ในห้องลับอีกครั้งราวกับรู้ว่าเขาจะมา
“ยังไม่ตายอีกหรือ ถือว่าดวงแข็งนัก” ลุงหนานกล่าวเบาๆ
“ลุงหนาน ท่านอย่ากล่าวเช่นนี้ มันทำให้ข้ากลัว” หลู่เส่าโหย่วกล่าวเบาๆ จากนั้นเขาก็ถามด้วยความสงสัย “ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าถูกลอบโจมตี”
“ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร ในภายภาคหน้าหากออกไปไหนก็ระมัดระวังหน่อย คราวนี้ถือว่าเจ้าโชคดี” ลุงหนานกล่าว
“ลุงหนาน ท่านเห็นข้าตกอยู่ในอันตรายแต่ก็ยังไม่เข้ามาช่วยเหลือ ช่างไร้น้ำใจยิ่งนัก”
“พ่อของเจ้าลงมือแล้วไม่ใช่หรือ จะให้ข้าลงมืออีกเพื่ออะไร นอกจากนี้ เจ้าและข้าก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกันด้วย แล้ววันนี้เจ้ายังจะมาที่นี่อีกทำไม” ลุงหนานถลึงตาใส่หลู่เส่าโหย่ว
“ข้ามาหาสถานที่หลอมโอสถ แต่ข้ารู้จักเพียงที่แห่งนี้เท่านั้น ท่านอย่าใจแคบไปเลย” หลู่เส่าโหย่วกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ดูชั่วร้าย เพราะเขารู้ว่าลุงหนานคงจะไม่ไล่ตัวเองออกไปจริงๆ
“ครั้งนี้เจ้าได้เปิดเผยสถานะผู้ฝึกยุทธ์สามธาตุออกไป ข้าเกรงว่ามันจะมีทั้งผลดีและผลเสีย เจ้าต้องระวังตัวให้ดี ต่อจากนี้ออกไปไหนก็ระมัดระวังไว้ด้วย” เมื่อกล่าวจบ ลุงหนานก็เดินออกไปจากห้องลับ ก่อนที่ชายชราจะชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วหันมากล่าวกับหลู่เส่าโหย่วอีกครา “เมื่อถึงเวลาเจ้าจงไปที่หอเก็บวิชายุทธ์เพื่อเลือกวิชามาฝึกฝน เจ้าที่มีเพียงแค่ฝ่ามือแยกภูผามันค่อนข้างน่าอับอายไปสักหน่อย”
“ข้าเข้าใจแล้ว” หลู่เส่าโหย่วตอบเสียงเบาและทำหน้าตาล้อเลียนลุงหนาน แต่เขาก็ไม่กล้าพูดเสียงดัง ตัวเขาเป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์สามธาตุ แต่กลับมีวิชาติดตัวเพียงวิชาเดียวคือฝ่ามือแยกภูผา มันก็ไม่พอจริงๆ นั่นแหละ
เมื่อลุงหนานจากไป ประตูห้องลับก็ได้ปิดตัวลง หลู่เส่าโหย่วนำเตามังกรเพลิงและห่อสมุนไพรห่อใหญ่สองห่อออกมาจากแหวนมิติ เวลาต่อจากนี้ เขาจะหลอมโอสถอย่างบ้าคลั่ง
“หลอมโอสถเสริมพลังก่อนดีกว่า” แม้ว่าราคาของโอสถเสริมพลังจะต่ำกว่า แต่ความเร็วในการหลอมออกมานั้นรวดเร็วมาก และโดยปกติแล้วการหลอมโอสถเสริมพลังก็ไม่เกิดข้อผิดพลาดใดๆ หลู่เส่าโหย่วจึงตัดสินใจหลอมโอสถเสริมพลังเพื่อชำระหนี้ก่อน
เขานั่งขัดสมาธิ ใช้ท่าประทับและปล่อยพลังวิญญาณเข้าไปในเตามังกรเพลิง ทันใดนั้น เปลวเพลิงก็ปรากฏขึ้นในเตามังกรเพลิงทันที จากนั้นหลู่เส่าโหย่วก็ใส่สมุนไพรสำหรับหลอมโอสถเสริมพลังลงไปอย่างคล่องแคล่ว
การหลอมโอสถเสริมพลังสำหรับหลู่เส่าโหย่วถือเป็นเรื่องที่สบายแล้ว แต่ตอนนี้เขาต้องหลอมโอสถเสริมพลังออกมาถึงหนึ่งร้อยเม็ด ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่สบายเลยแม้แต่น้อย แต่หากมีโอสถเสริมพลังเป็นร้อยเม็ด หนี้ของเขาก็คงไม่เหลือแน่นอน
ภายในลานแห่งหนึ่ง จ้าวฮุ่ยได้กล่าวด้วยใบหน้าที่เกรี้ยวกราดและสายตาที่ดุร้าย “บัดซบ คิดไม่ถึงว่าทำขนาดนี้แล้วยังฆ่าเจ้าลูกผสมนั่นไม่ตาย ต้องไม่ให้มันได้เข้านิกายอวิ๋นหยาง ไม่เช่นนั้นแล้วคงจัดการกับมันได้ยากกว่าเดิม”
“คุณหนู แต่ตอนนี้พวกเราทำอะไรไม่ได้แล้ว ตระกูลหลู่ตัดสินใจจะให้มันจดจำบรรพบุรุษกลับเข้าตระกูล ดูเหมือนว่าครั้งนี้ ถึงแม้ต้องฉีกหน้าของตระกูลเรา ตระกูลหลู่ก็จะให้เจ้าเด็กนั่นได้จดจำบรรพบุรุษกลับเข้าตระกูลให้ได้” จ้าวเอ้อร์ที่อยู่ข้างกายได้พูดขึ้นมา
“นั่นมันก็แน่นอนอยู่แล้ว เจ้าเด็กนั่นเป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์สามธาตุ ตระกูลหลู่ต้องไม่ยอมปล่อยมือเด็ดขาด ข้าเสียดายที่เสียโอกาสครั้งนี้ไป” จ้าวฮุ่ยกล่าวอย่างเย็นชา
“คุณหนู ตอนนั้นพวกเรามีข้อตกลงกับตระกูลหลู่ เราไม่สามารถปล่อยให้เจ้าเด็กนั่นจดจำบรรพบุรุษกลับเข้าตระกูลได้” จ้าวเอ้อร์กล่าว
“แต่เรื่องที่เราเคยใช้อุบายกับเจ้าเด็กนั่นกลับถูกตาแก่ของตระกูลหลู่รู้เข้า มันใช้เรื่องนี้มาปิดปากข้า ข้าไม่สามารถทำอะไรได้เลย น่าโมโหนัก เจ้าลูกผสมนั่นต้องได้รับโอกาสบางอย่างมาแน่ มันถึงสามารถปลดอุบายที่พวกเราวางไว้ได้ ไม่เช่นนั้นมันจะกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ได้อย่างไร”
“เช่นนั้นตอนนี้พวกเราควรทำอย่างไรดี เจ้าเด็กนั่นได้ย้ายมาอยู่ที่ลานด้านหน้า ตอนนี้พวกเราจัดการกับมันได้ยากขึ้นกว่าเดิมแล้ว”
“รอโอกาส พวกเราต้องไม่ปล่อยให้มันมีชีวิตอยู่ต่อไป ไม่เช่นนั้นแล้วมันจะส่งผลกระทบต่อแผนการของเราทั้งหมด” จ้าวฮุ่ยกล่าวด้วยท่าทางเย็นชา
“นายหญิง นายใหญ่ได้เชิญท่านไปที่ห้องโถง” สาวใช้ที่หน้าบวมแดงได้เดินเข้ามาช้าๆ นางคือเสี่ยวหลันที่โดนหลู่เส่าโหย่วทุบตี ในเวลานี้รอยฟกช้ำบนหน้าของนางยังไม่หายดี มุมปากของนางยังคงแดงและบวม รอบดวงตาก็เขียวหนึ่งข้างดำหนึ่งข้าง ใบหน้าของนางทำให้จ้าวเอ้อร์เห็นแล้วต้องสะดุ้งด้วยความตกใจ
“เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีเรื่องอะไร?” จ้าวฮุ่ยมีท่าทีสงบลง จากนั้นก็กล่าวถามออกมา
“นายใหญ่เรียกประชุมผู้อาวุโสตอนมืดค่ำเช่นนี้ ดูเหมือนจะมีเรื่องใหญ่” เสี่ยวหลันกล่าวเบาๆ น้ำเสียงของนางเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อเทียบกับอดีต น่าจะเป็นเพราะเส้นเสียงของนางได้รับผลกระทบจากการที่ถูกหลู่เส่าโหย่วทุบตี
“เรื่องใหญ่…” สีหน้าของจ้าวฮุ่ยได้เปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นนางก็เดินออกจากห้องไป
ภายในห้องโถงของตระกูลหลู่นั้นมีคนจำนวนไม่น้อยกำลังนั่งอยู่ คาดว่าน่าจะมีมากกว่ายี่สิบคน นอกจากหลู่ตง หลู่ซี หลู่หนาน และโจวลี่ซิงแล้ว ยังมีคนเฒ่าคนแก่อีกหลายคนที่เคยพบเห็นตอนกราบไหว้บรรพบุรุษ พวกเขาทั้งหมดเป็นผู้อาวุโสในตระกูลหลู่