จิตวิญญาณเทพยุทธ์สยบเทวะ - ตอนที่ 27 ร่วมทางกับสาวงาม
“คุณชาย” เสียงของหลู่เสี่ยวไป๋ที่ส่งมานั้นดูร้อนรนเล็กน้อย เหมือนว่าจะมีเรื่องรีบร้อนอะไรบางอย่าง
“มีเรื่องอะไร” ทันทีที่หลู่เส่าโหย่วพึ่งกล่าวจบ หลู่เสี่ยวไป๋ก็รีบเข้ามาในห้องของเขาจนหอบหายใจ
หลู่เส่าโหย่วที่เห็นท่าทางของหลู่เสี่ยวไป๋ก็ประหลาดใจไม่น้อย ชุดคลุมเก่าขาดๆ ที่เคยสวมใส่บนร่างนั้นได้หายไปแล้ว แต่กลับถูกแทนที่ด้วยชุดคลุมสีน้ำเงินใหม่เอี่ยม บนหัวไหล่ของหลู่เสี่ยวไป๋ยังมีตราสัญลักษณ์บางอย่าง เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงตนว่าเป็นผู้ดูแลของตระกูลหลู่
“คุณชาย ข้าถูกพบแล้ว ทำอย่างไรดี” หลู่เสี่ยวไป๋ที่เข้าห้องมากล่าวขึ้นอย่างร้อนรน
“ถูกพบอะไร?” หลู่เส่าโหย่วถาม
“เมื่อคืนข้าได้ใช้ทักษะหมาป่าอัคคีบ่มเพาะและทะลวงระดับสาวก แต่มันดันไปดึงดูดความสนใจของนายท่านเข้า นายท่านจึงมาสอบถามข้าทั้งคืน” หลู่เสี่ยวไป๋กล่าว
หลู่เส่าโหย่วรู้ว่านายท่านที่หลู่เสี่ยวไป๋พูดถึงคือลุงใหญ่ในโลกนี้ของเขา หรือก็คือพ่อบุญธรรมของหลู่หวู๋ซวง ลุงใหญ่นั้นถือว่าเป็นคนดี เมื่อเขายังเด็ก ลุงใหญ่ก็ยังมาดูแลเขาบ้างเล็กน้อย
“สอบถามอะไรบ้าง…” หลู่เส่าโหย่วรีบถามออกไป เขากังวลว่าตัวตนของเขาจะถูกเปิดเผย หากเป็นเช่นนั้นมันคงจะมีปัญหาไม่น้อย
หลู่เสี่ยวไป๋กล่าว “นายท่านใหญ่ถามว่าข้าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ได้อย่างไร ใครเป็นคนสอนข้าในการบ่มเพาะ แต่ว่าข้าไม่ได้บอก ข้าไม่ทรยศคุณชายแน่ ข้าบอกไปว่าข้าได้พบผู้สูงศักดิ์คนหนึ่งโดยบังเอิญ และเขาก็เป็นคนสอนข้าบ่มเพาะ แต่เขาได้บอกกับข้าเอาไว้ว่าต้องไม่บอกกล่าวกับผู้ใด”
หลังเล่าจบหลู่เสี่ยวไป๋ก็ยิ้มเล็กน้อย ดูเหมือนว่าจะพอใจกับการตอบคำถามของตัวเองมาก
หลู่เส่าโหย่วถอนลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก นี่ยังไม่ถึงเวลาที่เขาจะเปิดเผยตัวตน หากเขาเปิดเผยตัวตนในตอนนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดปัญหาใดบ้าง
“แล้วจากนั้นล่ะ” หลู่เส่าโหย่วถามต่อ จู่ๆ คนรับใช้ระดับต่ำคนหนึ่งที่ไม่สามารถกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ได้ วันหนึ่งดันกลับกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขึ้นมา คนของตระกูลหลู่จะต้องถามคำถามมากมายอย่างแน่นอน ไม่มีทางที่จะไม่สงสัย
“หลังจากนั้นหัวหน้าตระกูลกับนายท่านสองและนายท่านสี่ก็มากันหมด ทุกคนถามข้าว่าผู้สูงศักดิ์ผู้นั้นคือใคร สุดท้ายข้าก็ไม่มีทางเลือก จึงบอกไปว่าเขาไปๆ มาๆ โดยที่ไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้ ทุกครั้งก็เป็นเขาที่มาหาข้า แล้วนายท่านใหญ่กับหัวหน้าตระกูลก็ไม่ได้ถามอะไรมากมายอีก สุดท้ายก็เลื่อนยศข้าขึ้นมาเป็นผู้ดูแล และยังจะให้ข้าย้ายไปอยู่ลานด้านหน้า แต่ว่าข้าบอกว่าไม่ต้องการย้ายไป อยู่ลานด้านหลังก็ดีอยู่แล้ว” หลู่เสี่ยวไป๋กล่าว
“ไปอยู่ลานด้านหน้าก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ เสี่ยวฉุยก็อยู่ลานด้านหน้าไม่ใช่หรืออย่างไร?” หลู่เส่าโหย่วยิ้มเบาๆ ในเมื่อหลู่เสี่ยวไป๋กลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์แล้ว แน่นอนว่าตระกูลหลู่ย่อมให้คุณค่า จะเลื่อนขั้นให้หลู่เสี่ยวไป๋เป็นผู้ดูแลนั้นก็ไม่แปลก แต่ดูเหมือนว่าเขาจะต้องระมัดระวังมากกว่านี้ในอนาคต เพราะในตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่ควรจะให้คนในตระกูลหลู่รู้ตัวตนของเขา
“คุณชาย ท่านพักอยู่ที่ลานด้านหลัง ข้าจะไปอยู่ที่ลานด้านหน้าได้อย่างไร นอกจากเราจะย้ายไปด้วยกัน ส่วนเสี่ยวฉุย เมื่อครู่ข้าได้เจอนางแล้ว นางยังเป็นฝ่ายมาทักทายข้าก่อนด้วย” หลู่เสี่ยวไป๋กล่าว
เมื่อได้ยินสิ่งที่หลู่เสี่ยวไป๋เอ่ย หลู่เส่าโหย่วจึงกล่าวว่า “ในภายภาคหน้าเจ้าก็ระมัดระวังหน่อย นี่คือโอสถเสริมพลังสองเม็ด หลังจากเจ้ากินเข้าไปแล้วปรับแต่งมัน มันจะช่วยในเรื่องการบ่มเพาะของเจ้าไม่น้อย หากถูกใครพบโอสถเสริมพลังเม็ดนี้ก็ไม่ต้องบอกกล่าวกับผู้ใดว่าข้าเป็นคนให้เจ้า บอกไปว่าผู้สูงศักดิ์ผู้นั้นเป็นคนให้เจ้ามา”
หลู่เส่าโหย่วลอบยิ้มในใจ เหตุผลที่เขาให้โอสถเสริมพลังเม็ดนี้แก่หลู่เสี่ยวไป๋ ประการแรกคือเขาต้องการให้พลังบ่มเพาะของหลู่เสี่ยวไป๋ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ประการที่สอง ในช่วงนี้ตระกูลหลู่คงให้ความสนใจหลู่เสี่ยวไป๋มากขึ้นแน่ และหากพบว่าหลู่เสี่ยวไป๋มีโอสถสริมพลังอีก เขาเชื่อว่าตระกูลหลู่จะยิ่งให้ความสนใจหลู่เสี่ยวไป๋มากขึ้นไปอีกแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้นก็คงมีคนในตระกูลไม่มากแล้วที่จะมาสนใจเขา แล้วตัวตนของเขาก็จะปลอดภัยมากขึ้นอีกสักหน่อย
“คุณชาย โอสถเม็ดนี้แพงมากหรือ?” หลู่เสี่ยวไป๋รับโอสถมาแล้วถามขึ้น
“ห้าสิบเหรียญทอง มีคนต้องการแต่ไม่มีของ เจ้าคิดว่าแพงหรือไม่” หลู่เส่าโหย่วกลอกตาใส่หลู่เสี่ยวไป๋แล้วตอบ ตัวเขาได้รู้จากเทียนเป่าเหมินมาว่าด้านนอกนั้นขายโอสถเสริมพลังที่เขาหลอมกันถึงหกสิบเจ็ดสิบเหรียญทองต่อเม็ดแล้ว เขายังคิดอยู่ว่าจะให้เทียนเป่าเหมินขึ้นราคา
“แพงขนาดนี้เลย” ห้าสิบเหรียญทองสำหรับหลู่เสี่ยวไป๋นั้นถือได้ว่าเป็นตัวเลขที่มหาศาล
“เจ้าก็ฝึกฝนบ่มเพาะให้ดี อย่าขี้เกียจล่ะ” หลู่เส่าโหย่วกล่าว
“ใช่แล้วคุณชาย หัวหน้าตระกูลให้ข้าไปห้องเก็บวิชายุทธ์เพื่อเลือกวิชาหนึ่งชุด อย่างนั้นข้าไปก่อนแล้ว” หลู่เสี่ยวไป๋กล่าว ถึงแม้จะเป็นผู้ฝึกยุทธ์แล้ว แต่ถ้าไม่มีวิชายุทธ์เห็นทีคงจะไม่ได้
“ไปเถอะ” หลู่เส่าโหย่วรู้ว่าหัวหน้าตระกูลหลู่เป็นบิดาของเจ้าของร่างนี้ แต่ในความทรงจำของเขากลับมีความทรงจำเกี่ยวกับชายคนนี้ไม่มากนัก หลู่เส่าโหย่วจึงรู้สึกสงสัยเล็กน้อย เป็นไปได้ไหมว่าจะมีคนที่เมินเฉยไม่สนใจเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองจริงๆ
เมื่อหลู่เสี่ยวไป๋จากไป หลู่เส่าโหย่วก็ยืนเหม่ออยู่พักหนึ่ง หลังจากเก็บกวาดเสร็จ เขาที่พึ่งเดินออกมาจากลานบ้านและกำลังจะไปที่เทียนเป่าเหมินก็เห็นหลู่หวู๋ซวงที่กำลังเดินมาทางลานบ้านพอดี
“พี่หวู๋ซวง ท่านมาได้อย่างไร” หลู่เส่าโหย่วตกตะลึงไปครู่หนึ่ง หากย้อนนึกถึงความอึดอัดครั้งก่อน เขาก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดแล้ว ในฐานะที่เขาเป็นลูกผู้ชาย ถูกผู้หญิงเห็นร่างกายแล้วจะอย่างไร เขาไม่ได้เสียอะไรอยู่แล้ว
แต่หลู่หวู๋ซวงนั้นไม่เหมือนกัน ดูเหมือนว่าเมื่อนางเห็นหลู่เส่าโหย่วนางก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงเรื่องในวันนั้น ทันใดนั้นใบหน้าของนางก็แดงก่ำ แล้วนางก็ก้มศีรษะลงไป
“เส่าโหย่ว อีกเจ็ดวันก็จะปีใหม่แล้ว หากเจ้ามีเวลาว่าง ไปซื้อของเป็นเพื่อนข้าหน่อยได้หรือไม่?” หลู่หวู๋ซวงกล่าวด้วยเสียงที่บางเบา
“ข้าว่าง พวกเราไปกันเถอะ” หลู่เส่าโหย่วพึ่งนึกขึ้นได้ว่าใกล้จะปีใหม่แล้ว เขาควรซื้อของใช้และเสื้อผ้าใหม่ให้ท่านแม่เสียหน่อย ส่วนเรื่องเงินทอง ตัวเขาในตอนนี้ไม่ได้ขาดแคลนอะไร ในเดือนนี้ นอกจากค่าสมุนไพรของเทียนเป่าเหมินแล้ว ตัวเขาก็ได้กำไรมาไม่น้อย
“อืม” หลู่หวู๋ซวงตอบรับเบาๆ หลังจากนั้นทั้งสองก็เดินไปยังทางออกของคฤหาสน์ตระกูลหลู่ ในครั้งนี้หลู่หวู๋ซวงพาหลู่เส่าโหย่วมาทางประตูหลัก เมื่อมีหลู่หวู๋ซวงอยู่ด้านหน้า คนรับใช้หน้าประตูก็ไม่กล้าพูดอะไร
ในใจของหลู่เส่าโหย่วนั้นจะอย่างไรก็ได้ ไม่ว่าประตูหน้าหรือประตูหลังของตระกูลหลู่ สำหรับเขาแล้วมันไม่มีอะไรแตกต่างกัน ตัวเขาไม่ได้สนใจสายตาของคนรับใช้เหล่านี้เลยแม้แต่น้อย รอสักวันหนึ่งที่พวกมันรู้ว่าเขาได้กลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์แล้วจะเข้ามาประจบสอพลอก็เป็นเรื่องปกติ คนพวกนี้ที่คิดว่าตัวเองแน่และเอาแต่ดูถูกผู้อื่นนั้น ในชาติก่อนของเขามีคนประเภทนี้เต็มไปหมด ไม่มีอะไรให้น่าตื่นตกใจเลย
หลังจากออกจากตระกูลหลู่ ทั้งสองก็ได้มาถึงถนนภายในเมือง ฝูงชนที่พลุกพล่านและบรรยากาศที่ดูมีชีวิตชีวาทำให้หลู่หวู๋ซวงลืมความอึดอัดไปชั่วครู่ และดูเหมือนว่าจะทำให้นางอารมณ์ดีด้วย เมื่อเดินผ่านเข้าไปท่ามกลางทะเลฝูงชน ภายใต้ชุดกระโปงยาวที่เผยให้เห็นส่วนโค้งเว้าอันละเอียดอ่อน บวกกับใบหน้าที่วิจิตรและกลิ่นอายที่โดดเด่น ทำให้มีผู้ชายในฝูงชนไม่น้อยอดไม่ได้ที่จะน้ำลายไหลออกมา
หลู่เส่าโหย่วที่มองหลู่หวู๋ซวงอยู่ก็ได้แต่รู้สึกตกตะลึงในใจ ทุกครั้งที่เขาเห็นหลู่หวู๋ซวงนางจะแตกต่างออกไป หากผู้หญิงคนนี้อยู่ในโลกเก่าของเขา มิสฮ่องกงอะไรนั่นก็ยังต้องยืนชิดซ้าย
“เส่าโหย่ว เจ้าคิดว่ารองเท้าคู่นี้เป็นอย่างไรบ้าง?” เมื่อเดินเข้าไปภายในร้านแห่งหนึ่ง หลู่หวู๋ซวงก็หยิบรองเท้าสีดำมาหนึ่งคู่และกล่าวถามเขา
หลู่เส่าโหย่วพยักหน้าเบาๆ แต่ว่ารองเท้าคู่นี้ ดูหมือนว่าจะเป็นรองเท้าของผู้ชาย
“เจ้าชอบหรือไม่ ถ้าเจ้าใส่มันน่าจะดูดี” หลู่หวู๋ซวงสังเกตรองเท้าในมือก่อนจะกล่าวกับเจ้าของร้าน “เจ้าของร้าน ช่วยห่อให้ข้าแล้วส่งไปที่ตระกูลหลู่ที”
“ขอรับ คุณหนูตระกูลหลู่” เหมือนว่าหลู่หวู๋ซวงจะเป็นแขกประจำของที่นี่ ทันใดนั้นก็มีชายวัยกลางคนที่ดูค่อนข้างอวบอ้วนเดินเข้ามา เจ้าอ้วนคนนี้เอาแต่จ้องหลู่เส่าโหย่วอยู่ตลอด เมื่อเห็นว่าหลู่หวู๋ซวงซื้อรองเท้าให้เขา สายตาที่มองมาก็แฝงไปด้วยความอิจฉาไว้หลายส่วน
หลู่เส่าโหย่วอยากกล่าวบางอย่าง แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกไป เพราะดูเหมือนว่าเขาจำเป็นจะต้องซื้อรองเท้าสักคู่จริงๆ
“พวกเราไปกันเถอะ” หลู่หวู๋ซวงกล่าวกับหลู่เส่าโหย่ว หลังจากทั้งสองคนออกไปจากร้านนี้ พวกเขาก็เดินซื้อของกันอีกหลายร้าน และยังซื้อเสื้อผ้าให้ลั่วหลานซืออีกหลายชุด ทุกครั้งที่หลู่เส่าโหย่วอยากจ่ายเงิน เขาก็จะถูกหลู่หวู๋ซวงแย่งจ่ายก่อน จนทำให้หลู่เส่าโหย่วทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน
“เทียนเป่าเหมิน เส่าโหย่ว ข้ากำลังอยากซื้ออาวุธอยู่พอดี เจ้าเข้าไปดูเป็นเพื่อนข้าหน่อย” โดยไม่ทันรู้ตัว ทั้งสองก็ได้เดินมาถึงเทียนเป่าเหมินแล้ว
“พี่หวู๋ซวง ร้านค้าตระกูลหลู่ก็มีอาวุธขายไม่ใช่หรือ?” หลู่เส่าโหย่วกล่าว
“เรื่องอาวุธนั้น ร้านค้าตระกูลหลู่สู้เทียนเป่าเหมินไม่ได้ พวกเราเข้าไปดูได้ไม่มีปัญหาหรอก” หลู่หวู๋ซวงกล่าวและจากนั้นก็เดินเข้าไปในเทียนเป่าเหมิน
“ทั้งสองท่านต้องการจะซื้ออะไร” เมื่อชายร่างใหญ่ทั้งสองที่อยู่หน้าประตูเห็นหลู่เส่าโหย่วกับหลู่หวู๋ซวงก็พยักหน้าและกล่าวทักทาย เมื่อตอนที่หลู่เส่าโหย่วมาคนเดียวนั้น สองคนนี้จะเรียกและทักทายเขาอย่างเคารพว่านายน้อยหลู่ แต่ในวันนี้กลับแกล้งทำเป็นไม่รู้จักกัน
หลู่เส่าโหย่วคาดเดาในใจ คนของเทียนเป่าเหมินคงจะได้รับคำสั่งมานานแล้วว่าไม่สามารถเปิดเผยเรื่องที่ตัวเขามาเทียนเป่าเหมินเป็นประจำได้ ภายในระยะเวลาหนึ่งเดือนนี้ มันทำให้หลู่เส่าโหย่วรู้ว่าเทียนเป่าเหมินมีความคิดที่จะดึงตัวเขาไป ทุกครั้งที่นี่จะแอบทดสอบเขาว่าเป็นผู้ฝึกวิญญาณหรือไม่ บ้างก็แอบถามว่าเบื้องหลังของเขามีผู้ฝึกวิญญาณหรือไม่
หลู่เส่าโหย่วรู้สึกคุ้นเคยกับเทียนเป่าเหมินมากแล้ว เมื่อทั้งสองเดินมายังสถานที่สำหรับซื้อขายอาวุธโดยเฉพาะ หลู่หวู๋ซวงก็หยิบดาบยาวสีเขียวอ่อนขึ้นมา
“ติง” เมื่อดาบถูกดึงออกจากฝักก็เกิดเสียงที่ไพเราะออกมา ทันใดนั้น บนใบดาบยาวสามฟุตก็มีลักษณะประกายแสงอันเยือกเย็นปรากฏขึ้น บนใบดาบมีแสงสะท้อนระยิบระยับส่องลงไปที่ปลายดาบ “ไม่เลว” ถึงอย่างไรหลู่เส่าโหย่วกับลุงหนานก็ได้พูดคุยถึงความรู้มากมายที่เกี่ยวข้องกับอาวุธ ถึงแม้เขาจะยังไม่เคยปรับแต่งอาวุธด้วยตนเอง แต่เขาก็มองออกว่าดาบสีเขียวเล่มนี้ไม่เลวเลย
“ดาบเล่มนี้ข้าเอาแล้ว” ทันใดนั้นเอง ก็ได้มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา และหลังจากนั้น ร่างร่างหนึ่งก็ได้ปรากฏขึ้นด้านหน้าของหลู่เส่าโหย่วและหลู่หวู๋ซวง เมื่อเห็นเจ้าของร่างนั้น สีหน้าของหลู่หวู๋ซวงก็ได้เปลี่ยนไปเล็กน้อย