จิตวิญญาณเทพยุทธ์สยบเทวะ - ตอนที่ 46 ชนะ
หลู่เส่าโหย่วไม่ได้ตื่นตระหนก พลังลมปราณในร่างของเขาได้ปะทุขึ้นมาและพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เขาไม่ปะทะซึ่งๆ หน้าอย่างแน่นอน พลังของเขานั้น หากปะทะกันซึ่งๆ หน้าก็มีแต่จะเสียเปรียบ ส่วนทางด้านวิชา ตัวเขาก็มีเพียงฝ่ามือแยกภูผาเท่านั้น ทำให้เขาเสียเปรียบอย่างมาก
“ปัง!” ฝ่ามือของโจวไห่หมิงได้ระเบิดอยู่ที่ด้านหลังของหลู่เส่าโหย่ว ความรุนแรงของมันทำให้แท่นหินระเบิดเป็นหลุมลึกและมีฝุ่นลอยเต็มสนามครู่หนึ่ง
ความเร็วของทั้งสองคนนั้นเร็วมาก คนส่วนใหญ่เห็นเพียงร่างเงาสองร่างกำลังปะทะกันบนแท่นหิน พลังที่รุนแรงได้ฉีกกระชากอากาศและทำให้เกิดเสียงฉีกขาดของสายลม
ลั่วหลานซือที่ดูอยู่นั้นรู้สึกกังวลอย่างมาก นางมองดูการต่อสู้โดยไม่กล้าแม้แต่จะกะพริบตา กลัวว่าหลู่เส่าโหย่วจะเป็นอะไรขึ้นมา
“เส่าโหย่ว แน่จริงก็หยุดอยู่กับที่” โจวไห่หมิงกล่าวด้วยความโกรธ
“มาสิ ข้ารอเจ้าอยู่ รีบมาเร็ว” หลู่เส่าโหย่วตั้งใจเยาะเย้ยและหยุดพูดอยู่ข้างหน้า ในตอนนี้หลู่เส่าโหย่วรู้ถึงข้อดีที่ได้ฝึกฝนอย่างยากลำบากกับลุงหนานแล้ว ปฏิกิริยาตอบสนองของเขาเร็วกว่าโจวไห่หมิงมาก ในเรื่องนี้ ตัวเขาเป็นฝ่ายได้เปรียบ
“เหอะ…ข้าจะให้เจ้าได้เห็นดีกัน” โจวไห่หมิงตะโกนออกมาและปล่อยฝ่ามือออกไปอย่างรุนแรง
“เจ้าช้าเกินไปแล้ว” หลู่เส่าโหย่วหัวเราะเบาๆ เขาตั้งใจทำให้โจวไห่หมิงโกรธ จากนั้น ร่างของเขาก็พุ่งหลบจากที่เดิมทันที
เกิดเสียงของฝ่ามือที่ฉีกกระชากอากาศ และจากนั้นฝ่ามือก็ได้ตกลงบนพื้นที่หลู่เส่าโหย่วเคยยืนอยู่ พลังที่รุนแรงของมันทำให้พื้นหินเกิดรอยร้าวและแตกออก หลู่เส่าโหย่วที่ยืนดูอยู่ไกลๆ ก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน ความรุนแรงของมันไม่ควรมองข้ามเลย
“ช่างเป็นเด็กที่เจ้าเล่ห์เสียจริง มีความรอบคอบแต่ไม่เสียความเจ้าเล่ห์ไป ทำได้ดี” หลู่ตงกล่าวอย่างชื่นชม
“ทำได้แค่วิ่งหนี นั่นเป็นสิ่งที่ดีอย่างนั้นหรือ ช่างทำให้ตระกูลอับอาย” หลู่หนานกล่าวอย่างขุ่นเคือง
“พี่สอง ท่านจะพูดแบบนี้ไม่ได้ ไห่หมิงมีพละกำลังที่ไม่เลว แต่หงุดหงิดง่ายไปหน่อย ลงมือกับคนในตระกูลก็ยังไร้ความปรานี หากท่านพ่อรู้เข้าคงจะไม่ดีใจ” หลู่ซีกล่าวเบาๆ ในเวลานี้ใครๆ ต่างก็มองออกว่าโจวไห่หมิงกำลังลงมือกับหลู่เส่าโหย่วอย่างไร้ความเกรงใจ
“ในระหว่างการประลอง หากต้องลงมืออย่างยับยั้งทั้งหมด เช่นนั้นก็ไม่ต้องประลองกันแล้ว” ใบหน้าของหลู่หนานกระตุกเล็กน้อย แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรมากมาย
เงาสองร่างในสนามประลองได้ใช้พลังลมปราณต่อสู้กันอย่างดุเดือด บางครั้งจะมีพลังลมปราณสีกากีถูกรวบรวมบนฝ่ามือของโจวไห่หมิงและปล่อยออกมา แต่ท้ายที่สุดมันก็จะปะทะกับพื้นหิน ทำให้สนามประลองมีหลุมและรอยแตกไม่น้อย
หลู่หวู๋ซวงขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะเห็นได้ว่าพลังบ่มเพาะของหลู่เส่าโหย่วนั้นห่างกับโจวไห่หมิงมาก ห่างกันทั้งหมดสี่ขั้น เท่านี้ก็ถือว่าไม่น้อยแล้ว
“อย่าหนี” เมื่อเวลาผ่านไป โจวไห่หมิงก็เริ่มใจร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ยังไล่ตามหลู่เส่าโหย่วไม่ทัน เขาทำได้แค่ตะโกนออกมาอย่างทำอะไรไม่ได้
“มีปัญญาก็ตามข้าให้ทัน ความเร็วของเจ้าช้าไปแล้ว ช้าเหมือนกับเต่า” หลู่เส่าโหย่วหันหัวกลับไปเยาะเย้ย
“ฮ่าฮ่า” ทันใดนั้น ผู้ชมรอบๆ หลายก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
“เส่าโหย่ว ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปแน่” โจวไห่หมิงจะทนได้อย่างไร เขาโกรธขึ้นมาทันที ท่าประทับในมือของโจวไห่หมิงเปลี่ยนไปอย่างแปลกประหลาด และพลังลมปราณในร่างก็สั่นไหวอย่างรุนแรง
“ในที่สุดก็จะลงมือเต็มกำลังแล้วอย่างนั้นหรือ?” สีหน้าของหลู่เส่าโหย่วได้มืดลงโดยที่ไม่มีใครเห็น เขาตั้งใจยั่วยุโจวไห่หมิงมาโดยตลอด เพราะตัวเขาจะเอาชนะได้ก็ต่อเมื่อเจอโอกาสและโจมตีให้สำเร็จในครั้งเดียว
“ฝ่ามือทะลวงภูผา” โจวไห่หมิงตะโกนเบาๆ จากนั้นก็มีฝ่ามือพลังลมปราณสีกากีปรากฏขึ้นที่ด้านหน้า ขณะเดียวกัน ใบหน้าของโจวไห่หมิงนั้นซีดลงหลายส่วน ท้ายที่สุดก็มีฝ่ามือลมปราณนับสิบปิดกั้นพื้นที่ทั้งหมดเอาไว้ หลังขยับฝ่ามือเพียงเล็กน้อย ฝ่ามือลมปราณนับสิบก็ได้พุ่งออกไปในทันที ออร่าที่รุนแรงของมันได้กรีดผ่านอากาศและทำให้เกิดเสียงของสายลมที่ถูกฉีกขาดพร้อมกับทรายและหินที่ล่องลอยไปมา
‘วิชาระดับขาว’ หลู่เส่าโหย่วคิดในใจ ฝ่ามือทะลวงภูผาที่โจวไห่หมิงใช้ออกมานั้นแสดงให้เห็นว่ามันเป็นวิชาระดับขาว
ฝ่ามือลมปราณนับสิบได้ปิดกั้นพื้นที่เอาไว้ และจากนั้นก็มีเสียงของอากาศที่ถูกทะลวง บนใบหน้าของโจวไห่หมิงได้ปรากฏรอยยิ้มเยาะเย้ย ฝ่ามือนับสิบนี้ได้พุ่งไปทางหลู่เส่าโหย่วอย่างโหดเหี้ยม
“เข้ามา” ในตอนนั้นเอง ในแววตาของหลู่เส่าโหย่วก็มีรอยยิ้มแวบผ่าน เขาไม่ได้ถอยหลังแต่กลับก้าวไปข้างหน้าแทน พลังลมปราณภายในร่างที่ถูกกดทับมาตลอด ในเวลานี้มันได้ปะทุออกมาราวกับสายน้ำ
ทันใดนั้น ร่างกายทั้งหมดของเขาก็ถูกห่อหุ้มด้วยชุดเกราะสีเหลืองอ่อน ร่างนั้นกลายเป็นภาพติดตา และพุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า
ขณะเดียวกัน เมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงบนร่างของหลู่เส่าโหย่ว โจวไห่หมิงก็ได้แต่ตกตะลึง เขาประหลาดใจจนพูดอะไรไม่ออก
ในช่วงเวลาที่หลู่เส่าโหย่วกับโจวไห่หมิงกำลังพุ่งผ่านกันนั้น หลู่เส่าโหย่วได้ใช้ท่าประทับจากนั้นฝ่ามือสีเหลืองอ่อนก็ได้ก่อตัวขึ้นมาในทันที จากนั้นเขาก็กระแทกฝ่ามือนั้นเข้าใส่หน้าท้องของโจวไห่หมิงอย่างรุนแรง
ฝ่ามือสีเหลืองอ่อนของหลู่เส่าโหย่วนั้นได้ทำลายแสงวงกลมสีเหลืองที่อยู่ด้านหน้าโจวไห่หมิง และจากนั้นก็กระแทกเข้ากับท้องน้อยของโจวไห่หมิงในทันที
ในเวลาเดียวกัน หลู่เส่าโหย่วก็โดนสองฝ่ามือของโจวไห่หมิงกระแทกเข้ากับหน้าอกและไหล่ซ้ายของตัวเอง ร่างกายของเขาได้เซถอยหลังกลับไปประมาณสิบก้าว ไหล่ซ้ายกับหน้าอกของเขารู้สึกด้านชา เลือดที่อยู่ในร่างปั่นป่วนและรู้สึกเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก
“อุ๊บ…” หลู่เส่าโหย่วอดกลั้นไม่ไหวและกระอักเลือดออกมาในทันที มุมปากที่มีรสหวานทำให้เขารู้สึกดีขึ้น
“ผู้ฝึกยุทธ์สามธาตุที่เจอกับระดับพลังที่ต่างกันถึงสี่ขั้น สุดท้ายก็แพ้” คนบางส่วนเริ่มถอนหายใจและรู้สึกเสียดายขึ้นมา พวกเขาทั้งหมดเสียใจแทนหลู่เส่าโหย่ว บ้างก็ไม่ได้สนใจอะไรเพราะมาเพื่อดูเรื่องสนุกเท่านั้น
“ปัง!”
และในเวลาเดียวกันนั้น ร่างของโจวไห่หมิงที่อยู่ด้านหน้าก็ได้กระเด็นลอยขึ้นไปบนฟ้าและตกลงกระแทกกับพื้นหินที่อยู่ห่างออกไปนับสิบเมตร โจวไห่หมิงได้กระอักเลือดออกมาเต็มปากจนเลอะพื้นเต็มไปหมด
“อ๊าก…” โจวไห่หมิงกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เขากระอักเลือดออกมาอีกครั้งและไม่สามารถลุกขึ้นมาได้อีก
“หลู่เส่าโหย่วชนะ เขาชนะแล้ว” หลังจากที่ทุกคนรู้สึกตัวอีกครั้ง จึงได้เห็นว่าถึงแม้หลู่เส่าโหย่วจะได้รับบาดเจ็บ แต่อาการบาดเจ็บของโจวไห่หมิงนั้นรุนแรงกว่ามาก เห็นได้ชัดว่าในรอบนี้หลู่เส่าโหย่วเป็นผู้ชนะ
“ไห่หมิง” ในตอนนี้เอง หลู่หนานกับโจวลี่ซิงก็ทนไม่ได้อีกต่อไป พวกเขารีบลงจากอัฒจันทร์ไปอยู่ข้างกายโจวไห่หมิงทันที
“เจ้าหนู เจ้าลงมือโหดเหี้ยมนัก” หลู่หนานประคองโจวไห่หมิงด้วยความโกรธแค้น แต่นางกลับลืมไปว่าเดิมทีโจวไห่หมิงโจมตีหลู่เส่าโหย่วอย่างไร้ความปรานีมาตลอด
“พอดีเรียนรู้มาจากพวกเจ้า” เมื่อเผชิญหน้ากับป้าสอง หลู่เส่าโหย่วก็รู้ดีว่าควรทำอย่างไร เขาไม่จำเป็นต้องสุภาพด้วย
“ป้าสอง เป็นโจวไห่หมิงที่ลงมืออย่างโหดเหี้ยมมาตลอด หรือว่าท่านไม่เห็นอย่างนั้นหรือ?” หลู่หวู๋ซวงรีบขึ้นมาบนแท่นหินและมาอยู่ข้างกายหลู่เส่าโหย่วอย่างรวดเร็ว
“การประลองรอบนี้ หลู่เส่าโหย่วชนะ” เมื่อผู้อาวุโสชุดเทาเห็นหลู่เส่าโหย่วเป็นฝ่ายชนะ เขาก็ได้ตกอยู่ในความประหลาดใจ หลังจากได้สติคืนมาก็รีบประกาศผู้ชนะทันที ปัญหาภายในของตระกูลหลู่นั้นไม่เกี่ยวอะไรกับเขามากนัก ตระกูลหลู่มีผู้ฝึกยุทธ์สามธาตุปรากฏขึ้น และเดิมทีเขาก็รู้สึกเห็นใจหลู่เส่าโหย่วอยู่แล้ว ทำให้ในตอนนี้เขาจึงรู้สึกมีความสุขเป็นธรรมดา
“ที่แท้นายน้อยเส่าโหย่วก็เป็นถึงผู้ที่เก่งกาจที่สุด ข้าไม่รู้เลย”
“อันที่จริง นายน้อยเส่าโหย่วก็เป็นคนที่หล่อเหลาที่สุดด้วย ดูสายตานั่นสิ ช่างน่าหลงใหลยิ่งนัก”
กลุ่มสาวใช้และเด็กสาวสาขารองหลายคนได้ส่งเชียร์ในทันที จากนั้นคนรับใช้จำนวนมากก็เริ่มตะโกนออกมา
ห่างออกไป หลู่อวิ๋นที่เพิ่งจะพ่ายแพ้หลู่เส่าหู่เมื่อครู่ก็ได้มองมาทางหลู่เส่าโหย่วด้วยเช่นกัน
“พี่เส่าโหย่ว ท่านนั้นเก่งกาจจริงๆ เมื่อครู่เป็นวิชาอะไรหรือ ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก” หลู่เม่ยไม่พลาดโอกาสที่จะมาอยู่ข้างกายหลู่เส่าโหย่ว
“น้องสอง พาไห่หมิงไปรักษาเถอะ” หลู่ตงยืนขึ้นบนแท่นหิน และใช้สายตาจับจ้องไปทางหลู่เส่าโหย่ว ในแววตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ นักรบขั้นสามสามารถเอาชนะนักรบขั้นเจ็ดด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว การทำเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย และวิชาป้องกันกับวิชาโจมตีที่หลู่เส่าโหย่วใช้เมื่อครู่ก็ไม่ใช่วิชาของตระกูลหลู่ วิชาป้องกันวิชานั้น แม้แต่ตัวของหลู่ตงเองก็มองระดับไม่ออก
“เหอะ..” หลู่หนานกับโจวลี่ซิงได้ประคองโจวไห่หมิงลงจากแท่นหินด้วยความขุ่นเคือง