จิตวิญญาณเทพยุทธ์สยบเทวะ - ตอนที่ 11 เกราะวิญญาณฟ้าครามที่วิปริต
“ช่างเถอะ ค่อยๆ ฝึกแล้วกัน รีบร้อนไปก็ไม่ดี” หลู่เส่าโหย่วกล่าวกับตัวเองเบาๆ “ฝึกวิชาป้องกันตัวก่อนดีกว่า”
แผ่นหยกหนึ่งแผ่นได้ปรากฏในมือของหลู่เส่าโหย่วอีกครั้ง นั่นคือวิชาเกราะวิญญาณฟ้าคราม เป็นวิชาที่หลู่เส่าโหย่วไม่รู้ระดับของวิชาเพราะลุงหนานไม่ได้บอกเอาไว้
หลังจากทาบรอยนิ้วมือลงไป พลังลมปราณอ่อนๆก็ได้ไหลเข้าสู่แผ่นหยก และด้านบนแผ่นหยกนั้นก็เกิดแสงสว่างขึ้น หลังจากนั้นแสงสว่างนั่นก็ได้เข้าสู่หว่างคิ้วของหลู่เส่าโหย่ว
ข้อมูลมหาศาลได้ปรากฏภายในจิตใจของเขา จากนั้นหลู่เส่าโหย่วก็ทำตามเคล็ดวิชา เขาเริ่มใช้วิชาป้องกัน ทันใดนั้น เขาก็สัมผัสได้ว่าลมปราณที่แท้จริงในทะเลลมปราณภายในตันเถียนของเขาได้หายไปถึงครึ่งหนึ่งภายในระยะเวลาสั้นๆ และในเวลาเดียวกันนั้น รอบกายของเขาก็ได้สร้างเกราะที่เกิดจากเกล็ดมากมายมารวมตัวกันอย่างน่าประหลาด บนเกราะนั้นมีแสงสีเหลืองอ่อนสว่างออกมา เหมือนกับสัตว์วิญญาณจักรพรรดิในมือเขาไม่มีผิด
เมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้ หลู่โหย่วก็พอเดาได้ว่าสิ่งนี้น่าจะมีความสัมพันธ์กับสัตว์วิญญาณจักรพรรดิ ถึงแม้เกราะวิญญาณฟ้าครามจะน่าประหลาดใจเพียงใด แต่มันก็ใช้ลมปราณไม่ใช่น้อย อีกทั้งเกราะที่รวมตัวอยู่รอบกายของเขาในตอนนี้ก็เปราะบางผิดปกติ ราวกับจะสลายหายไปได้ทุกเมื่อ
“ยังมีความสามารถที่ลึกลับเยี่ยงนี้อีก เหนือความคาดหมายยิ่งนัก” หลู่เส่าโหย่วได้รับรู้บางอย่างจากข้อมูลภายในจิตใจ วิชาเกราะวิญญาณฟ้าครามนี้ช่างวิปริตอย่างแท้จริง
เกราะวิญญาณฟ้าครามนั้นมีทั้งหมดสองขั้น ขั้นแรกคือรูปแบบมนุษย์ ก็คือรูปแบบก่อนหน้านี้ สามารถสร้างเกราะรูปสัตว์ร้ายไว้ภายนอกร่างกายได้
ส่วนขั้นที่สองก็คือรูปแบบสัตว์ร้าย สามารถสร้างการป้องกันที่เหมือนกับสัตว์ร้ายได้อย่างสมบูรณ์ ความสามารถในการป้องกันนั้นแน่นอนว่าหาที่เปรียบไม่ได้
และสิ่งที่หลู่เส่าโหย่วตกใจมากที่สุดคือ เพียงสกัดเลือดจากสัตว์อสูรหรือสัตว์วิญญาณ ก็จะสามารถทำให้เกราะวิญญาณมีรูปร่างเหมือนสัตว์เหล่านั้นได้ แต่มีข้อเสียเพียงอย่างเดียวคือมันใช้ลมปราณปริมาณมหาศาล
สัตว์อสูรและสัตว์วิญญาณนั้นมีพลังป้องกันที่แข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกยุทธ์อย่างมาก ส่วนเกราะวิญญาณฟ้าครามก็สามารถควบแน่นเป็นรูปสัตว์ร้ายได้ ทำให้พลังป้องกันแข็งแกร่งขึ้นไม่น้อย
“วิชายุทธ์ป้องกันวิชานี้ ช่างลึกซึ้งนัก ลุงหนานเป็นใครกันแน่ สิ่งของที่เขาเอาออกมานั้นไม่ใช่สิ่งของที่ธรรมดาเลย” หลู่เส่าโหย่วกล่าวอย่างประหลาดใจ ถึงแม้ทักษะวิญญาณหยินหยางกับเกราะวิญญาณฟ้าครามจะมีข้อเสีย แต่พวกมันก็นับว่าเป็นสิ่งล้ำค่าอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อกระตุ้นเกราะวิญญาณฟ้าครามบนร่างในรูปแบบแรก หลู่เส่าโหย่วก็สัมผัสได้ว่าลมปราณภายในร่างได้หายไปอย่างรวดเร็ว เขาจึงรีบเก็บเกราะลงทันที ส่วนเกราะขั้นที่สอง แค่คิดเขาก็ยังไม่กล้า พลังที่อ่อนแอของเขาคงไม่สามารถกระตุ้นมันได้
“วิชาโจมตีและวิชาป้องก็มีหมดแล้ว” หลู่เส่าโหย่วยิ้มบางๆ วาสนานั้นช่างแปลกประหลาดเสียจริง ตัวเขาได้ข้ามมิติมาแบบมึนงง พออยากจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ตัวเขาในตอนนี้ก็ได้กลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์และผู้ฝึกวิญญาณแบบมึนงงเช่นกัน
“ออกไปเดินเล่นหน่อยดีกว่า คืนวันนี้ ข้าก็ต้องเรียนรู้การกลั่นเม็ดยากับหลอมอาวุธจากลุงหนานแล้ว”
ตอนที่ออกมาจากลานที่พักก็เป็นตอนเย็นแล้ว ลานด้านหลังในวันนี้ก็ช่างแปลกเสียจริง ตลอดทั้งทางนั้น แม้แต่คนรับใช้สักคนเขาก็ยังไม่เห็น
หลายวันมานี้หลู่เส่าโหย่วได้สำรวจบริเวณลานด้านหลังไปไม่น้อย เขาเดินมาถึงสวนดอกไม้ที่กั้นระหว่างลานด้านหน้ากับลานด้านหลังโดยไม่รู้ตัว หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง เขาก็ตัดสินใจเดินเข้าไปสำรวจสวนดอกไม้สักหน่อย
ตามความทรงจำในจิตใจของหลู่เส่าโหย่ว สวนดอกไม้แห่งนี้ คนธรรมดาไม่สามารถเข้ามาได้ มีเพียงคนรับใช้ระดับสูงเท่านั้นที่จะสามารถเข้ามาในที่แห่งนี้ได้ ตัวเขาที่มีสถานะนายน้อยก็สามารถเข้ามาได้เช่นกัน
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง หลู่เส่าโหย่วก็เดินเข้าไปในสวนดอกไม้ ถึงแม้จะเป็นช่วงปลายฤดูหนาว แต่ภายในสวนดอกไม้ก็ได้ปลูกต้นไม้ที่ทนต่อความหนาวเย็นเอาไว้ที่ทั้งสองฝั่งตามทางเดิน ความเขียวชอุ่มนั้นช่างงดงาม ชวนให้ผู้คนรู้สึกสดชื่นยิ่งนัก และยังมีต้นไม้บางส่วนที่ออกดอกในฤดูหนาวอีกด้วย ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเล็กน้อย ตระกูลหลู่นั้นนับว่ามีความมั่งคั่งอยู่บ้าง สวนดอกไม้แห่งนี้ ก็คาดว่าน่าจะเสียเงินไปไม่ใช่น้อย
หลู่เส่าโหย่วค่อยๆ เดินอยู่ภายในสวนดอกไม้ ภายในสวนดอกไม้แห่งนี้ช่างเงียบสงบเป็นอย่างยิ่ง ราวกับว่าคนรับใช้ทั้งหมดได้หายไปก็ไม่ปาน หลู่เส่าโหย่วเดาว่าคงจะเป็นเพราะทุกคนไปดูคุณหนูตระกูลกูตู๋กันหมดแล้ว
ตอนที่หลู่เส่าโหย่วกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่ในใจ เขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักดังมาจากด้านหน้า เหมือนว่าจะมีคนไม่น้อยกำลังจะมาถึงที่นี่
“คนตระกูลหลู่ ไม่เจอจะดีเสียกว่า” หลู่เส่าโหย่วเดาว่าพวกคนที่กำลังมานั้นน่าจะเป็นคนจากลานด้านหน้า และจากความทรงจำในจิตใจของเขา คนในตระกูลจากลานด้านหน้านั้น มีอยู่ไม่น้อยที่คอยหาเรื่องหลู่เส่าโหย่วคนก่อน
หลู่เส่าโหย่วในตอนนี้ก็ไม่ได้อยากเจอกับพวกนั้น เขาค่อยๆ สังเกตรอบๆ ตัว พอดีกับที่ด้านข้างมีต้นไม้เขียวชอุ่มสูงประมาณสี่ห้าเมตรอยู่ ใบไม้สีเขียวที่หนาแน่นนั้นน่าจะพอช่วยซ่อนตัวของเขาได้
ทันใดนั้นหลู่เส่าโหย่วก็ใช้พลังลมปราณปีนขึ้นไปบนต้นไม้อย่างรวดเร็ว ใบไม้บนนั้นได้ปกปิดตัวของเขาเอาไว้จนมิด เมื่อมองผ่านช่องว่างของใบไม้ หลู่เส่าโหยวก็พบว่า มีคนหลายสิบคนเดินออกมาจากลานประตูหน้าอย่างเชื่องช้า
เมื่อสังเกตไปยังผู้คนที่เดินเข้ามานั้น หลู่เส่าโหย่วก็ค่อยๆ ขมวดคิ้ว ท่ามกลางผู้คนหลายสิบคน มีคนที่ดูเป็นรุ่นเยาว์อยู่เจ็ดคน ดูจากรูปร่างหน้าตา อายุน่าจะประมาณสิบห้าสิบหกถึงยี่สิบปี แน่นอนว่าตัวเขาต้องรู้จักคนทั้งเจ็ดนั้น บุคคลที่อยู่ข้างหน้าสุด สวมใส่ชุดหรูหรา คือน้องต่างแม่ของหลู่เส่าโหย่วคนก่อน เด็กกว่าตัวเขาหนึ่งปี มีชื่อว่าหลู่เส่าหู่ ปกติแล้วหลู่เส่าหู่ไม่เคยจะมองหลู่เส่าโหย่วคนก่อนอยู่ในสายตา
หนึ่งในคนด้านข้างนั้น สวมใส่ชุดสีฟ้า คิ้วดก ตาโต มีอายุประมาณยี่สิบปี ก็คือลูกของป้าสองของหลู่เส่าโหย่วคนก่อน มีชื่อว่า โจ่วไห่หมิง คนในบ้านของป้าสองนั้น ก็พักอาศัยอยู่ในตระกูลหลู่เป็นประจำ
อีกคนที่อยู่ใกล้ๆ กันนั้น สวมใช่ชุดสีขาว ผมยาวถึงไหล่ หน้าตาพอใช้ได้ ก็คือลูกของลุงสี่ของหลู่เส่าโหย่วคนก่อน ปีนี้น่าจะมีอายุสิบหกปี มีชื่อว่า หลู่เส่าหย่ง
คนอื่นๆ หลู่เส่าโหย่วก็รู้จักเช่นกัน ทั้งหมดเป็นลูกหลานญาติสนิทของบุคคลสายหลักในตระกูล ตระกูลหลู่ที่เป็นตระกูลสายต่อสู้นั้น โดยปกติ เมื่อมีอายุได้แปดปีแล้ว จะเลือกคนที่มีความสามารถไม่เลวมาฝึกฝนในตระกูลโดยตรง มีเพียงหลู่เส่าโหย่วเท่านั้นที่ไม่เคยได้รับโอกาสนี้
และภายในกลุ่มผู้หญิง เมื่อหลู่เส่าโหย่วได้ลองมองใกล้ๆ เขาก็รู้จักผู้คนในนั้นเช่นกัน หนึ่งในด้านซ้าย คนที่ดูอายุประมาณสิบแปดสิบเก้าปี ปล่อยผมที่ดำราวกับหมึกไว้ด้านหลัง มีปอยผมตกอยู่ที่ข้างหู สวมใส่ชุดกระโปรงยาวสีแดง เผยให้เห็นรูปร่างที่ผอมเพรียว บนข้อมือที่ขาวเนียนได้สวมใส่กำไลข้อมืออันงดงาม ชุดที่สวมใส่นั้นไม่ได้ดูหรูหรา แต่กลับเผยให้เห็นถึงความสูงส่งและสง่างามที่บอกไม่ถูกท่ามกลางกลุ่มคน ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกสบายตา
หญิงสาวคนดังกล่าวนั้น หลู่เส่าโหย่วรู้จักเธออย่างแน่นอน เธอคือลูกสาวบุญธรรมของลุงใหญ่ของหลู่เส่าโหย่ว มีชื่อว่า หลู่หวู๋ซวง นางได้รับความรักจากลุงใหญ่เป็นอย่างมาก จากผู้คนทั้งหมดที่อาศัยอยู่ที่ลานด้านหน้า มีเพียงหลู่หวู๋ซวงเท่านั้นที่ดีกับเขาที่สุด คอยนำของกินกับเสื้อผ้ามาให้เขาเป็นครั้งคราว
ด้านข้างนั้นยังมีหญิงสาวอีกคนหนึ่ง ดูจากหน้าตา อายุน่าจะราวๆ สิบเจ็ดสิบแปดปี ผมสีทองส่วนใหญ่ตกลงบนบ่า ที่ผมของนางมีที่มัดผมเล็กๆ หนึ่งอัน มีสีสามสีมารวมกันอย่างงดงาม ทำให้นางดูสูงส่งไร้สิ่งใดเปรียบ บนหัวของนางสวมใส่ที่คาดผมสีทองและปิ่นปักผมที่มีเพชรฝังอยู่ เพียงแค่แรกเห็นก็ให้ความรู้สึกของบุลคลที่ร่ำรวย ภายในนัยน์ตาสีทองแกมน้ำตาลนั้นมีความเย่อหยิ่งแฝงอยู่ เธอคือลูกสาวบุญธรรมของหัวหน้าตระกูลคนก่อน ถึงจะไม่ใช่คนตระกูลหลู่ แต่เธอก็มีแซ่ว่าหลู่ เรียกว่า หลู่เม่ย
หลู่เม่ยผู้นี้ ปกติแล้วจะไม่เคยเหลือบมองเขาเป็นครั้งที่สอง และไม่เคยเก็บเขาไว้ในสายตาเลย ส่วนพวกหญิงที่เหลืออยู่นั้น หลู่เส่าโหย่วรู้จักเพียงคนสองคน เป็นลูกหลานของญาติในตระกูลสาขา
เมื่อมองที่กลุ่มคนตระกูลหลู่ หลู่เส่าโหย่วไม่ได้รู้สึกดีกับใครเลยนอกจากหลู่หวู๋ซวง จากนั้นเขาก็ไม่ได้เหลือบมองคนอื่นอีก ดวงตาของหลู่เส่าโหย่วกลับมองไปที่หญิงสาวที่ถูกผู้คนในตระกูลล้อมอยู่ตรงกลาง หญิงสาวผู้นั้นมีใบหน้าที่งดงาม สวมใส่เครื่องแต่งกายที่ดูสูงส่ง
หญิงสาวคนนี้มีกลิ่นอายชนชั้นสูงอยู่รอบกาย การแต่งกายก็ดูหรูหรา บวกกับรูปลักษณ์อันสง่างาม ทำให้พวกตระกูลหลู่ที่มองอยู่นั้นน้ำลายไหลออกมากันหมดแล้ว