จิตวิญญาณเทพยุทธ์สยบเทวะ - ตอนที่ 4 นายน้อยที่น่าสงสาร
ซือ…ซือ…
ดวงตากลมเล็กของเจ้างูน้อยสีเหลืองอ่อนที่ยาวประมาณสิบเซนติเมตรกำลังจ้องมองหลู่เส่าโหย่วพร้อมกับแลบลิ้นออกมา จากนั้นมันก็เลิกสนใจเขา แต่ยังคงพันอยู่รอบแขนของหลู่เส่าโหย่วเสมือนว่าหลับไปแล้ว
หลู่เส่าโหย่วสังเกตงูสีเหลืองอ่อนตัวนี้อย่างละเอียด เกล็ดบนตัวของมันส่องแสงแวววาว เหมือนว่าเจ้างูตัวนี้จะแตกต่างจากงูตัวอื่น มันดูไม่เหมือนงูธรรมดาเลย
“อสูรเพื่อนยาก ที่เจ้าช่วยข้าไว้คงเพราะอยากจะให้ข้าช่วยดูแลเจ้างูตัวนี้แทนเจ้าสินะ ข้าติดหนี้บุญคุณเจ้า เพราะฉะนั้น งูน้อยตัวนี้ข้าจะดูแลมันแทนเจ้าอย่างดี” หลู่เส่าโหย่วกล่าว ที่ใต้หน้าผาแห่งนั้น หากไม่ใช่เพราะอสูรค้างคาวให้แก่นอสูรสองลูกกับเขา ไม่แน่ว่าเขาอาจจะแข็งตายอยู่ในแม่น้ำนั้นไปแล้ว
หลังจากที่นำเสื้อไปให้แม่แล้ว หลู่เส่าโหย่วก็กลับไปที่ห้องของเขา ในฐานะนายน้อยของตระกูล ความแตกต่างระหว่างเขากับคนรับใช้ก็คือการที่เขากับแม่ได้พักอาศัยอยู่ในลานเล็กๆ ที่ทรุดโทรมแห่งนี้กับแม่ตามลำพัง ไม่ต้องไปอาศัยร่วมกับคนรับใช้คนอื่นในห้องห้องเดียว
คงเพราะเขาไม่ได้นอนมาหลายวัน เมื่อถึงเวลากลางคืนหลู่เส่าโหย่วจึงหลับสนิทในคืนนี้ หลู่เส่าโหย่วนอนหลับฝันหวาน ในความฝันนั้นเขาได้พบกับสาวงามสองสามคน นั่นเกือบจะทำให้เขาเลือดกำเดาไหลออกมา
“นายน้อยโหย่ว! ตื่นได้แล้ว นายน้อยโหย่ว!”
หลู่เส่าโหย่วที่กำลังนอนหลับฝันดีได้ยินเสียงตะโกนดังขึ้นข้างหู
“หลู่เสี่ยวไป๋ ข้ากำลังฝันหวานเลย” แค่ฟังเสียงหลู่เส่าโหย่วก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นเสียงคนรับใช้ของตระกูลที่ชื่อว่าหลู่เสี่ยวไป๋ ในบรรดาคนรับใช้ในตระกูลนั้น ก็มีเพียงแค่หลู่เสี่ยวไป๋ที่มีความสัมพันธ์อันดีกับเขามากที่สุด
เมื่อลืมตาขึ้นมา หลู่เส่าโหย่วก็เห็นชายหนุ่มอายุราวๆ สิบหกสิบเจ็ดปีปรากฏอยู่ข้างหน้าเขา ชายหนุ่มผู้นี้สวมชุดคนรับใช้ อันที่จริง ชุดที่ตัวเขาใส่ก็ไม่ค่อยแตกต่างกับชุดของชายหนุ่มคนนั้นเท่าไรนัก ชายหนุ่มผู้นี้มีหน้าตาค่อนไปทางเจ้าเล่ห์ หากจะให้บรรยายอย่างชมเชย ก็คงกล่าวได้ว่าดูเฉลียวฉลาดมีไหวพริบ
“นายน้อยโหย่ว หลายวันมานี้ท่านไปอยู่ที่ใดมา ท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” หลู่เสี่ยวไป๋มองดูหลู่เส่าโหย่ว พร้อมกับใช้สายตาสังเกตเขาอย่างละเอียด จากนั้นก็กล่าวเสียงเบาว่า “ข้าได้ยินมาว่าพวกคนรับใช้ทุบตีท่าน หลังจากนั้นท่านก็หายตัวไป หรือว่ามีอะไรเกิดขึ้น พวกมันไม่ได้ทำอะไรท่านใช่หรือไม่”
หลู่เส่าโหย่วรู้สึกได้ว่าหลู่เสี่ยวไป๋ผู้นี้ดีกับเขาไม่น้อย “ข้าไม่เป็นอะไร เรื่องคราวนี้ ในภายภาคหน้าข้าค่อยไปเอาคืนพวกมัน” หลู่เส่าโหย่วกล่าว
หลู่เสี่ยวไป๋มองหน้าหลู่เส่าโหย่วพร้อมกับกล่าวว่า “นายน้อยโหย่ว ท่านไม่สบายตรงไหนหรือไม่ ท่านไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ยังจะอยากไปเอาคืนพวกมันอีก ท่านอยากตายหรือ”
“นายน้อย…” ทันใดนั้นหลู่เส่าโหย่วก็นึกถึงชีวิตชาติก่อน ที่บางสถานที่ก็มีอาชีพที่เรียกว่านายน้อย เขาจึงกล่าวกับหลู่เสี่ยวไป๋ทันทีว่า “หยุดก่อน คราวหลังอย่าเรียกข้าว่านายน้อย”
“ไม่เรียกท่านว่านายน้อย เช่นนั้นจะให้ข้าเรียกท่านว่าอะไร คนในตระกูลก็มีเพียงแค่ข้ากับลุงหนานที่เรียกท่านว่านายน้อย ท่านยังจะมีหน้ามาพูดเช่นนี้อีก ข้านำอาหารเช้ามาให้ท่านแล้ว รีบกินเถอะ” หลู่เสี่ยวไป๋กลอกตาใส่หลู่เส่าโหย่ว พร้อมกับเอาแพนเค้กออกมาให้เขา
“ไม่ต้องเรียกข้าว่านายน้อย เจ้าเรียกข้าว่าคุณชายเถอะ” หลู่เส่าโหย่วกล่าว เมื่อมองไปยังหลู่เสี่ยวไป๋ ในใจของเขาก็พลันรู้สึกซาบซึ้ง ดูท่าว่าอย่างน้อย หลู่เส่าโหย่วคนก่อนก็ยังมีเพื่อนเช่นนี้ ถือว่าไม่แย่นัก
“คุณชายก็คุณชาย รีบกินให้เสร็จเถอะ พวกเราต้องไปขนของแล้ว ไม่อย่างนั้น พ่อบ้านจ้าวต้องมาหาเรื่องพวกเราแน่” หลู่เสี่ยวไป๋กล่าว
“ขนอะไร?” หลู่เส่าโหย่วถามขึ้นด้วยความสงสัย
หลู่เสี่ยวไป๋มองหลู่เส่าโหย่วแล้วกล่าวตอบ “ท่านคิดว่าท่านเป็นนายน้อยจริงๆ อย่างนั้นหรือถึงได้ไม่ต้องทำงาน วันนี้ที่ร้านมีสินค้าเข้ามาเยอะ พวกเราต้องขนไปเก็บที่โรงเก็บของ”
“ข้าก็ไม่ใช่นายน้อยมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว” หลู่เส่าโหย่วกล่าว ดูเหมือนว่าการที่เป็นนายน้อยมาจนมาถึงตอนนี้ ชีวิตของเขานั้นช่างขมขื่นเสียจริง
“ใช่แล้ว คุณชาย เราไปกันเถอะ” หลู่เสี่ยวไป๋กล่าว
หลังออกมาจากลานบ้าน ทั้งสองก็เดินไปทางประตูหลังของตระกูล ที่นั่นมีสินค้าของร้านวางเอาไว้อยู่
แม่ของเขาไม่อยู่ในลานบ้าน หลู่เส่าโหย่วรู้ว่ามาว่า เวลานี้แม่ของเขาควรอยู่ที่ห้องซักผ้าที่สวนด้านหลัง ตามหลักแล้ว หลังจากที่แม่ให้กำเนิดเขา ก็ควรจะได้เป็นนายหญิงรองของตระกูล แต่ว่าแม่ของเขานั้นกลับไม่มีแม้แต่ตำแหน่ง และยังคงต้องทำงานต่อไปทั้งที่มันควรจะเป็นงานของสาวรับใช้ และเพราะถูกรังแก แม่ของเขาจึงต้องทำงานที่ยากขึ้นและมากขึ้นไปอีก
หลู่เส่าโหย่วรู้ว่าตัวเขาในตอนนี้ยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้ ทำได้เพียงแต่กัดฟันและแอบก่นด่าอยู่ในใจ เขาต้องรีบหาทางเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้ และการจะเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้ได้ ตัวเขาก็ต้องกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์หรือว่าผู้ฝึกวิญญาณให้ได้เสียก่อน
ตามหลักกฎเกณฑ์ของตระกูล แม้จะเป็นเพียงคนรับใช้ แต่ขอเพียงสามารถเป็นผู้ฝึกยุทธ์และก้าวไปถึงระดับสาวกได้ สถานะในตระกูลก็จะสูงขึ้นในทันที ส่วนผู้ฝึกวิญญาณ…ก็ช่างมันแล้วกัน ผู้ฝึกวิญญาณนั้นมีเพียงน้อยนิด จากทั้งหมดในตระกูล ตอนนี้มีมากสุดก็เพียงแค่สามคนเท่านั้น และทั้งสามคนนั้นก็นับว่าเป็นสมบัติล้ำค่าของตระกูลเลยทีเดียว
“รีบไปเถอะ ข้างหน้านั้นคือพ่อบ้านจ้าว” หลังจากเดินผ่านทางเดินมากมาย ทันใดนั้นหลู่เสี่ยวไป๋ก็กล่าวกับหลู่เส่าโหย่ว ที่ด้านข้างของประตูหลังมีคนอยู่สามคน สองคนในนั้นใส่ชุดคนรับใช้ ส่วนคนที่อยู่ตรงกลางอีกคนหนึ่งใส่ชุดหัวหน้าคนรับใช้
หลู่เส่าโหย่วลอบมองคนทั้งสาม จำได้ว่าเดิมทีก็คือพวกมันทั้งสามคนนั้นเองที่พลั้งมือทุบตีหลู่เส่าโหย่วคนเก่าจนตายไป แล้วแอบนำร่างไปทิ้งที่หน้าผา พูดก็พูดเถอะ ปกติแล้ว สามคนนั้นรังแกเขาแล้วก็ไป พวกมันไม่กล้าตีเขาให้ตาย เพราะไม่ว่าอย่างไร เลือดที่ไหลเวียนในตัวเขาก็เป็นสายเลือดของตระกูลหลู่
ในสามคนนี้ สองคนที่ใส่ชุดคนรับใช้นั้นถือเป็นคนรับใช้ระดับสูงของตระกูลหลู่ ปกติแล้วจะคอยรับใช้เพียงนายหญิงใหญ่คนเดียวเท่านั้น ส่วนอีกคนที่ใส่ชุดหัวหน้าคนรับใช้ ดูแล้วอายุน่าจะประมาณสามสิบห้าสามสิบหก มีดวงตาที่ดูมืดมน คนรับใช้ทั้งสามเป็นคนที่นายหญิงใหญ่พามาจากตระกูลของตัวเอง
หลู่เส่าโหย่วเหลือบมองคนทั้งสาม ความเย็นชาแผ่ซ่านเต็มหัวใจ เขาต้องกำจัดทั้งสามคนนี้ให้สิ้นซาก หากเก็บไว้คงเป็นพิษภัยต่อเขาเป็นแน่ ทั้งสามคนนี้ ปกติแล้วก็รวมหัวกับสาวรับใช้คนอื่นรังแกเขากับแม่ไม่น้อย
แต่คนรับใช้ทั้งสามนั้น สองคนที่เป็นคนรับใช้ระดับสูงก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับสาวกด้วย ส่วนพ่อบ้านจ้าวนั้นยิ่งแล้วใหญ่ ตัวมันเป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ระดับนักรบ ชายร่างใหญ่สิบคนก็ไม่สามารถรับมือกับมันไหว ตัวเขาที่อยากจะกำจัดพวกมันทั้งสามคนนั้น เห็นทีคงยากแล้ว
หลู่เสี่ยวไป๋พาหลู่เส่าโหย่วออกไปทางด้านหลังอย่างเร่งรีบ ตรงพื้นที่ว่างที่ไม่ไกลจากประตูหลัง ในตอนนี้เต็มไปด้วยสินค้านับพันกระสอบ แต่ละกระสอบดูแล้วไม่น่าจะเบานัก
ทางด้านหลัง เมื่อพ่อบ้านจ้าวกับคนรับใช้ทั้งสองเห็นหลู่เส่าโหย่ว คนทั้งสามก็รู้สึกตกใจไปชั่วขณะ จากนั้นต่างก็หันมามองหน้ากัน ใบหน้าขาวซีดขึ้นมาหลายส่วน
“พ่อบ้านจ้าว ทำไมไอเด็กนี่ถึง…ทั้งๆ ที่มันโดนพวกเรา…” ในบรรดาคนทั้งสาม คนรับใช้ทางซ้ายที่อายุสามสิบกล่าวกับพ่อบ้านจ้าวอย่างประหลาดใจ
“ไม่มีอะไรให้ตกอกตกใจหรอก อาจเป็นเพราะพวกเรารีบร้อนจนดูพลาดไปเอง ไอเด็กนี่ตายยากนัก โยนมันลงมาจากหน้าผาแล้วยังรอดอีก แต่ไม่ตายก็ดีแล้ว สองวันที่ผ่านมานี้ดูเหมือนนายใหญ่จะกำลังตรวจสอบอยู่ ดังนั้นช่วงนี้ก็ปล่อยมันไปก่อน ให้มันได้อยู่อย่างสบายสักสองสามวันเถอะ” พ่อบ้านจ้าวกล่าวกับคนทั้งสองเสียงเบา
“เอ๋ ทำไม่วันนี้พ่อบ้านจ้าวมันไม่หาเรื่องพวกเราเล่า” หลู่เสี่ยวไป๋กล่าวกับหลู่เส่าโหย่วขณะแบกสินค้าอยู่ คงเพราะรู้สึกสงสัย เพราะปกติแล้วไอพ่อบ้านจ้าวมันจะหาโอกาสมาหาเรื่องพวกเขาตลอด
ในเวลานี้ ข้างๆ กันนั้นมีคนรับใช้หลายสิบคนกำลังช่วยกันแบกสินค้า เมื่อเหล่าคนรับใช้เห็นหลู่เส่าโหย่วก็ทำเพียงแค่ชำเลืองมอง ไม่ได้ใส่ใจหรือสนใจอะไรมากมาย เหมือนกับเขาเป็นคนล่องหน ไม่มีใครอยากยุ่งกับเขา เพราะหากใครไปยุ่งกับหลู่เส่าโหย่ว คนๆ นั้นก็จะโดนพ่อบ้านจ้าวกีดกัน
“คงเป็นเพราะพวกเราโชคดี” หลู่เส่าโหย่วกล่าวตอบ หากแต่เขาได้แต่แอบคิดอยู่ในใจว่า คงเพราะพวกมันทั้งสามคนคงตกใจที่เห็นเขาตายแล้วฟื้นขึ้นมาอีกน่ะสิ