จิตวิญญาณเทพยุทธ์สยบเทวะ - ตอนที่ 26 เส้นทางต่อจากนี้
“ตาเฒ่า มาดูกันว่าคืนนี้ท่านจะพูดอะไรได้อีก” หลู่เส่าโหย่วแหงนหน้ามองฟ้า และเผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา จากนั้นก็เก็บกวาดพื้นที่รอบๆ แล้วจากไป
ตกดึก ภายใต้แสงสลัวของห้องลับภายในห้องเก็บฟืนของตระกูลหลู่ หนึ่งชายชราและหนึ่งเด็กหนุ่มกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด
ในเวลาหนึ่งเดือนนี้ ความก้าวหน้าของหลู่เส่าโหย่วได้เกินความคาดหมายของลุงหนานไปมาก ฝ่ามือแยกภูผาที่ถูกหลู่เส่าโหย่วใช้ออกมาในตอนนี้ได้ถึงจุดที่ชำนาญแล้ว หนึ่งฝ่ามือหนึ่งท่านั้นก็ใช้ได้อย่างมีระบบ ทั้งยังควบคุมได้ดั่งใจและคล่องแคล่วมาก
“ตาเฒ่า ท่านระวังไว้ให้ดี” หลู่เส่าโหย่วกล่าวเสียงเบา หลังได้โอกาสหลบหลีก เขาก็บิดโค้งร่างกายอย่างคล่องแคล่ว หลังจากหลบหมัดของลุงหนานได้ ฝ่ามือภูผาแยกนภาก็นำพาสายลมรุนแรงพุ่งตรงเข้าสู่เอวของลุงหนาน
ความชื่นชมปรากฏขึ้นในดวงตาของชายชรา จากนั้นลุงหนานก็ขยับร่างไปทางซ้ายด้วยความรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ หลังจากท่าประทับมือเปลี่ยนไป ลุงหนานก็ปล่อยหมัดออกมาอย่างรวดเร็ว
“เกราะวิญญาณฟ้าคราม” หลู่เส่าโหย่วยิ้มเล็กน้อย ทันใดนั้นก็มีชุดเกราะเกล็ดสีเหลืองอ่อนปรากฏขึ้นมา เกราะวิญญาณฟ้าครามได้ปะทะกับหมัดของลุงหนาน ทันใดนั้นหลู่เส่าโหย่วก็ปล่อยฝ่ามือออกไป
ในตอนนั้นเอง มวลอากาศรอบกายของหลู่เส่าโหย่วก็ได้เพิ่มขึ้นกะทันหัน เขาปล่อยพลังของนักรบขั้นหนึ่งออกมา ฝ่ามือแยกภูผานี้จึงทำให้เกิดเสียงคำรามและสายลมที่รุนแรง
“ปัง!”
ทันใดนั้น หมัดของลุงหนานก็ได้กระทบกับไหล่ของหลู่เส่าโหย่ว แรงมหาศาลที่กระทบกับไหล่ของเขาทำให้หลู่เส่าโหย่วรู้สึกเจ็บหัวไหล่ แต่เกราะวิญญาณฟ้าครามก็ลดแรงกระแทกของพลังลง ในตอนนี้เขาได้ใช้พลังของนักรบขั้นหนึ่งในการโคจรเกราะวิญญาณฟ้าครามแล้ว จึงทำให้เกราะวิญญาณฟ้าครามแข็งแกร่งขึ้นมาก และเกล็ดแต่ละชิ้นบนเกราะนั้นก็ดูชัดเจนมากยิ่งขึ้นด้วย
“เด็กน้อย เจ้าคิดว่าตัวเองทะลวงระดับแล้วข้าจะไม่รู้หรือ” ความหยอกล้อปรากฏขึ้นในดวงตาของลุงหนาน จากนั้นลุงหนานก็หมุนตัวและหายไปต่อหน้าฝ่ามือแยกภูผาของหลู่เส่าโหย่ว
“ปัง!”
ทันใดนั้น ลุงหนานก็มาปรากฏตัวอยู่ข้างๆ หลู่เส่าโหย่วอย่างน่าเหลือเชื่อ จากนั้นก็ปล่อยหมัดเข้าใส่ฝ่ามือของหลู่เส่าโหย่ว พลังของทั้งสองได้ปะทะกันจนเกิดเสียงอู้อี้ภายในห้องลับ ทำให้ร่างกายของหลู่เส่าโหย่วสั่นสะเทือนจนก้าวถอยหลังอย่างโซเซ
“ตาเฒ่า ท่านหลงกลแล้ว” ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่มือซ้ายของหลู่เส่าโหย่วได้ใช้พลังวิญญาณเรียกเปลวเพลิงที่เป็นรูปธรรมออกมา จากนั้นเขาก็เหวี่ยงมันออกไป
“ฮูฮู…” เปลวเพลิงได้คำรามออกมาทันที มันแผ่ออกไปและห่อหุ้มลุงหนานไว้ข้างในด้วยอุณหภูมิที่ร้อนแรง
“ซือ..” ในตอนที่หลู่เส่าโหย่วกำลังได้ใจ เขากลับเห็นว่ารอบตัวของลุงหนานถูกห่อหุ้มด้วยชั้นน้ำจำนวนมาก และจากนั้นชั้นน้ำก็ได้ไหลลงมาและดับเปลวเพลิงลงทันที
“ทักษะเล็กน้อย” ลุงหนานถลึงตาใส่หลู่เส่าโหย่ว ดูเหมือนว่าจะมีรอยเปื้อนสีดำอยู่บนใบหน้าของลุงหนานเนื่องจากโดนไฟเผา
“จำไว้ พลังจู่โจมที่แข็งแกร่งที่สุดของพลังวิญญาณคือการโจมตีจิตวิญญาณโดยตรง แต่ไม่ใช่การโจมตีภายนอก ผู้ฝึกวิญญาณที่ต่อสู้ระยะประชิด หากไม่ระวังก็จะถูกฝ่ายตรงข้ามฉวยโอกาสจากช่องโหว่ได้ เจ้าต้องระวังให้มากในภายภาคหน้า” ลุงหนานกล่าวกับหลู่เส่าโหย่วด้วยสีหน้าจริงจัง
“ข้าเข้าใจแล้วลุงหนาน” หลู่เส่าโหย่วตอบ ตัวเขาที่เป็นผู้ฝึกตนควบคู่นั้นเข้าใจดี หากเป็นการต่อสู้ระยะประชิด ผู้ฝึกวิญญาณจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
“หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเจ้าก็สามารถใช้มันได้ แต่ต้องจำไว้ว่าเจ้ามีความสามารถแค่ไหน ต้องรู้จักเก็บซ่อนไว้บ้าง หากเจ้าเผยทุกอย่างให้ผู้อื่นรับรู้จะทำให้เจ้าตกอยู่ในอันตรายที่สุด” ลุงหนานกล่าวต่อ
หลู่เส่าโหย่วพยักหน้าเบาๆ สิ่งที่ลุงหนานกล่าวมาทั้งหมดนั้นถูกต้องอย่างไม่ต้องสงสัย การเปิดเผยความแข็งแกร่งทั้งหมดของตนเองให้บุคคลภายนอกรับรู้นับเป็นการกระทำที่อันตรายต่อตัวเขาเองมากที่สุด ไม่ว่าเวลาใดก็ตาม เขาควรจะมีไพ่ลับเหลือไว้ในมือ
“วันนี้ครบหนึ่งเดือนแล้ว ถือว่าเจ้าผ่านการทดสอบ ในภายภาคหน้าเจ้าก็ไม่ต้องมายังที่แห่งนี้อีก”
“ลุงหนาน ข้ายังขาดอีกเยอะ ข้ายังมีอีกหลายเรื่องที่อยากให้ท่านสอน” หลู่เส่าโหย่วกล่าว
“จำไว้ ผู้ที่แข็งแกร่งนั้นตรากตรำฝึกฝนอย่างยากลำบากด้วยตัวเอง หาใช่ถูกผู้อื่นสอน ตอนนี้เจ้าเป็นผู้ฝึกยุทธ์และผู้ฝึกวิญญาณระดับนักรบแล้ว และนั่นก็ถือว่าเจ้าได้ก้าวสู่การจัดอันดับของผู้ฝึกยุทธ์และผู้ฝึกวิญญาณ เส้นทางในอนาคตของเจ้ายังอีกยาวไกล เจ้าต้องเลือกเส้นทางที่จะก้าวไปด้วยตัวเอง” ลุงหนานเอ่ยอย่างลึกซึ้ง
“ลุงหนาน ข้าเข้าใจแล้ว”
“ถึงแม้เจ้าจะไม่ได้เป็นลูกศิษย์ของข้า แต่ตำราโอสถเล่มนี้ข้าก็ยกให้เจ้าแล้ว นี่เป็นสูตรโอสถและข้อมูลสมุนไพรที่ข้าร่ำเรียนและแก้ไขมาตลอดครึ่งชีวิต ในภายภาคหน้ามันน่าจะช่วยเจ้าได้ไม่น้อย” เมื่อกล่าวจบ ลุงหนานก็ยื่นแผ่นหยกให้กับหลู่เส่าโหย่ว
“ขอบคุณลุงหนาน” หลู่เส่าโหย่วรับแผ่นหยกมาและเก็บใส่ลงในแหวนมิติ
“ภายหลัง หากเจ้าจะหลอมโอสถที่ด้านหลังหุบเขาเจ้าก็ควรจะระวังมากว่านี้หน่อย ในตระกูลหลู่มีอยู่คนหรือสองคนที่มีความแข็งแกร่งไม่เลว หากเจ้าไปยังที่แห่งนั้นบ่อยๆ ก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกพบ นอกเหนือจากว่าเจ้าคิดจะไม่เก็บซ่อนมันอีกต่อไปแล้ว แต่ในตอนนี้ความสามารถของเจ้ายังขาดอีกมาก หากเก็บซ่อนไปอีกสักพักจะเป็นการดีที่สุด ส่วนเรื่องเทียนเป่าเหมิน เบื้องหลังของพวกมันนั้นก็ไม่เล็กและไม่ง่ายเลย เจ้าที่มีความสัมพันธ์กับพวกนั้นก็ควรจะระมัดระวังไว้หน่อยจะดีกว่า” ลุงหนานกล่าว
หลู่เส่าโหย่วรู้สึกตกใจที่ทุกสิ่งที่เขาทำนั้นอยู่สายตาของลุงหนานทั้งหมด เขาพยักหน้าเบาๆ ให้ลุงหนาน ในใจก็ได้แต่คิดว่าคงต้องระมัดระวังเรื่องของเทียนเป่าเหมินมากขึ้น
“เอาล่ะ ต่อจากนี้เรื่องของเจ้าจะไม่เกี่ยวกับข้าอีก เจ้าก็เป็นคุณชายต่อไป ส่วนข้าก็เป็นเพียงคนรับใช้ จำไว้ อย่ามารบกวนข้าอีก ไม่เช่นนั้นข้าจะทำลายการบ่มเพาะของเจ้า” ลุงหนานกล่าวกับหลู่เส่าโหย่วด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“แต่ว่าลุงหนาน…” หลู่เส่าโหย่วอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ถูกลุงหนานขัดจังหวะไม่ให้พูดต่อ
“ข้าไปก่อนแล้ว ในภายภาคหน้าเจ้าต้องพึ่งพาตัวเองเท่านั้น” หลังลุงหนานกล่าวจบก็ก้าวออกไปจากห้องลับทันที
“ปัง! ปัง! ปัง!”
หลู่เส่าโหย่วคุกเข่าลงบนพื้นแล้วโขกหัวสามครั้งก่อนจะกล่าวว่า “ตาเฒ่า ถึงแม้ท่านจะไม่รับข้าเป็นศิษย์ แต่ในใจของข้านั้นท่านคืออาจารย์ของข้า”
ร่างของลุงหนานชะงักเล็กน้อยก่อนจะเดินออกไปจากห้องลับ ในดวงตาของลุงหนานได้ปรากฏแววตาของการปลอบโยนอยู่
หลังจากอยู่ในห้องลับอีกสักพัก หลู่เส่าโหย่วก็ปิดห้องลับและกลับบ้านทันที วันนี้เขากลับมาเร็ว เวลาประมาณหนึ่งนาฬิกาเท่านั้น* (หนึ่งนาฬิกาคือเวลาหนึ่งทุ่มถึงสามทุ่ม)
เขานึกถึงเหตุการณ์ตั้งแต่ที่ข้ามมิติมาจนถึงตอนนี้ เพียงระยะเวลาสั้นๆ แค่หนึ่งเดือนกว่า แต่เรื่องที่เกิดขึ้นกลับมีมากมาย หลู่เส่าโหย่วไม่มีอาการง่วงงุนแม้แต่น้อย ตอนนี้ตัวเขาได้บรรลุความปรารถนาที่จะเป็นผู้ฝึกยุทธ์แล้ว ทั้งยังเป็นผู้ฝึกตนควบคู่ เส้นทางในภายภาคหน้า เขาจะต้องพึ่งพาตัวเองแล้ว
“ตระกูลหลู่” หลู่เส่าโหย่วแอบคิดในใจ ระหว่างเขากับตระกูลหลู่ไม่ช้าเร็วก็ต้องเผชิญหน้ากันในสักวัน ตอนนี้เขาควรจะปลดปล่อยแม่ของเขาออกจากเรื่องทั้งหมดนี้แล้ว แต่ว่าตัวเขายังต้องการเวลาอีกสักเล็กน้อย เขาควรจะมีการเตรียมการไว้หน่อย
หลู่เส่าโหย่วนั่งขัดสมาธิและเริ่มบ่มเพาะขึ้นมา ทักษะวิญญาณหยินหยางนั้นลึกลับไร้ที่เปรียบ สามารถบ่มเพาะพลังลมปราณและพลังวิญญาณได้ในเวลาเดียวกัน ทันใดนั้น ระหว่างฟ้าดินก็ได้มีพลังงานขุมหนึ่งแทรกซึมเข้าไปภายในร่างของเขาและแปรเปลี่ยนเป็นพลังลมปราณกับพลังวิญญาณ
พลังลมปราณกับพลังวิญญาณที่เขาบ่มเพาะได้นั้น เมื่อเทียบกับโอสถเสริมพลังแล้วนับว่ามีความแตกต่างกันมากอย่างไม่ต้องสงสัย ตอนนี้เขาถึงเข้าใจสิ่งที่ลุงหนานกล่าวจริงๆ ที่ว่าหากบ่มเพาะปกติแล้วภายในหนึ่งร้อยปีตัวเขาสามารถบรรลุระดับปรมาจารย์ได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว เพราะความเร็วเมื่อเขาเริ่มบ่มเพาะเพื่อเพิ่มพลังวิญญาณกับพลังลมปราณนั้นช้าอย่างกับหอยทากจริงๆ
เวลาผ่านไปจนถึงเช้า เมื่อท้องฟ้าแจ่มใส หลู่เส่าโหย่วก็ได้ยินเสียงแม่ของเขากำลังจะไปห้องซักผ้า จึงได้หยุดการบ่มเพาะและค่อยๆ ปล่อยลมหายใจขุ่นมัวออกมา การบ่มเพาะทั้งคืนนั้น ถึงแม้จะช้าแต่ก็ทำให้เขาสามารถเก็บเกี่ยวได้เล็กน้อย ยังดีกว่าไม่ได้เก็บเกี่ยวเลย
“วันนี้ข้าควรทำอะไรดี” หลู่เส่าโหย่วกล่าวเบาๆ และพบว่าตัวเขาในระยะนี้หาเรื่องอะไรให้ทำไม่ได้เลยจริงๆ