จิตวิญญาณเทพยุทธ์สยบเทวะ - ตอนที่ 41 การทดสอบ
หลู่เส่าโหย่วเข้ามาเป็นคนสุดท้าย และยืนอยู่ที่มุมด้านหลังสุด เขามองไปยังที่ด้านหน้า พวกหลู่หวู๋ซวงกับหลู่เม่ยและคนอื่นๆ กำลังยืนอยู่ที่ด้านหน้าสุดในตอนนี้
ทุกคนในตระกูลต่างก็แสดงสีหน้าเคร่งขรึมและจ้องมองไปที่ป้ายของบรรพบุรุษ พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง ส่วนหลู่ตง หลู่หนาน และคนอื่นๆ ต่างก็อยู่ที่ด้านหน้าสุดในตอนนี้เช่นกัน
เมื่อทุกคนได้ยืนอยู่ที่ตำแหน่งของตัวเอง หลู่ตงก็ก้าวออกมาจากกลุ่มคน จากนั้นก็เหลือบมองทุกคนด้วยสายตาที่สง่าผ่าเผย ในช่วงเวลานั้น ลูกหลานของตระกูลหลู่ต่างก็ไม่ส่งเสียงใดๆ ออกมา
หลังจากผ่านความเงียบไปครู่หนึ่ง เสียงของหลู่ตงก็ค่อยๆ ดังขึ้นมา “ตั้งแต่ที่บรรพบุรุษของเราหยั่งรากอยู่ในเมืองชิงอวิ๋น พวกเราก็อยู่ในเมืองชิงอวิ๋นมาตลอดรุ่นสู่รุ่น”
เสียงที่ทุ้มลึกของหลู่ตงได้ถูกส่งไปอย่างช้าๆ ถึงแม้มันจะไม่ดัง แต่ลูกหลานทุกคนที่อยู่ในโถงบรรพบุรุษต่างก็ได้ยินอย่างชัดเจน สิ่งที่หลู่ตงกำลังพูดในขณะนี้คือประวัติศาสตร์และความสำเร็จของบรรพบุรุษตระกูลหลู่
ระหว่างที่หลู่เส่าโหย่วกำลังฟังอยู่นั้น เขาก็ไม่ได้รู้สึกอะไร นี่เป็นเพียงขั้นตอนหนึ่งของการกราบไหว้บรรพบุรุษ ทว่าในตอนที่หลู่ตงกล่าวว่าในบรรดาบรรพบุรุษของตระกูลเคยมีคนหนึ่งที่เป็นถึงผู้ฝึกตนระดับราชาที่แข็งแกร่งแห่งทวีปหลิงหวู่ก็ทำให้เขาประหลาดใจไม่น้อย ผู้ที่มีพลังบ่มเพาะระดับราชานั้น หากเทียบกับทั่วทั้งทวีปหลิงหวู่แล้วก็เหมือนกับขนของฟีนิกซ์ เป็นการคงอยู่ที่หาได้ยากยิ่ง คาดไม่ถึงว่าในบรรดาบรรพบุรุษตระกูลหลู่จะมีบุคคลเช่นนี้อยู่
เมื่อลูกหลานของตระกูลหลู่ได้ฟังสิ่งที่หลู่ตงกล่าว เลือดในตัวของทุกคนก็เดือดพล่านและราวกับจิตใจถูกกระตุ้น นี่เป็นเรื่องราวบรรพบุรุษของตระกูลหลู่ ในฐานะที่เป็นลูกหลานของตระกูล เมื่อได้ฟังเรื่องราวความสำเร็จรุ่งโรจน์ของบรรพบุรุษ ก็แน่นอนว่าจะต้องรู้สึกภาคภูมิใจ
แต่ไม่ใช่กับหลู่เส่าโหย่ว ตระกูลหลู่มีมาแล้วหลายรุ่น แน่นอนว่าก็ต้องมีความสำเร็จที่น่าองอาจ แต่เรื่องพวกนี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับตัวเขาที่ข้ามมิติมาสักนิด
“ตอนนี้ เพื่อกราบไหว้บรรพบุรุษ ขอให้ตระกูลหลู่สืบทอดต่อไปไม่มีวันดับ!…” เมื่อหลู่ตงกล่าวถึงประโยคสุดท้าย เสียงของเขาก็ดังขึ้นไม่น้อย
“กราบไหว้บรรพบุรุษ”
หลู่ตงมองไปรอบๆ นัยน์ตาคู่นั้นแฝงไปด้วยความสง่าผ่าเผย ไม่มีความสั่นไหวเลยแม้แต่น้อย จากนั้นเขาก็คุกเข่าลง และกลุ่มคนด้านหลังรวมถึงจ้าวฮุ่ย โจวลี่ซิง โจวไห่หมิง และคนอื่นๆ ก็คุกเข่าลงตามแต่โดยดี
ลูกหลานในตระกูลหลู่ก็ได้คุกเข่าตามเช่นกัน จากนั้นก็เริ่มกราบสามคำนับเก้า ส่วนหลู่เส่าโหย่วนั้น เขาคุกเข่าเป็นคนสุดท้ายและทำเพียงกราบลงไปเท่านั้น บรรพบุรุษตระกูลหลู่ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขา ที่เขากราบไหว้อยู่ในตอนนี้ก็เป็นเพียงการกราบแทนหลู่เส่าโหย่วคนก่อนเท่านั้น
“เอาล่ะ ลุกขึ้นเถอะ” หลังจากที่กราบสามคำนับเก้าแล้ว หลู่ตงก็ลุกขึ้นยืนและกล่าวกับกลุ่มลูกหลานของตระกูลที่อยู่ด้านหลัง
เมื่อกลุ่มคนยืนขึ้น ใบหน้าของทุกคนต่างก็แสดงออกถึงความคาดหวังและตั้งตารอ หลังจากนี้ จะเป็นสิ่งที่รุ่นเยาว์ในตระกูลหลู่รอคอยมาอย่างเนิ่นนาน
“ตอนนี้ ไปที่สนามประลองและทดสอบพลังกันก่อน” หลู่ตงกล่าวกับกลุ่มคน
“จะได้ไปทดสอบพลังแล้ว”
เหล่าลูกหลานในตระกูลหลู่เริ่มตื่นเต้นขึ้นมา ในที่สุดการประลองของตระกูลหลู่ก็จะเริ่มเสียที นี่เป็นสิ่งที่เหล่ารุ่นเยาว์ของตระกูลหลู่ตั้งตารอจริงๆ
เหล่ารุ่นเยาว์ของตระกูลหลู่รีบเดินออกไปอย่างตื่นเต้น หลู่เส่าโหย่วไม่แสดงท่าทีใดๆ แต่ในใจกลับคิดว่า ลุงหนานให้เขาไปนิกายอวิ๋นหยาง เช่นนั้นตัวเขาก็ต้องเข้าร่วมการประลองนี้ด้วย ไม่เช่นนั้นเขาก็ไม่สามารถเข้านิกายอวิ๋นหยางได้
“เส่าโหย่ว เจ้าก็ไปเข้าร่วมการทดสอบเถอะ” ในตอนนั้นเอง หลู่เส่าโหย่วก็ได้ยินเสียงของหลู่ตงดังขึ้น
“เส่าโหย่ว ข้าจะพาเจ้าไปเอง” จากนั้นก็มีเสียงที่ไพเราะดังขึ้นมา แต่สิ่งที่ทำให้หลู่เส่าโหย่วต้องแปลกใจก็คือ เสียงนั้นกลับเป็นเสียงของหลู่เม่ยที่เดินเข้ามาอยู่ด้านหน้าเขา
หลู่เม่ยในตอนนี้ได้ยิ้มและมองมาที่หลู่เส่าโหย่ว กลิ่นหอมเข้มข้นได้ลอยมาแตะจมูกของเขา ทว่าหลู่เส่าโหย่วรู้สึกประหลาดใจนัก เพราะหลู่เม่ยผู้นี้กลับเข้ามาทำดีกับเขา
“เส่าโหย่ว พวกเราไปกันเถอะ” หลู่หวู๋ซวงในเวลานี้ได้มาอยู่ที่ข้างกายของหลู่เส่าโหย่วแล้ว
“อืม” หลู่เส่าโหย่วไม่ได้ปฏิเสธ เพราะนี่เป็นสิ่งที่ลุงหนานได้กล่าวมาแล้ว เช่นนั้นตัวเขาก็ต้องหาวิธีเข้านิกายอวิ๋นหยางให้ได้ เขาไม่รู้ว่านิกายอวิ๋นหยางมีสมบัติอะไรถึงทำให้ลุงหนานสนใจ แต่สิ่งที่เข้าตาลุงหนานจะต้องเป็นสมบัติล้ำค่าอย่างแน่นอน
“พี่ใหญ่ หลู่เส่าโหย่วจะสามารถเข้าร่วมการทดสอบได้อย่างไร?” หลังจากที่หลู่เส่าโหย่วกับหลู่หวู๋ซวงจากไป ภายในห้องโถง จ้าวฮุ่ยก็มองหลู่ตงด้วยสีหน้าไม่พอใจและเอ่ยถามขึ้น
“น้องสาม นี่เป็นคำสั่งของท่านปู่ หากมีข้อสงสัยเจ้าก็ไปถามกับท่านปู่” หลู่ตงกล่าว
“ที่ข้ายอมให้เจ้าเด็กนั่นมาโถงบรรพบุรุษก็ถือว่าถึงขีดจำกัดของข้าแล้ว หรือตระกูลหลู่ต้องการสร้างความลำบากให้ข้า รังแกข้าเพราะบ้านสะใภ้ไม่มีใคร? แต่ท่านต้องจำไว้ว่า แรกเริ่มตระกูลหลู่ตกลงกับข้าไว้อย่างไร” จ้าวฮุ่ยกล่าว
“น้องสาม เจ้ากำลังพูดอะไรของเจ้ากัน ตระกูลหลู่ตกลงไว้ว่าจะไม่ยอมรับหลู่เส่าโหย่วกลับเข้าตระกูลหลู่ แต่เจ้าก็เคยตกลงไว้ว่าจะไม่สร้างความลำบากให้พวกเขาสองแม่ลูก แต่หลายปีที่ผ่านมา เจ้าได้ไปสร้างความลำบากให้สองแม่ลูกคู่นั้นหรือไม่ ในใจของเจ้าคงรู้ดี เอาเป็นว่าเรื่องคราวนี้ก็ตกลงตามนี้ เราไปดูพวกเขาทดสอบกันก่อนจะดีกว่า พรสวรรค์ของเส่าหู่ก็ไม่เลว มีความหวังที่จะได้เข้านิกายอวิ๋นหยางอยู่ เจ้าไม่ต้องกล่าวอะไรให้มากความแล้ว” หลังจากหลู่ตงกล่าวจบ เขาก็ออกไปจากโถงบรรพบุรุษ
“น้องสะใภ้ เจ้าก็อย่าคิดมากเลย อย่างน้อย หากเจ้าเด็กนั่นอยากจะกลับเข้าตระกูล เรื่องก็คงไม่ง่ายดายเช่นนั้น” หลู่หนานเดินมาอยู่ด้านข้างของจ้าวฮุ่ยแล้วเอ่ยขึ้น
“ข้าว่าตระกูลหลู่คงอยากจะให้เจ้าเด็กนั่นกลับเข้าตระกูลแล้ว หากพวกเขาให้มันกลับเข้าตระกูลล่ะก็ ข้าไม่ยินยอมอย่างแน่นอน” จ้าวฮุ่ยกล่าวด้วยความเย็นชา และออกไปจากโถงบรรพบุรุษด้วยความหัวเสีย
สองสามีภรรยาหลู่หนานกับโจวลี่ซิงได้สบสายตากัน จากนั้นก็ออกจากโถงบรรพบุรุษและไปที่สนามประลอง
สนามประลองของตระกูลหลู่มีพื้นที่ไม่เล็ก ปกติจะเป็นพื้นที่ต้องห้ามของตระกูลหลู่ มีเพียงลูกหลานที่ได้รับการอนุมัติจากตระกูลหลู่เท่านั้นจึงจะสามารถเข้ามาได้ หากไม่ได้รับการอนุมัติจากตระกูลจะไม่สามารถเข้ามายังสนามประลองได้โดยเด็ดขาด
ในตอนนี้ ที่สนามประลองได้มีการสร้างแท่นอัฒจันทร์ขึ้นมาแล้ว มีสมาชิกในตระกูลและคนรับใช้มากมายอยู่รอบๆ วันนี้คนรับใช้ในตระกูลก็สามารถเข้ามาในสนามประลองได้เช่นกัน อีกทั้งวันนี้ก็เป็นวันขึ้นปีใหม่ ตระกูลหลู่จึงให้วันหยุดหนึ่งวันกับซองแดงแก่คนรับใช้ทุกคน ดังนั้นเวลานี้เหล่าคนรับใช้แต่ละคนต่างก็ยิ้มอย่างเบิกบานใจ
เหล่าฝูงชนได้มารวมตัวกันที่สนามประลองเพียงเพื่อมาดูการประลองและการทดสอบประจำปี โดยเฉพาะปีนี้ที่ผู้ชนะสองคนจะสามารถเป็นตัวแทนของตระกูลหลู่ไปเข้าร่วมการประลองของนิกายอวิ๋นหยางได้ และหากสามารถเข้านิกายอวิ๋นหยางได้ ก็จะเป็นที่อิจฉาของทุกคน
หลู่เส่าโหย่วตามหลู่หวู๋ซวงกับหลู่เม่ยมาจนถึงสนามประลอง ที่แห่งนี้ตัวเขาก็พึ่งเคยมาเป็นครั้งแรก แม้แต่หลู่เส่าโหย่วคนก่อนนั้นก็ยังไม่เคยมาเยือน
หลู่เม่ยได้แสดงความปรารถนาดีกับหลู่เส่าโหย่วตลอดทางที่เดินมา หลู่เส่าโหย่วทำได้เพียงยิ้มอย่างไม่สนใจ ไม่รู้ว่าเด็กสาวคนนี้คิดอะไรอยู่ในใจ
ในเวลานี้ ทั้งสามคนก็ได้มาถึงสนามประลองแล้ว ส่วนกลุ่มคนที่ไปกราบไหว้บรรพบุรุษมาก็ได้ขึ้นไปอยู่บนสนามประลอง พวกเขาเข้าไปทีละคนอย่างกระตือรือร้น นี่เป็นโอกาสที่ดี เพราะถ้าหากพวกเขาสามารถฉายแสงได้ ถึงแม้จะไม่ได้เป็นตัวแทนของตระกูลหลู่ไปประลองกับตระกูลอื่นในเมืองชิงอวิ๋น แต่ก็ยังสามารถได้รับการฝึกฝนของตระกูลหลู่ ซึ่งนั่นก็ถือเป็นสิ่งที่ดีสำหรับอนาคตของตัวเอง
หลู่เส่าโหย่วกวาดตามองไปทั่วสนามประลอง สมาชิกของตระกูลหลู่กับคนรับใช้ที่ล้อมรอบสนามประลอง รวมกันน่าจะมีสี่ถึงห้าร้อยคน และห่างออกไป หลู่เส่าโหย่วก็เห็นมารดาของเขากับหลู่เสี่ยวไป๋ที่อยู่แถวสนามประลอง หลู่เสี่ยวไป๋เอาแต่โบกมือไปมาไม่หยุด
“เรียงแถวให้ดี เตรียมตัวรับการทดสอบ พวกเจ้าเป็นหนอนหรือมังกรก็จะได้รู้เองเมื่อทดสอบ ขอให้ใช้พลังและกำลังทั้งหมด ครั้งนี้ก็เหมือนกับครั้งที่แล้ว คนที่อยู่ระดับนักรบ เมื่อถึงเวลาจะได้รับโอสถขั้นสอง ส่วนผู้ชนะสองคนสุดท้าย แต่ละคนจะได้เงินสองพันเหรียญทองเป็นรางวัล” ในเวลานี้ หลู่ตง หลู่ซี หลู่หนาน จ้าวฮุ่ยและคนอื่นๆ ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นบนเวทีแล้ว และยังมีผู้อาวุโสอีกหลายคนของตระกูลหลู่อยู่ด้วย
“ทั้งเงินสองพันเหรียญทองและโอสถขั้นสอง เสียดายที่ข้าไม่ได้เป็นผู้ฝึกตนระดับนักรบ” ลูกหลานของตระกูลหลู่หลายคนถอนหายใจออกมา ในบรรดารุ่นเยาว์หลายร้อยคนของตระกูลหลู่ คนที่มีพลังบ่มเพาะระดับนักรบนั้นมีน้อยมาก ขณะเดียวกันนั้น ก็ยังมีคนที่กำลังยิ้มอย่างเย่อหยิ่ง คือหลู่เส่าหู่กับโจวไห่หมิงนั่นเอง
“พี่เส่าโหย่ว เหมือนท่านจะถึงระดับนักรบแล้ว สู้ๆ ล่ะ ข้าเป็นกำลังใจให้ท่านอยู่” หลู่เม่ยกล่าวกับหลู่เส่าโหย่วด้วยรอยยิ้มที่มีเสน่ห์